เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 32 การละเล่นเล็กๆ (อ่านฟรี)
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 32 การละเล่นเล็กๆ
แปลโดย iPAT
หากคนทั่วไปพบเห็นชายวัยกลางคนกล้ามโตผู้นี้ พวกเขาอาจรู้สึกหวาดกลัว
แต่สำหรับฟางหยวน เขายังเพลิดเพลินกับอาหารบนโต๊ะต่อไป
“เขาเป็นผู้ใด? เขาสวมชุดคนรับใช้ของครอบครัวสกุลโม่ แต่เขาไม่ใช่ผู้ใช้วิญญาณ แล้วเหตุใดเขาถึงกล้าท้าทายนายน้อยฟางหยวน?” เสี่ยวเอ้อที่หลบตัวอยู่ในมุมหนึ่งของโรงเตี้ยมรู้สึกประหลาดใจ
“ฮืม เขาเหมือนสุนัขจิ้งจอกที่กล้าท้าทายราชสีห์ คนรับใช้ผู้นี้คิดว่าตนเองมีครอบครัวสกุลโม่สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง เขาถึงกล้าท้าทายผู้ใช้วิญญาณ” บางคนที่หลบอยู่ด้านข้างเสี่ยวเอ้อกล่าว
“อย่างไรก็ตามตั้งแต่เขามีความกล้าดังกล่าว เขาย่อมต้องมีความแข็งแกร่งอยู่บ้าง”
“อย่าคิดว่าผู้ใช้วิญญาณจะทรงพลังทุกคน นายน้อยฟางหยวนพึ่งเริ่มบ่มเพาะและเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับหนึ่งเท่านั้น หากพวกเขาต่อสู้กัน บางทีนายน้อยฟางหยวนอาจไม่ใช่คู่ต่อสู้ของคนรับใช้ที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามผู้นั้น”
“เห้อ...อย่างไรก็ตามหากพวกเขาต่อสู้กัน ข้าหวังว่าพวกเขาจะจ่ายค่าเสียหายให้กับโรงเตี้ยมของเราบ้าง”
ไม่มีผู้ใดกล้าเข้าใกล้ ทุกคนทำได้เพียงเฝ้ามองอยู่ในระยะไกลเท่านั้น
“หือ? เจ้ายังสามารถกินต่ออีกงั้นหรือ?” ชายวัยกลางคนพยายามข่มขู่ แต่สิ่งที่เกิดขึ้นกลับไม่ใช่สิ่งที่เขาคาดหวัง “เจ้าคิดว่าข้าโกหกงั้นหรือ? คุณหนูได้รับรายงานแล้ว ท่านจะมาที่นี่ในไม่ช้า อย่าพยายามหลบหนีเพราะเจ้าจะไม่สามารถหนีไปที่ใด อย่างไรก็ตามงานของข้ามีเพียงการเฝ้ารออยู่ที่นี่เพื่อให้แน่ใจว่าเจ้าจะได้รับความทุกข์ทรมานอย่างสาสมเท่านั้น”
ฟางหยวนไม่แยแสชายวัยกลางคนและยังคงกินอาหารของตนต่อไป
ชายวัยกลางคนขมวดคิ้วเมื่อเขาไม่เห็นความหวาดกลัวจากฟางหยวน เรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกราวกับถูกดูแคลน
เขาเป็นคนรับใช้ของครอบครัวสกุลโม่มานานนับสิบปีและเป็นคนที่ได้รับความไว้วางใจจากเจ้านาย ด้วยความใกล้ชิดกับผู้ใช้วิญญาณมาอย่างยาวนาน เขาจึงรู้เรื่องเกี่ยวกับผู้ใช้วิญญาณเป็นอย่างดี
เขารู้ว่าผู้ใช้วิญญาณระดับหนึ่งจะอาศัยพละกำลังเป็นหลัก โดยเฉพาะเมื่อฟางหยวนพึ่งเริ่มต้นบนเส้นทางแห่งการบ่มเพาะ ความแข็งแกร่งของเขาจึงไม่ห่างไกลจากชายวัยกลางคนมากนัก ด้วยการฝึกฝนทักษะการต่อสู้มาอย่างยาวนาน ชายวัยกลางคนมั่นใจมากว่าตนเองสามารถเอาชนะฟางหยวน
