เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 31 ฟางหยวน ภัยพิบัติกำลังจะมาเยือนเจ้า (อ่านฟรี)
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 31 ฟางหยวน ภัยพิบัติกำลังจะมาเยือนเจ้า
แปลโดย iPAT
“ข้าฝึกศิลปะการต่อสู้อย่างหนักมาตลอดเจ็ดวัน แต่ข้ายังหมดสติอย่างรวดเร็วด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียวจากฟางหยวน ความอัปยศนี้ไม่สามารถให้อภัย!” โม่เป่ยตะโกนเสียงดังด้วยความปวดใจ
ในสวนของครอบครัวสกุลโม่ โม่เป่ยโจมตีหุ่นไม้อย่างบ้าคลั่ง
ทันใดนั้นเสียงหัวเราะสายหนึ่งพลันดังขึ้น “น้องเล็ก เจ้ามีความเกลียดชังใดต่อหุ่นไม้ตัวนั้นงั้นหรือ?”
เมื่อได้ยินเสียงสายนี้ โม่เป่ยหยุดให้ความสนใจหุ่นไม้และหัวหน้ากลับทันที “พี่ใหญ่ ท่านกลับมาแล้ว”
“อืม ฮ่าฮ่า ตระกูลส่งข้าไปทำภารกิจบางอย่างที่ต้องใช้เวลานานกว่าสิบวัน...” โม่เยี่ยนตอบ นางเป็นพี่สาวในสายเลือดของโม่เป่ยและเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับสอง
แต่ในจังหวะนี้การแสดงออกของนางกลับเปลี่ยนแปลงไป นางมองไปที่โม่เป่ย “น้องเล็ก เหตุใดใบหน้าของเจ้าถึงเป็นเช่นนี้? รอยฟกช้ำเหล่านี้เกิดขึ้นได้อย่างไร? ผู้ใดกล้ารังแกเจ้า?”
“อา...ไม่ ข้าเพียงสะดุดหกล้มเท่านั้น” ร่องรอยแห่งความหวาดกลัวปรากฏขึ้นในดวงตาของโม่เป่ย เขาไม่ต้องการให้พี่สาวผู้นี้รู้เรื่องที่น่าอัปยศของเขา ทายาทผู้สืบทอดตำแหน่งหัวหน้าครอบครัวในอนาคตของสกุลโม่ถูกทุบตีและพ่ายแพ้อย่างง่ายดายในการต่อสู้ นี่ไม่ใช่เรื่องน่ายินดีอย่างแน่นอน โชคดีที่เขาไม่ใช่ผู้เคราะห์ร้ายเพียงหนึ่งเดียว
“โอ้ หากเป็นกรณีนี้ เจ้าต้องระวังให้มากขึ้น สำหรับการฝึกซ้อมของเจ้า เมื่อเจ้าไม่มีวิญญาณที่ช่วยเพิ่มพลังป้องกัน เจ้าก็ต้องใช้ผ้ารัดพันกำปั้นของเจ้าเอาไว้ มันจะช่วยปกป้องอาการบาดเจ็บได้” โม่เยี่ยนกล่าวก่อนจะเดินจากไป
“คารวะคุณหนู”
“อรุณสวัสดิ์นายหญิง”
“คุณหนู ท่านกลับมาแล้ว คนรับใช้ผู้นี้ขอคารวะเจ้าค่ะ”
ขณะที่โม่เยี่ยนเดินไปตามเส้นทางภายในคฤหาสน์ กลุ่มคนรับใช้เร่งทำความเคารพเมื่อเห็นนาง
นางเดินเข้าไปในห้องทำงานของโม่เฉินโดยไม่ได้ขออนุญาต
ในห้องโม่เฉินกำลังตวัดพู่กันขีดเขียนงานศิลปะโดยหันหลังให้นาง
“เจ้ากลับมาแล้วหรือ?” โม่เฉินกล่าวโดยไม่ต้องหันไปมอง “หลังจากตรวจสอบสถานการณ์มากว่าครึ่งเดือน พบรังหมาป่าหรือไม่?”
