เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 35 จงกรีดร้องออกมา (อ่านฟรี)
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 35 จงกรีดร้องออกมา
แปลโดย iPAT
ฟางหยวนเป็นฝ่ายได้เปรียบ แต่มันก็เพียงเท่านี้ เพราะความจริงก็คือเขาไม่สามารถยื้อสถานการณ์นี้เอาไว้ได้นานนัก
ด้วยร่างกายของเด็กหนุ่มอายุสิบห้า เมื่อถึงจุดหนึ่งเขาก็เริ่มเหนื่อยหอบ ขณะที่เกาเหวินยังเต็มไปด้วยพลังงาน นี่คือความแตกต่างระหว่างคนทั้งสอง นอกจากนั้นยิ่งนานมากเท่าใด การเคลื่อนไหวของเกาเหวินก็ยิ่งดีขึ้นเท่านั้น ความเร็วของเขาเพิ่มขึ้น ผลกระทบจากความเหนื่อยล้าและอากาศที่หนาวเย็นหมดไป นี่ทำให้เขาสามารถปลดปล่อยความสามารถที่แท้จริงที่เกิดจากการฝึกฝนอย่างหนักตลอดหลายปีออกมาได้ในที่สุด
“สารเลว เจ้าไม่สามารถเอาชนะข้า กฎของตระกูลระบุไว้ว่า ภายในสถานศึกษาห้ามใช้วิญญาณในการต่อสู้ เจ้าก็เป็นเพียงเนื้อที่ตายแล้วเท่านั้น อย่าเสียเวลาและให้ข้าจับกุมโดยดี” เกาเหวินหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เขามีประสบการณ์ในการต่อสู้มากมาย ดังนั้นเขาจึงสามารถใช้คำพูดโจมตีจิตใจของฟางหยวน
แต่น่าเสียดายที่หัวใจของฟางหยวนแข็งแกร่งราวกับก้อนน้ำแข็งพันปี
‘ท้ายที่สุดข้าก็เป็นเพียงเด็กน้อย ร่างกายของข้ายังไม่สามารถเปรียบเทียบกับคนรับใช้ผู้นี้ได้’ ฟางหยวนตระหนักถึงสถานการณ์ทั้งหมดอย่างชัดเจน แต่เจตจำนงและจิตวิญญาณของเขายังไม่สั่นคลอน
‘วิญญาณแสงจันทร์’ ฟางหยวนคิดขณะเดียวกันก็ล่าถอยออกไปเพื่อสร้างระยะห่างจากเกาเหวิน
เดิมทีเกาเหวินต้องการไล่ตามแต่เขากลับมองเห็นแสงสีฟ้าอ่อนที่ส่องประกายขึ้นบนฝ่ามือของฟางหยวน เมื่อเห็นสิ่งนี้ ใบหน้าของเขาก็กลายเป็นซีดเผือด เขาตะโกน “เจ้ากำลังจะใช้วิญญาณในหอพัก นี่เป็นการฝ่าฝืนกฎของตระกูลอย่างรุนแรง”
“แล้วจะเป็นอย่างไรหากข้าฝ่าฝืนกฎ?” ฟางหยวนเย้ยหยัน เขาเข้าใจกฎระเบียบต่างๆของตระกูลเป็นอย่างดี แน่นอนว่ามันไม่ใช่เพื่อการทำตามอย่างเชื่อฟัง แต่มันเป็นการหาช่องโหว่ในกฎระเบียบเหล่านั้นเพื่อใช้ประโยชน์ต่างหาก
ทันใดนั้น...
ดาบแสงจันทร์สีฟ้าอ่อนก็พุ่งเข้าโจมตีเกาเหวินอย่างรวดเร็ว
เกาเหวินยกแขนทั้งสองข้างขึ้นป้องกันใบหน้าของตนเอาไว้ ในเวลาเดียวกันเขาก็พุ่งเข้าเผชิญหน้าโดยไร้ความเกรงกลัวและหวังจะพิชิตชัยอย่างรวดเร็วที่สุด
ดาบแสงจันทร์ปะทะท่อนแขนของเกาเหวินและทำให้เลือดพุ่งออกมาราวกับน้ำพุ ความเจ็บปวดแล่นเข้าสู่เส้นประสาทของเกาเหวินและทำให้เขาเกือบหมดสติทันที
“นี่เป็นไปได้อย่างไร?” การเคลื่อนไหวของเขาหยุดลง แขนทั้งสองข้างของเขาถูกกรีดลึก กล้ามเนื้อฉีกขาด เลือดไหลทะลัก กระทั่งกระดูกยังแตกหักและยื่นออกมาอย่างน่าหวาดกลัวอีกด้วย
เกาเหวินกรีดร้องด้วยความตกใจ “ไม่! เป็นไปไม่ได้! ดาบแสงจันทร์ของผู้ใช้วิญญาณระดับหนึ่ง ขั้นต้นสามารถสร้างบาดแผลเล็กๆน้อยๆให้ข้าเท่านั้น มันจะตัดกระดูกของข้าได้อย่างไร? มีเพียงผู้ใช้วิญญาณระดับหนึ่งขั้นกลางเท่านั้นที่จะทำเช่นนี้ได้!”