นอกจากนี้ชายวัยกลางคนยังรู้ว่าฟางหยวนใช้วิญญาณแห่งจันทร์ แต่ด้วยพรสวรรค์ของฟางหยวน เขาสามารถปล่อยดาบแสงจันทร์ออกมาได้เพียงไม่กี่ครั้ง ความเสียหายที่อาจได้รับจากมันจึงค่อนข้างจำกัด
สิ่งสำคัญก็คือชายวัยกลางคนมีครอบครัวสกุลโม่อยู่เบื้องหลัง ดังนั้นเขาจึงไม่มีความเกรงกลัวต่อฟางหยวนและพยายามทำงานของตนเองอย่างเต็มความสามารถเพื่อให้ได้รับรางวัลจากเจ้านาย
“เด็กน้อย เจ้ากล้าดีอย่างไร?” ชายวัยกลางคนเริ่มข่มขู่อีกครั้ง
เสี่ยวเอ้อเฝ้ามองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความหวาดกลัว ลูกค้าบางรายถึงกับรีบจ่ายเงินและจากไปทันที
“พบตัวฟางหยวนแล้วงั้นหรือ?” เสียงของหญิงสาวดังเข้ามาจากด้านหน้าโรงเตี้ยม
โม่เยี่ยนก้าวเท้าเข้ามาในโรงเตี้ยมพร้อมกับคนรับใช้จำนวนมากที่ติดตามอยู่ด้านหลัง
รูปร่างของนางมีส่วนเว้าส่วนโค้งที่ค่อนข้างน่ามอง แต่นางกลับมีใบหน้ายาวเหมือนม้าซึ่งเป็นลักษณะเด่นของครอบครัวสกุลโม่ มันจึงทำให้ความงามของนางถูกพิจารณาว่าอยู่ในระดับกลางๆเท่านั้น
อย่างไรก็ตามนางอยู่ในชุดสีน้ำเงินเข็มขัดแดงที่มีหัวเข็มขัดสีเงินพร้อมกับเลขสอง ผู้ใช้วิญญาณระดับสอง!
เนื่องจากนางพึ่งกลับมาจากการปฏิบัติภารกิจให้กับตระกูล ดังนั้นร่างกายของนางจึงปรากฏร่องรอยของความยากลำบากที่นางพึ่งประสบมาก่อนหน้า
หลังจากทั้งหมดมันกลายเป็นแรงกดดันที่แผ่พุ่งออกมาจากตัวนาง เมื่อนางก้าวเข้ามาในโรงเตี้ยม ทุกคนต่างหุบปากลงทันที
“คารวะคุณหนู” การแสดงออกของชายวัยกลางคนเปลี่ยนไปเมื่อเจ้านายปรากฏตัวขึ้น เขาเผยรอยยิ้มประจบประแจงพร้อมกับคุกเข่าลงทำความเคารพขั้นสูงสุด
เมื่อเห็นการแสดงออกของชายวัยกลางคนเปลี่ยนไปถึงเพียงนี้ ผู้คนในโรงเตี้ยมต่างรู้สึกพูดไม่ออก
ชายร่างสูงใหญ่ที่เต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อกลับมีทัศนคติที่ตรงข้ามกับภาพลักษณ์ เสี่ยวเอ้ออยากหัวเราะแต่แน่นอนว่าเขาไม่กล้า
อย่างไรก็ตามเวลานี้เสี่ยวเอ้อยิ่งรู้สึกเป็นห่วงฟางหยวนมากขึ้น ไม่ว่าอย่างไรฟางหยวนก็เป็นลูกค้ารายใหญ่ของโรงเตี้ยมแห่งนี้ หากเกิดสิ่งใดขึ้นกับเขาและเขาไม่มาที่นี่อีก โรงเตี้ยมของพวกเขาจะพบกับความสูญเสียครั้งใหญ่
เฒ่าแก่ของโรงเตี้ยมยังลอบอธิฐานให้ฟางหยวนยอมจำนนและไม่ทำให้เกิดการต่อสู้ที่จะสร้างความเสียหายให้กับโรงเตี้ยมของเขา