“ท่านปู่ทราบได้อย่างไร?” โม่เยี่ยนกลายเป็นมึนงง
“ฮืม...ในครอบครัวมีเจ้าเพียงผู้เดียวที่กล้าเข้ามาโดยไม่เคาะประตู หากไม่ใช่หลานสาวสุดที่รักของข้าแล้วจะเป็นผู้ใดได้อีก?” โม่เฉินเผยรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยความรักความเอ็นดูขณะหันหน้ากลับไปหาโม่เยี่ยน
โม่เยี่ยนกล่าว “ท่านปู่ น้องเล็กถูกทำร้าย ข้าถามเขาแล้ว แต่เขาปฏิเสธ ข้าไม่มีทางเลือกนอกจากมาสอบถามกับท่าน”
ใบหน้าของโม่เฉินเปลี่ยนเป็นจริงจัง “เจ้ายังไม่ได้ตอบคำถามของข้า” โม่เฉินนั่งลงบนเก้าอี้
โม่เยี่ยนกล่าวรายงานอย่างไม่เต็มใจ “มีหมาป่าเป็นจำนวนมาก แม้พวกมันจะไม่บุกโจมตีหมู่บ้านของพวกเราในปีนี้ แต่ด้วยความเร็วในการขยายเผ่าพันธุ์ พวกมันต้องบุกโจมตีหมู่บ้านภายในปีหน้าอย่างแน่นอน”
โม่เฉินถามต่อ “ปกติแล้วฝูงหมาป่าจะบุกโจมตีหมู่บ้านของเราทุกๆสามปี นี่ไม่ใช่แปลก อย่างไรก็ตามมีหมาป่าสายฟ้าอยู่ที่นั่นหรือไม่?”
“มีสามตัว”
โม่เฉินพยักหน้า หมาป่าสายฟ้าเป็นผู้นำฝูงหมาป่าและเป็นปัญหาใหญ่ที่สุดสำหรับพวกเขา
“ท่านปู่ ท่านยังไม่ได้บอกข้าเรื่องน้องเล็ก” โม่เยี่ยมถามซ้ำ
“มันไม่ใช่เรื่องใหญ่โต เขาแพ้ในการต่อสู้ ครั้งแรกเมื่อเจ็ดวันก่อนและครั้งที่สองวันนี้ มันเกิดขึ้นที่ประตูทางออกของสถานศึกษาประจำหมู่บ้าน เขาถูกทุบตีก่อนจะสลบไปทั้งสองครั้ง” โม่เฉินหัวเราะ
“ผู้ใดกล้าทำร้ายน้องเล็กของข้า!” โม่เยี่ยนตะโกนเสียงดัง
“เขาเป็นสหายร่วมชั้นเรียนของโม่เป่ยชื่อฟางหยวน เขาต่อสู้ได้ดีทีเดียว” โม่เฉินหัวเราะอีกครั้ง
โม่เยี่ยนขมวดคิ้วลึกและมองไปที่โม่เฉิน “ท่านปู่ ท่านกำลังกล่าวสิ่งใด? เขาเป็นหลานในสายเลือดของท่าน เหตุใดท่านถึงไม่ปกป้องเขา?”
