เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 33 ข่มขู่ (อ่านฟรี)
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 33 ข่มขู่
แปลโดย iPAT
“หือ?” โม่เยี่ยนโกรธมากเมื่อพบว่านางหลงกลฟางหยวน
“เจ้ากล้ามากที่หลอกลวงข้าเช่นนี้” นางยื่นมือออกไปโดยหวังจะคว้าตัวฟางหยวนเอาไว้
แต่ฟางหยวนกลับหัวเราะ “โม่เยี่ยน เจ้าควรใช้ความคิดให้มากกว่านี้”
โม่เยี่ยนหยุดมืออย่างกะทันหันขณะที่นางยังยืนอยู่หน้าประตูห้องของฟางหยวน การแสดงออกของนางเปลี่ยนไปเล็กน้อย นางเริ่มลังเล
ตระกูลมีกฎระเบียบที่เข้มงวด ศิษย์ทุกคนในหอพักล้วนอยู่ภายใต้การคุ้มครองของตระกูล เดิมทีคนนอกไม่ได้รับอนุญาตให้เข้ามาที่นี่ แม้โม่เยี่ยนจะต้องการมอบบทเรียนให้กับฟางหยวน แต่นางก็ไม่กล้าฝ่าฝืนกฎ
“หากข้าทำลายกฎ มันจะไม่ส่งผลกระทบถึงผู้ใด แต่หากเป็นเจ้า มันจะส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของครอบครัวและปู่ของเจ้า” คำกล่าวของฟางหยวนทำให้ดวงตาของโม่เยี่ยนแทบลุกเป็นไฟ
“ข้าไม่เคยโกหกเจ้า เจ้าให้ข้านำทางมายังสถานที่ที่ฟางหยวนอยู่ ตอนนี้ข้าก็พาเจ้ามาที่นี่แล้ว ไม่ใช่ว่าเจ้ามีเรื่องต้องการพูดคุยกับข้างั้นหรือ?” ฟางหยวนเผยรอยยิ้มไร้กังวลและเพิกเฉยต่อแรงกดดันของผู้ใช้วิญญาณระดับสองอย่างสิ้นเชิง นอกจากนี้เขายังมองเข้าไปในดวงตาของโม่เยี่ยนโดยปราศจากความเกรงกลัวใดๆทั้งสิ้น
เขายืนอยู่ในห้องขณะที่โม่เยี่ยนยืนอยู่หน้าประตู แม้ทั้งสองจะยืนอยู่ใกล้กันมาก แต่มันกลับให้ความรู้สึกห่างไกลกันราวกับทิศตะวันตกและทิศตะวันออก
“ฮ่าฮ่าฮ่า ฟางหยวน เจ้าแน่ใจแล้วหรือว่าเจ้าศึกษากฎระเบียบของตระกูลมาดีแล้ว” โม่เยี่ยนระงับความโกรธของนางก่อนจะเผยรอยยิ้มอัปลักษณ์ออกมา “แม้เจ้าจะใช้กฎของหอพักเพื่อคุ้มครองตนเอง แต่เจ้าจะหลบอยู่ในหอพักแห่งนี้ได้ตลอดไปหรือไม่? ไม่มีทาง! แล้วข้าจะรอดูว่าเจ้าจะซุกหัวอยู่ที่นี่ได้นานเพียงใด?”
ฟางหยวนหัวเราะและมองโม่เยี่ยนอย่างเกียจคร้าน “อืม ข้าก็อยากรู้ว่าเจ้าจะรบกวนข้าได้นานเพียงใดเช่นกัน อา...นี่ก็เริ่มดึกแล้ว แต่ข้ายังมีเตียงให้นอน โอ้ แล้วเจ้าล่ะ? นอกจากนั้นหากพรุ่งนี้ข้าไม่ปรากฏตัวในชั้นเรียน อาจารย์ผู้อาวุโสจะมาที่นี่ เจ้าคิดว่าข้าควรบอกเขาว่าอย่างไร?”
“เจ้า!” โม่เยี่ยนชี้นิ้วไปที่ฟางหยวนด้วยความโกรธ “เจ้าคิดจริงๆงั้นหรือว่าข้าไม่กล้าเข้าไปลากตัวเจ้าออกมา!”
“เอี๊ยด...”
ฟางหยวนเปิดประตูห้องจนสุดก่อนจะเผยรอยยิ้มชั่วร้ายและกล่าวด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความท้าทาย “เช่นนั้นก็เข้ามา”
“ฮ่าฮ่าฮ่า...” โม่เยี่ยนสงบจิตใจลงก่อนกล่าว “เจ้าคิดว่าข้าจะถูกล่อลวงงั้นหรือ?”
