เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 34 รังแก (อ่านฟรี)
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 34 รังแก
แปลโดย iPAT
ฟางหยวนปิดเปลือกตาและดูดซับพลังงานจากหินวิญญาณเข้าสู่ทะเลวิญญาณของตนโดยไม่สนใจเกาเหวิน
ความเร็วในการกู้คืนพลังวิญญาณของฟางหยวนช้ามาก แต่เขาไม่รีบ เขารู้ว่าการบ่มเพาะคือการค่อยๆสะสม มันไม่ใช่สิ่งที่สามารถเร่งรีบ
หลังจากครึ่งชั่วโมงพลังวิญญาณในทะเลวิญญาณของเขาก็กลับคืนสู่ระดับสี่สิบสี่ในร้อยส่วนซึ่งเป็นปริมาณมากที่สุดเท่าที่ทะเลวิญญาณของเขาจะเก็บได้
เมื่อพลังวิญญาณถูกกู้คืน เขาก็เริ่มบ่มเพาะอีกครั้ง
‘วิญญาณสุรา’ ด้วยหนึ่งความคิด หนอนสุราขดตัวเป็นไข่มุกแสงลอยอยู่เหนือทะเลวิญญาณของฟางหยวนทันที
พลังวิญญาณสิบในร้อยส่วนพุ่งเข้าสู่ไข่มุกแสงก่อนจะเปลี่ยนเป็นหมอกสุราลอยกลับลงสู่ทะเลวิญญาณ ด้วยทำซ้ำอย่างต่อเนื่อง พลังวิญญาณระดับหนึ่งขั้นต้นค่อยๆเปลี่ยนเป็นพลังวิญญาณระดับหนึ่งขั้นกลาง
พลังวิญญาณระดับหนึ่งขั้นกลาง!
‘ศิษย์คนอื่นๆใช้พลังวิญญาณระดับหนึ่งขั้นต้น แต่ข้าจะใช้พลังวิญญาณระดับหนึ่งขั้นกลางที่มีประสิทธิภาพสูงกว่าสองเท่า เมื่อข้าใช้ดาบแสงจันทร์ มันจะทรงพลังขึ้นสองเท่าเช่นกัน’
ฟางหยวนยังนั่งปิดเปลือกตาบ่มเพาะต่อไปจนถึงเวลาเที่ยงคืน
ประตูห้องยังเปิดค้างอยู่ขณะที่พื้นค่อนข้างเปียกชื้น เนื่องจากหอพักแห่งนี้ไม่ใช่บ้านที่ถูกยกสูงขึ้นจากพื้นดินเช่นบ้านหลังอื่นบนภูเขาที่อากาศชื้นตลอดปี
ลมหนาวพัดเข้ามาทำให้ร่างกายของฟางหยวนสั่นสะท้านขึ้น ในมือของเขาเต็มไปด้วยฝุ่นผงสีขาว ฝุ่นผงเหล่านี้ก็คือหินวิญญาณ เมื่อพลังงานถูกดูดซับออกไปจนหมด หินวิญญาณจะกลายเป็นฝุ่นผง
‘หลังจากบ่มเพาะมาทั้งคืน ข้าใช้หินวิญญาณไปแล้วสามก้อน’ ฟางหยวนคำนวณ
เขามีพรสวรรค์นภาที่สาม เขาต้องพึ่งพาหินวิญญาณจำนวนมากในการบ่มเพาะ แต่ตัวช่วยที่สำคัญที่สุดของเขาคือวิญญาณสุรา มันสามารถยกระดับพลังวิญญาณของเขา เพื่อหยิบยืมพลังอำนาจของวิญญาณสุรา เขาต้องใช้หินวิญญาณเป็นจำนวนมาก
‘แม้ข้าพึ่งจะกรรโชกหินวิญญาณมาในวันนี้และดูเหมือนข้าจะมีมันอยู่อีกมาก แต่นั่นยังไม่เพียงพอต่อความต้องการของข้าและมันก็เป็นสิ่งที่ข้าจำเป็นต้องจ่าย’
ฟางหยวนมองไปที่ประตูห้องเพื่อพบกับเกาเหวินที่นั่งอยู่บนพื้นและดูเหมือนเขาจะหลับไปแล้ว