โม่เฉินมองเข้าไปในดวงตาของโม่เยี่ยนก่อนกล่าวด้วยความรัก “โม่เยี่ยน เจ้าเป็นเด็กผู้หญิง เจ้าอาจไม่เข้าใจ ความพ่ายแพ้และความอัปยศเป็นสิ่งผลักดันให้บุรุษสามารถก้าวเดินไปข้างหน้าได้อย่างรวดเร็ว หากไม่เคยล้มเหลวก็ยากนักที่จะประสบความสำเร็จ เขาจะต้องพัฒนาตนเองและเติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่ที่แข็งแกร่ง”
“โม่เป่ยพ่ายแพ้และนั่นคือความล้มเหลวของตัวเขาเอง เมื่อเขาได้ถูกกระตุ้น เขาจะตั้งใจฝึกฝนทักษะการต่อสู้มากขึ้นเพื่อเอาชนะฟางหยวนให้ได้ในที่สุด ในฐานะพี่สาว เจ้าต้องสนับสนุนน้องชายและอย่าเข้าไปแทรกแซงเรื่องนี้ นอกจากนั้นฟางหยวนยังเป็นเพียงผู้มีพรสวรรค์นภาที่สาม ส่วนโม่เป่ย เขามีพรสวรรค์นภาที่สอง ในอนาคตเขาจะก้าวข้ามฟางหยวนไปได้อย่างแน่นอน”
“สำหรับผู้หญิง ครอบครัวและคนรักอาจเป็นสิ่งสำคัญที่สุด แต่สำหรับผู้ชาย สิ่งที่พวกเขาขาดไม่ได้ก็คือการต่อสู้ จงรักษาคู่ต่อสู้ของโม่เป่ยเอาไว้ อย่าสร้างปัญหาให้กับฟางหยวน นี่เป็นเรื่องของผู้เยาว์ หากเจ้าเข้าแทรกแซง มันจะกลายเป็นผู้ใหญ่รังแกเด็ก การละเมิดกฎของตระกูลจะทำให้ผู้คนดูถูกครอบครัวของเรา”
โม่เยี่ยนไม่สามารถกล่าวสิ่งใด นางมองโม่เฉินอยู่ชั่วครู่ก่อนจะก้มศีรษะลงและตอบรับ “ท่านปู่ ข้าเข้าใจแล้ว”
นางเดินก้มหน้าออกไปจากห้องแต่ดวงตาของนางกลับส่องประกายเย็นชา
‘ท่านปู่ ท่านมีวิธีการดูแลหลานของท่าน แต่ข้าก็มีวิธีการปกป้องน้องชายของข้าเช่นกัน’ ในใจของโม่เยี่ยนเต็มไปด้วยแผนการร้าย
ในโรงเตี้ยมผู้คนกำลังนั่งกินดื่มกันอย่างมีชีวิตชีวา เสี่ยวเอ้อสองคนวิ่งส่งอาหารกันอย่างชุลมุนวุ่นวาย
ฟางหยวนนั่งอยู่ที่โต๊ะริมหน้าต่าง เขาสั่งอาหารมาสองสามอย่าง เขามองออกไปข้างนอกระหว่างทานอาหร
ดวงอาทิตย์เคลื่อนคล้อยลงจากท้องฟ้าราวกับเปลวเพลิงที่กำลังจะมอดดับลงอย่างช้าๆ
บนท้องถนนเต็มไปด้วยผู้คนที่กำลังเดินทางกลับบ้าน บางคนเป็นชาวนา บางคนเป็นคนเก็บสมุนไพร และบางคนก็เป็นนักล่าไก่ฟ้าหรือหมูภูเขา นอกจากนี้ยังมีผู้ใช้วิญญาณที่แต่งตัวด้วยชุดอันหรูหราบ่งบอกถึงความยิ่งใหญ่ของพวกเขาปะปนอยู่กับมนุษย์ธรรมดา