ฟางหยวนยักไหล่ เขามองทะลุบุคลิกของโม่เยี่ยนได้อย่างชัดเจน
หากเขาปิดประตู มีโอกาสห้าในสิบส่วนที่โม่เยี่ยนจะพยายามบุกเข้ามา ในทางตรงข้ามหากเขาเปิดประตูกว้าง โม่เยี่ยนจะระวังตัวมากขึ้น นี่คือจุดอ่อนในจิตใจของมนุษย์ที่ฟางหยวนเข้าใจเป็นอย่างดี
ตอนนี้ฟางหยวนสามารถหันหลังให้กับโม่เยี่ยนได้อย่างสบายใจ แม้เขาจะขึ้นไปนั่งอยู่บนเตียงแล้วแต่โม่เยี่ยนก็ยังยืนอยู่ที่เดิม
‘นี่เป็นเรื่องที่น่าเศร้าของมนุษย์’ ฟางหยวนมองโม่เยี่ยนที่ยืนอยู่หน้าประตูอย่างโง่งมและคิด ‘บางครั้งสิ่งที่ขัดขวางไม่ให้บางคนกระทำการบางอย่างไม่ใช่ผู้คนหรือวัตถุแต่เป็นจิตใจของพวกเขาเอง’
หากเปรียบเทียบระดับการบ่มเพาะ ฟางหยวนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนางในเวลานี้ แต่กระทั่งนางจะมีระดับการบ่มเพาะที่สูงกว่าฟางหยวน นางก็ยังไม่มีความกล้าที่จะทำร้ายเขา ไม่แม้แต่จะกล้าเคลื่อนไหวไปที่ใดตามใจปรารถนา นางยืนห่างจากเขาเพียงไม่กี่ก้าวแต่หัวใจของนางกลับกีดขวางตัวนางเอาไว้
‘มนุษย์แสวงหาความรู้อย่างไม่หยุดยั้งเพื่อทำความเข้าใจธรรมชาติอันยิ่งใหญ่ เมื่อพวกเขาเข้าใจกฎเกณฑ์ของธรรมชาติ พวกเขาจึงสามารถใช้ประโยชน์จากมัน หากคนผู้หนึ่งยึดติดกับกฎเกณฑ์มากเกินไป มันจะกลายเป็นอุปสรรคในความก้าวหน้าของพวกเขาและเป็นเพียงเรื่องน่าเศร้าเท่านั้น’ ฟางหยวนมองโม่เยี่ยนก่อนจะปิดเปลือกตาลงและเพ่งจิตเข้าไปในทะเลวิญญาณของเขา
‘ฟางหยวนผู้นี้ถึงกับกล้าบ่มเพาะต่อหน้าข้าเลยงั้นหรือ?’ โม่เยี่ยนมองฟางหยวนด้วยความหงุดหงิดและแทบกระอักเลือดด้วยความโกรธ
นางต้องการเดินเข้าไปและปล่อยหมัดของนางออกไป
แต่นางไม่สามารถทำได้
นางรู้สึกอึดอัดเพราะนางไม่สามารถเดินหน้าขณะเดียวกันนางก็ไม่สามารถถอยกลับ
นางไม่พอใจและไม่เต็มใจที่จะยอมแพ้ ก่อนหน้านี้นางระดมบ่าวไพร่จำนวนมากออกมาเพื่อสั่งสอนฟางหยวน แต่สุดท้ายมันอาจเป็นนางที่ถูกหัวเราะเยาะ
โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อมีคนรับใช้ยืนมองนางอยู่ในขณะนี้
“บัดซบ! ฟางหยวนผู้นี้เจ้าเล่ห์เกินไป น่ารังเกียจเกินไปแล้ว!” โม่เยี่ยนสบถสาปแช่งโดยหวังว่าฟางหยวนจะเดินออกมาจากห้อง
“ฟางหยวน เจ้ายังเป็นผู้ชายอยู่หรือไม่?”
“ฟางหยวน ผู้ชายต้องรับผิดชอบการกระทำของตนเอง ตอนนี้เจ้าเป็นเพียงคนขี้ขลาดที่ซุกหัวอยู่ในห้องเท่านั้น ไม่รู้สึกละอายใจบ้างเลยงั้นหรือ?”
“หยุดแสร้งทำเป็นไม่สนใจข้าแล้วออกมาเดี๋ยวนี้!”
“คนขี้ขลาด ขยะเน่าเหม็น!”
ฟางหยวนปิดหูและไม่โต้ตอบแม้เพียงครึ่งคำ
หลังจากตะโกนสาปแช่งอยู่เป็นเวลานาน มันกลับไม่ได้ระบายความโกรธที่อยู่ในหัวใจของนางออกมาได้เลย ตรงข้าม นางยิ่งหงุดหงิดมากขึ้นและมากขึ้น นางเริ่มรู้สึกว่าตนเองเหมือนตัวตลกที่โง่เขลา การปิดกั้นประตูทางเข้าออกเป็นสิ่งที่น่าละอายใจเกินไปสำหรับนาง
“อา...สารเลว เจ้าจะต้องตายในมือข้า!” โม่เยี่ยนโกรธจนแทบคลั่งแต่นางก็หยุดยั่วยุฟางหยวนในที่สุด
“ฟางหยวน วันนี้เจ้าสามารถหลบหนี แต่มันไม่ใช่ตลอดไป!” นางกระทืบเท้าก่อนจะเดินจากไป อย่างไรก็ตามนางยังไม่ลืมออกคำสั่งสุดท้าย “เกาเหวิน ยืนเฝ้าเขาอยู่ที่นี่ ข้าไม่เชื่อว่าเขาจะไม่ออกมา!”