โม่เยี่ยนไม่ชายตามองคนรับใช้ช่างประจบประแจง เกาเหวิน แม้แต่น้อย นางเดินเข้าไปหาฟางหยวนและตวาดเสียงดังทันที “เจ้าคือฟางหยวนงั้นหรือ? ดูเหมือนเจ้ากำลังมีความสุขอยู่กับการกินอาหาร ฮ่าฮ่า เจ้าต้องการลิ้มลองกำปั้นของข้าหรือไม่? มันอร่อยมากและข้าจะให้เจ้าได้ลิ้มลอง”
แม้นางจะกล่าวออกมาเช่นนี้แต่นางไม่ได้ลงมือทันที
‘ฟางหยวนผู้นี้ช่างเยือกเย็นนัก มันแปลกเกินไป เขามีผู้ใดสนับสนุนอยู่เบื้องหลังหรือไม่?’ โม่เยี่ยนรู้สึกประหลาดใจ
‘แต่มันไม่ควรเป็นเช่นนั้น ข้าตรวจสอบมาแล้วว่าเขามีเพียงลุงกับป้าที่ไม่ลงรอยกัน ขณะที่พ่อแม่ของเขาเสียชีวิตไปหมดแล้ว เขายังถูกไล่ออกจากบ้านของลุงกับป้า นอกจากนี้เขายังมีพรสวรรค์เพียงนภาที่สาม คนอ่อนแอเช่นนี้จะมีสิ่งใดพิเศษ เป็นไปได้หรือไม่ที่เขาจะมีผู้สนับสนุนอยู่เบื้องหลัง?’ โม่เยี่ยนคิด
อย่างไรก็ตามเรื่องนี้แปลกประหลาดเกินไปดังนั้นนางจึงต้องระวังตัวมากขึ้นเล็กน้อย
ฟางหยวนหัวเราะ “ผู้ใดบอกว่าข้าคือฟางหยวน?”
โม่เยี่ยนตะลึงก่อนจะหันหน้าไปทางคนรับใช้ เกาเหวิน
เขาพึ่งลุกขึ้นแต่เมื่อตระหนักถึงสายตาของโม่เยี่ยน เขาก็คุกเข่าลงไปบนพื้นอีกครั้งพร้อมกับเม็ดเหงื่อที่ผุดพรายขึ้นบนหน้าผากและไม่ทราบว่าควรตอบคำถามอย่างไร “คุณหนู...”
พวกเขามีภาพวาดของฟางหยวน แต่ฟางหยวนกับฟางเจิ้งเป็นพี่น้องฝาแฝดที่ไม่สามารถแยกแยะออกจากกันได้โดยง่าย
“ไม่แปลกใจเลยที่เขาไม่กลัวข้า เขาไม่ใช่ผู้ใช้วิญญาณฟางหยวนแต่เป็นผู้ใช้วิญญาณฟางเจิ้ง!” เกาเหวินอุทา
‘ฟางหยวนมีพรสวรรค์เพียงนภาที่สามและไม่มีผู้สนับสนุน เขาไม่สามารถเปรียบเทียบกับฟางเจิ้งที่มีพรสวรรค์นภาที่หนึ่ง ตราบเท่าที่ผู้ใช้วิญญาณฟางเจิ้งเติบโตขึ้นอย่างราบรื่น เขาจะมีอนาคตที่สดใส’ โม่เยี่ยนได้รับคำตอบจากเกาเหวินทำให้นางรู้สึกลังเล
ในสถานที่แห่งนี้มีเพียงเสี่ยวเอ้อเท่านั้นที่รู้จักตัวตนที่แท้จริงของฟางหยวน แต่แน่นอนว่าเขาไม่กล้ากล่าวสิ่งใด
‘หากคนผู้นี้คือฟางเจิ้ง ข้าก็ไม่ต้องการสร้างปัญหาให้เขา แต่ข้าจะตามเขาไปยังสถานศึกษาของหมู่บ้าน หากเขาเป็นฟางหยวน เขาจะไม่สามารถปลอมตัวเป็นฟางเจิ้ง’ โม่เยี่ยนตัดสินใจ
“เอาล่ะ ไปสถานศึกษากับข้า” โม่เยี่ยนเปิดทางให้ฟางหยวนและยกมือขึ้นเป็นสัญญาณบอกให้เขาเดินนำไปยังสถานศึกษา
ฟางหยวนหัวเราะก่อนจะเดินออกไปอย่างไม่แยแสโดยมีโม่เยี่ยนและสมุนของนางเดินตามไปด้านหลัง
“อันตรายจริงๆ”
“พวกเขาไปในที่สุด”
“แม้พวกเขาจะต่อสู้กัน มันก็ไม่เกี่ยวกับโรงเตี้ยมของเราอีกแล้ว”
เถ้าแก่และเสี่ยวเอ้อถอนหายใจด้วยความโล่งอก
คนกลุ่มใหญ่เดินมาถึงทางเข้าหอพักศิษย์ของสถานศึกษา
“หยุด!”