‘ผู้ใช้วิญญาณหญิงระดับสองผู้นั้นทิ้งคนรับใช้ไว้ที่นี่เพื่อเฝ้ามองข้า? ฮ่าฮ่า’ ฟางหยวนเผยรอยยิ้มอันเย็นชาก่อนจะลุกขึ้นจากเตียงและเริ่มบิดร่างกายสลัดความเฉื่อยชาออกไป
เมื่อฟางหยวนอบอุ่นร่างกายเรียบร้อยแล้ว เขาก็เดินไปที่ประตู
“เจ้าตัดสินใจออกไปในที่สุด ยอมเชื่อฟังและไปขอโทษคุณหนูซะ นั่นเป็นทางออกที่ดีที่สุดสำหรับเจ้า!” เมื่อเกาเหวินได้ยินเสียงฝีเท้า เขาสะดุ้งตื่นและลุกขึ้นทันที
ร่างกายของเกาเหวินมีขนาดเป็นสองเท่าของฟางหยวนพร้อมกับดวงตาที่เต็มไปด้วยความป่าเถื่อน แต่ฟางหยวนไม่แยแสและยังเดินตรงเข้าไปหาเขาอย่างช้าๆ
“เด็กน้อย เจ้าควรไปกับข้าและรับโทษจากคุณหนูของข้าเดี๋ยวนี้!” เกาเหวินตะโกนออกมาอีกครั้งพร้อมกับเดินเข้าไปหาฟางหยวนด้วยแผนร้ายบางอย่าง
ฟางหยวนยกกำปั้นทั้งสองข้างขึ้น
“รนหาที่ตาย!” เกาเหวินสบถก่อนจะส่งกำปั้นออกไปอย่างรวดเร็ว
ดวงตาของฟางหยวนส่องประกายขึ้น ด้วยการก้าวไปด้านข้าง เขาหลบหมัดของเกาเหวินอย่างง่ายดายก่อนจะชกไปยังด้านข้างลำตัวของฝ่ายตรงข้าม
อย่างไรก็ตามเขากลับรู้สึกถึงความเจ็บปวดที่แล่นเข้าสู่นิ้วมือราวกับหมัดของเขาปะทะเข้ากับแผ่นเหล็ก
‘ร่างกายของเกาเหวินถูกบ่มเพาะมาถึงจุดสูงสุดของมนุษย์ธรรมดาแล้ว ข้ามีเพียงดาบแสงจันทร์เท่านั้น สำหรับการต่อสู้ทางกายภาพ ข้ายังไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา’ ฟางหยวนปัดเป่าความคิดที่จะต่อสู้ทิ้งไปและล่าถอยออกไปทันที
ในหมู่บ้านแสงจันทร์บรรพกาล มีเพียงสมาชิกตระกูลแสงจันทร์เท่านั้นที่ได้รับอนุญาตให้บ่มเพาะบนเส้นทางของผู้ใช้วิญญาณ สำหรับคนนอก แม้พวกเขาจะมีพรสวรรค์ พวกเขาก็ไม่มีสิทธิ์เป็นผู้ใช้วิญญาณของตระกูล
ดังนั้นมนุษย์ธรรมดาเช่นเกาเหวินจึงต้องบ่มเพาะร่างกายและฝึกฝนศิลปะการต่อสู้
สำหรับฟางหยวน ด้วยร่างกายของเด็กหนุ่มอายุสิบห้า ความแข็งแกร่งและความเร็วของเขายังไม่สามารถเปรียบเทียบกับนักสู้วัยกลางคน
นอกจากนั้นด้วยทักษะของเกาเหวิน มันเพียงพอที่จะกำจัดผู้ใช้วิญญาณระดับหนึ่งขั้นต้น รวมถึงผู้ใช้วิญญาณระดับหนึ่งขั้นกลางได้อย่างไม่มีปัญหา
“เด็กเลวผู้นี้ช่างน่ารังเกียจนัก!” เกาเหวินสบถสาปแช่ง
เอวเป็นจุดสำคัญจุดหนึ่งของร่างกาย หากมันถูกโจมตีอย่างรุนแรง มันอาจทำให้คนผู้นั้นได้รับบาดเจ็บสาหัส