“รับทราบ” เกาเหวินตอบรับอย่างรวดเร็วแต่เขากลับลอบโอดครวญอยู่ภายใน แน่นอนว่างานเฝ้ายามไม่ใช่งานเบาๆ
“ฟิ้ว ฟิ้ว”
ภายในทะเลวิญญาณของฟางหยวน
ระลอกคลื่นกระจายออกไปรอบๆ เมื่อเวลาผ่านไประดับน้ำทะเลค่อยๆลดลงอย่างช้าๆ
จากสี่สิบสี่ในหนึ่งร้อยส่วนลดลงเหลือสิบสองในหนึ่งร้อยส่วน
‘หากผู้ใช้วิญญาณต้องการยกระดับการบ่มเพาะของตน นอกจากความเข้มข้นของพลังวิญญาณ พวกเขายังต้องสร้างความแข็งแกร่งให้กับทะเลวิญญาณอีกด้วย การบ่มเพาะขั้นต้น วิญญาณแห่งความหวังที่ห่อหุ้มทะเลวิญญาณเอาไว้จะเป็นแสงสีขาวนวล เมื่อผู้ใช้วิญญาณก้าวเข้าสู่ขั้นกลาง กำแพงแสงจะเปลี่ยนเป็นกำแพงวารี เมื่อก้าวเข้าสู่ขั้นสูง กำแพงวารีจะเปลี่ยนเป็นกำแพงหิน’
ความรู้ในการบ่มเพาะทั้งหมดยังแจ่มชัดอยู่ในความทรงจำของเขา
เขาค่อยๆเปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้งและพบว่ามันดึกมากแล้ว
จันทร์เสี้ยวแขวนตัวอยู่บนท้องฟ้าท่ามกลางความมืดมิด
ประตูยังเปิดกว้างขณะที่แสงจันทร์เล็ดลอดเข้ามาในห้องพร้อมกับสายลมที่โชยผ่าน
ฟางหยวนไม่มีวิญญาณที่สามารถมอบความอบอุ่นให้กับตนเอง ด้วยร่างกายของเด็กหนุ่มอายุสิบห้า ช่วยไม่ได้ที่มันจะสั่นด้วยความหนาว
คืนนี้ลมภูเขาค่อนข้างหนาวเย็นเป็นพิเศษ
“เจ้าคนโกง ในที่สุดเจ้าก็เปิดเปลือกตาขึ้นมาได้ เจ้าคิดจะบ่มเพาะไปถึงเมื่อใด? ไม่ว่าเจ้าจะซ่อนตัวอย่างไร สุดท้ายเจ้าก็ต้องได้รับบทเรียนและพ่ายแพ้ให้แก่คุณชายโม่เป่ยในที่สุด” เห็นฟางหยวนเปิดเปลือกตา เกาเหวินรีบลุกขึ้นยืนและแสดงบทบาทของเขาทันที
ฟางหยวนคิด ‘ผู้ใช้วิญญาณหญิงระดับสองผู้นั้นจากไปแล้วงั้นหรือ?’
“เจ้าได้ยินข้าหรือไม่? ออกมาเดี๋ยวนี้! หากเจ้ายังอยู่บนเตียง ข้าก็ยังต้องอยู่ตรงนี้ต่อไป หากเจ้าไม่ออกมาเร็วๆนี้ เจ้าคิดว่าข้าจะไม่กล้าพุ่งเข้าไปงั้นหรือ?” เมื่อเห็นฟางหยวนไม่ตอบสนอง เกาเหวินจึงเริ่มข่มขู่
แต่ฟางหยวนไม่สะทกสะท้าน
“สารเลว! ออกมา! ยอมจำนนซะ เจ้ายั่วยุครอบครัวสกุลโม่ เจ้าจะไม่ได้อยู่อย่างเป็นสุข รีบออกมาขอโทษคุณหนูของข้า บางทีน่งอาจให้อภัยเจ้า” เกาเหวินเต็มไปด้วยความหงุดหงิด
อย่างไรก็ตามฟางหยวนไม่ได้ฟังคนผู้นี้แม้เพียงคำเดียว เขาหยิบหินวิญญาณออกมากำไว้ในมือก่อนจะปิดเปลือกตาลงอีกครั้ง
เมื่อเห็นฟางหยวนเริ่มบ่มเพาะอีกหน เกาเหวินโกรธมาก “เจ้ามีพรสวรรค์เพียงนภาที่สาม เจ้าเป็นได้มากที่สุดก็แค่ผู้ใช้วิญญาณระดับสอง เจ้าจะบ่มเพาะไปเพื่อสิ่งใด? เจ้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของสมาชิกครอบครัวสกุลโม่ เจ้าเด็กบ้า! เจ้าหูหนวกหรืออย่างไร? เจ้าไม่เข้าใจภาษามนุษย์เช่นนั้นหรือ? เจ้าไม่ได้ยินข้าพูดงั้นหรือ!?”