เกาเหวินไม่รู้ว่าฟางหยวนมีพลังวิญญาณระดับหนึ่งขั้นกลางที่ได้รับมาจากวิญญาณสุรา
แน่นอนว่าวิญญาณแสงจันทร์ที่ได้รับพลังวิญญาณระดับหนึ่งขั้นกลางเป็นเชื้อเพลิงสามารถปลดปล่อยดาบแสงจันทร์ที่ทรงพลังกว่าดาบแสงจันทร์ของผู้ใช้วิญญาณระดับหนึ่งขั้นต้นทั่วไป
“ไม่ดีแล้ว เด็กผู้นี้แปลกประหลาดเกินไป” เมื่อได้รับบาดเจ็บสาหัส จิตวิญญาณแห่งการต่อสู้ของเกาเหวินก็พังทลายลงอย่างสมบูรณ์ ตอนนี้ในความคิดของเขามีเพียงการหลบหนีเท่านั้น
“คิดว่าสามารถหลบหนีงั้นหรือ?” ฟางหยวนเผยยิ้มเย้ยหยันและไล่ตามออกไป
“ช่วยข้าด้วย!” เกาเหวินวิ่งหนีอย่างสุดความสามารถพร้อมกับส่งเสียงตะโกนขอความช่วยเหลือออกไปน่าเวทนา
“เกิดสิ่งใดขึ้น? ผู้ใดตะโกนขอความช่วยเหลือ?” เสียงของผู้ดูแลหอพักดังขึ้นด้วยความสับสน
ยามเฝ้าประตูเดินเข้ามาสมทบและกล่าว “มันเป็นคนรับใช้ของโม่เยี่ยนจากครอบครัวสกุลโม่”
“เขาเป็นเพียงคนรับใช้เท่านั้น พวกเราไม่จำเป็นต้องทำสิ่งใด”
“การให้เขาอยู่ที่นี่ถือเป็นการให้เกียรติครอบครัวสกุลโม่มากพอแล้ว”
“แท้จริงแล้วพวกเราต้องระวังไม่ให้เขาทำร้ายฟางหยวนด้วยความสิ้นคิด”
ผู้ดูแลหอพักและกลุ่มยามพูดคุยกันแต่ไม่มีผู้ใดให้ความช่วยเหลือเกาเหวิน พวกเขาเพียงเฝ้ามองอยู่ในระยะไกลเท่านั้น
สำหรับคนรับใช้เช่นเกาเหวิน แม้เขาตายก็ไม่มีอันใดเกี่ยวข้องกับยามเหล่านี้ แต่หากฟางหยวนได้รับบาดเจ็บหรือเสียชีวิต นี่จึงจะเป็นความรับผิดชอบของพวกเขา
เมื่อเห็นฉากดังกล่าว ใบหน้าของเกาเหวินยิ่งกลายเป็นสิ้นหวัง เขากรีดร้องออกมาด้วยความขุ่นเคือง “ข้าเป็นคนนอก พวกเจ้าไม่สามารถปล่อยให้ข้าตายที่นี่!”
เขาเริ่มเสียเลือดมากขึ้นและทำให้ความเร็วของเขาลดลงอย่างมาก
ฟางหยวนตามเกาเหวินทันในที่สุด เขากล่าวเสียงเย็นราวกับกำลังประกาศคำตัดสินประหารชีวิต “จงกรีดร้องออกมา แต่แม้เจ้าจะกรีดร้องดังสักเพียงใด มันก็ไร้ประโยชน์”
ขณะที่เขากล่าวถ้อยคำเหล่านี้ ดาบแสงจันทร์สองเล่มก็พุ่งออกไปแล้ว
ดาบแสงจันทร์ทับซ้อนกันบินตรงไปยังลำคอของเกาเหวินด้วยความเร็วสูง คนรับใช้วัยกลางคนสูญสิ้นความหวังราวกับเขากำลังก้าวเข้าสู่ประตูนรก
พริบตาต่อมาเขารู้สึกราวกับโลกหมุนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด เขามองเห็นหน้าอกและเท้าของตนเอง
ศีรษะของเขาร่วงหล่นลงสู่ปลายเท้าของฟางหยวนก่อนที่ความมืดมิดอันเป็นนิรันดร์จะปิดบังดวงตาของเขาเอาไว้ทั้งหมด
เกาเหวิน...ตาย!
ด้วยดาบแสงจันทร์ทับซ้อนที่ถูกส่งออกไปในระยะประชิด มันทำให้ศีรษะของคนรับใช้วัยกลางคนหลุดจากบ่าทันที
เลือดพุ่งออกจากลำคอที่ขาดสะบั้นของเกาเหวินขึ้นสู่อากาศราวกับน้ำพุธรรมชาติ
“เขาตายแล้ว!?”