เกาเหวินเฝ้ายามอยู่ตลอดทั้งคืน ด้วยความเหนื่อยล้า การตอบสนองของเขาจึงช้าลงเล็กน้อย มันทำให้ฟางหยวนสามารถโจมตีเขาได้อย่างง่ายงาย แต่ด้วยความแข็งแกร่งทางกายภาพ เกาเหวินจึงไม่ได้รับผลกระทบมากนัก นอกจากนั้นร่างกายของเขายังสามารถตอบสนองได้โดยสัญชาตญาณทำให้เขาสามารถป้องกันตัวได้เล็กน้อย
‘ข้าจะประมาทอีกไม่ได้ เด็กเลวผู้นี้ทำตัวราวกับสุนัขจิ้งจอก ทั้งเจ้าเล่ห์และเหี้ยมโหด กระทั่งข้ายังรู้สึกถึงความยากลำบาก ไม่สงสัยเลยว่าเหตุใดนายน้อยจึงพบกับความพ่ายแพ้’ เกาเหวินเช็ดเม็ดเหงื่อที่ผุดพรายขึ้นมาบนหน้าผากและเริ่มแสดงออกอย่างจริงจังมากขึ้น
‘หากข้าสามารถจับตัวเด็กเลวผู้นี้ คุณหนูต้องมอบรางวัลให้ข้าอย่างงาม เขาเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับหนึ่งที่มีเพียงดาบแสงจันทร์ อย่างมากข้าก็จะได้รับบาดเจ็บเล็กๆน้อยๆเท่านั้น’
เมื่อคิดได้เช่นนี้ หัวใจของเกาเหวินก็พองโตขึ้น เขาพุ่งเข้าโจมตีฟางหยวนทันที
ฟางหยวนปราศจากความหวาดกลัวแม้เกาเหวินจะเคลื่อนที่ใกล้เข้ามาอย่างรวดเร็วก็ตาม
ในการกรรโชกหินวิญญาณ เขาใช้มือข้างเดียวตลอดการต่อสู้กับเด็กหนุ่มสาวโดยมีจุดประสงค์เพียงเพื่อหยุดการเคลื่อนไหวของพวกเขาเท่านั้น แต่เมื่อเผชิญหน้ากับเกาเหวิน เขาต้องใช้ทุกสิ่งที่มี
การต่อสู้เริ่มขึ้น บางครั้งฟางหยวนก็ใช้นิ้วแทงไปที่ดวงตาของเกาเหวิน บางครั้งก็ใช้ฝ่ามือสับไปที่หลังลำคอ และบางครั้งก็ใช้เข่ากระแทกเข้าไปที่อุ้งเชิงกราน
เหงื่อไหลลงมาจากหน้าผากของเกาเหวินราวกับสายน้ำ
ทุกการเคลื่อนไหวของฟางหยวนพุ่งเข้าสู่จุดตายและสร้างภัยคุกคามถึงชีวิตให้แก่เขา
เกาเหวินเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาที่แตกต่างไปจากผู้ใช้วิญญาณ แม้เขาจะฝึกฝนมาอย่างหนักและเชี่ยวชาญด้านศิลปะการต่อสู้ แต่มนุษย์ธรรมดายังไม่สามารถฝึกฝนให้เปลือกตาของพวกเขาแข็งแกร่งขึ้น นี่คือขีดจำกัดของมนุษย์ธรรมดา
นอกจากนี้เกาเหวินก็ไม่กล้าใช้ความแข็งแกร่งทั้งหมดกับฟางหยวน
ต้องรู้ว่าฟางหยวนเป็นผู้ใช้วิญญาณของตระกูล หากเกาเหวินสังหารผู้ใช้วิญญาณของตระกูล เขาจะได้รับโทษประหารชีวิตทันที แต่ในความเป็นจริงครอบครัวสกุลโม่จะเป็นคนแรกที่ลงโทษเขา ดังนั้นในความคิดของเขาจึงมีเพียงการจับกุมเท่านั้น เขาไม่สามารถสังหารฟางหยวน
ในทางตรงข้ามฟางหยวนเต็มไปด้วยเจตนาสังหาร สถานการณ์จึงกลายเป็นการรังแกฝ่ายเดียวของฟางหยวน