“หยุดอยู่แค่นั้น หอพักของสถานศึกษาอนุญาตให้ผู้ใช้วิญญาณของตระกูลเข้าออกได้เท่านั้น” ยามรักษาการณ์ที่ยืนอยู่หน้าประตูหยุดกลุ่มของฟางหยวน
“งี่เง่า! เจ้าไม่รู้ว่าข้าคือผู้ใดงั้นหรือ? กล้าดีอย่างไรมาหยุดข้า?” โม่เยี่ยนตะคอกเสียงดังด้วยความโกรธ
“พวกเรามิกล้า” ยามทั้งสองเร่งโบกมือ
“คุณหนูโม่เยี่ยน พวกเราต่างเคารพนับถือท่าน อย่างไรก็ตามกฎของตระกูลมิอาจฝ่าฝืน คุณหนูสามารถนำคนรับใช้ตามเข้ามาได้หนึ่งคน นี่คือสิ่งที่ดีที่สุดที่พวกเราสามารถทำเพื่อคุณหนู” ยามกล่าวด้วยความสุภาพ
โม่เยี่ยนก่นเสียงเย้ยหยันเล็กน้อยแต่นางก็ไม่สามารถฝ่าฝืนกฎของตระกูลแม้นางจะไม่พอใจก็ตาม
ครอบครัวสกุลโม่เป็นครอบครัวใหญ่ที่น่าเกรงขามแต่พวกเขาก็มีศัตรูอยู่มากและต้องไม่ลืมว่ายังมีสกุลซื่อที่เป็นคู่แข่งสำคัญ นอกจากนี้ยังมีผู้นำตระกูลที่พวกเขาต้องให้ความยำเกรง
“เกาเหวินตามข้ามา ส่วนคนอื่นๆรออยู่ที่นี่” โม่เยี่ยนออกคำสั่ง
เกาเหวินยกหน้าอกขึ้นพร้อมกับใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสุข “ขอบพระคุณคุณหนูที่ให้โอกาส”
“ไปกันเถอะเด็กน้อย” โม่เยี่ยนเผยรอยยิ้มให้กับฟางหยวน
ฟางหยวนยังไม่สะทกสะท้าน เขานำคนท่านสองไปยังห้องพักของเขาก่อนที่จะผลักประตูเข้าไปและหยุดอยู่ในห้อง
ในห้องพักไม่มีสิ่งใดเป็นพิเศษ มันเป็นห้องที่เรียบง่ายและไม่มีผู้อื่นอยู่ที่นี่
โม่เยี่ยนยืนอยู่หน้าห้องและมองเข้าไปภายในด้วยคิ้วที่ขมวดแน่น “เด็กน้อย เจ้าจะอธิบายเรื่องนี้อย่างไร ไม่มีผู้ใดอยู่ในห้องนี้”
ฟางหยวนเผยรอยยิ้มบาง “แล้วข้าไม่ใช่ผู้ใดงั้นหรือ?”
โม่เยี่ยนมองฟางหยวนขณะที่นางเริ่มเข้าใจบางสิ่ง “ข้ากำลังมองหาผู้ใช้วิญญาณฟางหยวน”
ฟางหยวนหัวเราะ “ข้าไม่เคยบอกว่าข้าไม่ใช่ฟางหยวนถูกต้องหรือไม่?”