“ฟางหยวนฆ่าคน!”
กลุ่มยามกลายแตกตื่นและกรีดร้องออกมาอย่างไม่สามารถควบคุม พวกเขาเห็นเหตุการณ์ทั้งหมด นั่นทำให้ความหวาดกลัวพุ่งเข้าโจมตีหัวใจของพวกเขาทันที
ฟางหยวนเป็นเด็กหนุ่มอายุสิบห้าที่อ่อนแอ แต่เขากลับสามารถสังหารชายวัยกลางคนที่แข็งแกร่งและโหดร้าย นี่คือพลังอำนาจของผู้ใช้วิญญาณ!
ผลลัพธ์ของการต่อสู้ปรากฏแล้ว
แม้ศัตรูจะตกตาย แต่ใบหน้าของฟางหยวนยังคงสงบนิ่งและไร้ระลอกคลื่นใดๆทั้งสิ้น การแสดงออกเช่นนี้ยิ่งทำให้กลุ่มยามรู้สึกหนาวเย็นไปถึงแกนกระดูก
ขณะเดียวกันศีรษะของเกาเหวินที่นอนนิ่งอยู่บนพื้นด้วยดวงตาเบิกโพลนก็จ้องมองไปที่พวกเขาตลอดเวลา
ฟางหยวนมองศีรษะบนพื้นด้วยสายตาเย็นชาก่อนจะใช้เท้าเตะมันออกไปอย่างไม่แยแส
ดวงตาของผู้ดูแลหอพักเบิกโตขึ้นอย่างที่ไม่สามารถโตได้มากกว่านี้อีก
ฟางหยวนเดินเข้าไปหาซากร่างที่ปราศจากศีรษะและยังคงสั่นสะท้านอยู่ เขามองบาดแผลบนลำคอของศพด้วยดวงตาที่มืดมิดและตระหนักว่ามันมีร่องรอยของผู้ใช้วิญญาณระดับหนึ่งขั้นกลางปรากฏอยู่
หากเรื่องนี้ถูกเปิดเผยออกไป มีความเป็นไปได้ที่เขาจะถูกสอบสวน การคงอยู่ของวิญญาณสุราอาจถูกเปิดเผย
ดังนั้นเขาจึงต้องกำจัดร่องรอยทั้งหมด
‘แต่มีผู้เห็นเหตุการณ์มากเกินไป’ สายตาของฟางหยวนกวาดผ่านกลุ่มยามมากกว่าสิบคนที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง เขามีพลังวิญญาณจำกัด เขาไม่สามารถสังหารผู้คนเหล่านี้ได้ทั้งหมด
หลังจากครุ่นคิดอยู่ชั่วขณะ ฟางหยวนก็ลากซากศพของเกาเหวินและออกเดิน
“นายน้อยฟางหยวน ท่านสามารถทิ้งเรื่องนี้ไว้เป็นหน้าที่ของพวกเรา” ผู้ดูแลหอพักเร่งกล่าวด้วยความสุภาพ ชัดเจนว่ามันเกิดขึ้นจากความหวาดกลัว
ฟางหยวนมองพวกเขาแต่ไม่กล่าวสิ่งใด อย่างไรก็ตามมันกลับทำให้พวกเขาต้องกลั้นลมหายใจด้วยความหวาดกลัว
“ให้ข้ายืมดาบของเจ้า” ฟางหยวนยื่นมือออกไป
ด้วยพลังอำนาจที่แฝงอยู่ในน้ำเสียงของเขา มันทำให้ฝ่ายตรงข้ามไม่สามารถปฏิเสธ
ผู้ดูแลหอพักที่ยืนอยู่ใกล้ที่สุดส่งดาบของเขาให้กับฟางหยวนราวกับคนไร้สติ
ฟางหยวนรับดาบและเดินต่อไปโดยทิ้งกลุ่มยามเอาไว้เบื้องหลัง
ดวงอาทิตย์ขึ้นจากขอบฟ้าและส่องแสงผ่านยอดเขาเข้าสู่สถานศึกษา
ฟางหยวน เด็กหนุ่มอายุสิบห้าที่มีรูปร่างผอมบางและผิวขาวซีดก้าวไปข้างหน้าโดยปราศจากความกังวลใดๆ
มือซ้ายของเขาถือดาบขณะที่มือขวาลากซากศพ
ทุกสถานที่ที่เขาเดินผ่าน คราบสีแดงเลือดจะถูกทิ้งไว้บนพื้นเป็นทางยาวโดยมีกลุ่มยามยืนเป็นฉากหลัง
แสงแดดสาดส่องลงมาที่พวกเขา แต่พวกเขากลับไม่สามารถสัมผัสถึงความอบอุ่นจากมัน
“อึก!”
มีเพียงเสียงกลืนน้ำลายอย่างยากลำบากเท่านั้นที่ดังขึ้นท่ามกลางความเงียบงัน