ผู้ใช้วิญญาณมีเครื่องแบบประจำตัวของพวกเขาเอง นอกจากผ้าโบกศีรษะ พวกเขายังสวมเข็มขัดที่บ่งบอกระดับของตนเอง สำหรับผู้ใช้วิญญาณระดับหนึ่ง เข็มขัดของพวกเขาเป็นสีฟ้าและมีหัวเข็มขัดสีทองแดงพร้อมกับเลขหนึ่ง ผู้ใช้วิญญาณระดับสองจะสวมเข็มขัดสีแดงที่มีหัวเข็มขัดสีเงินและเลขสอง
ด้วยการมองออกไปนอกหน้าต่าง ฟางหยวนสามารถพบเห็นผู้ใช้วิญญาณระดับหนึ่งหกคน ทุกคนต่างเป็นผู้เยาว์ มีผู้ใช้วิญญาณระดับสองวัยกลางปะปนอยู่หนึ่งคน
ผู้ใช้วิญญาณระดับสามคือผู้อาวุโสของตระกูล ผู้ใช้วิญญาณระดับสี่มีเพียงผู้นำตระกูลแสงจันทร์หรือก็คือหัวหน้าหมู่บ้านแสงจันทร์บรรพกาลผู้เดียวเท่านั้น
สุดท้ายผู้ใช้วิญญาณระดับห้า ตัวตนระดับนี้ไม่เคยปรากฏในตระกูลแสงจันทร์มานานมากแล้ว ในประวัติศาสตร์ของตระกูลแสงจันทร์มีเพียงผู้ก่อตั้งตระกูลและผู้นำตระกูลรุ่นที่สี่เท่านั้นที่บรรลุระดับห้า
‘แท้จริงแล้วการตรวจสอบความแข็งแกร่งของหมู่บ้านไม่ใช่เรื่องยาก คนผู้หนึ่งเพียงต้องสังเกตผู้คนที่สัญจรอยู่กลางหมู่บ้านเพียงไม่กี่ชั่วโมงและดูว่ามีผู้ใช้วิญญาณระดับหนึ่งกับระดับสองอยู่กี่คน เพียงเท่านี้ก็สามารถทำความเข้าใจความแข็งแกร่งของหมู่บ้านได้แล้ว’ ฟางหยวนสรุป
ตัวอย่างเช่นหมู่บ้านแสงจันทร์บรรพกาล มีผู้คนเดินอยู่บนถนนประมาณยี่สิบคน มีผู้ใช้วิญญาณระดับหนึ่งหกคน ผู้ใช้วิญญาณระดับสองหนึ่งคน
ด้วยความแข็งแกร่งและเงินทุนของตระกูลแสงจันทร์ พวกเขาสามารถผูกขาดทรัพยากรบนภูเขาชิงเหมา แต่ภูเขาชิงเหมาเป็นเพียงพื้นที่ส่วนเล็กๆทางภาคใต้ของทวีปเท่านั้น ตระกูลแสงจันทร์จึงถูกพิจารณาว่าเป็นตระกูลระดับล่าง
‘ข้าพึ่งเริ่มต้นเส้นทางแห่งการบ่มเพาะ ด้วยการเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับหนึ่ง ข้ายังไม่มีคุณสมบัติที่จะเตร็ดเตร่ออกไปแม้แต่พื้นที่ชายแดนทางใต้ อย่างน้อยข้าต้องเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับสามจึงจะสามารถออกจากหมู่บ้านแห่งนี้’ ฟางหยวนถอนหายใจ
ภูเขาชิงเหมาเล็กเกินไป มันไม่สามารถเติมเต็มความทะเยอทะยานและเหนี่ยวรั้งเขาเอาไว้
“ฮ่าฮ่าฮ่า ผู้ใช้วิญญาณฟางหยวน ข้าพบเจ้าในที่สุด” ชายวัยกลางคนผู้หนึ่งหัวเราะเสียงดังและเดินเข้ามาหาฟางหยวน
“หือ?” ฟางหยวนหันหน้าไปทางชายวัยกลางคนผิวเหลืองคิ้วแหลมที่เดินใกล้เข้ามา คนผู้นี้มีรูปร่างสูงใหญ่และเต็มไปด้วยมัดกล้ามเนื้อ เขาพับแขนเสื้อขึ้นและมองฟางหยวนราวกับเป็นศัตรูคู่อาฆาต
“ฟางหยวน ภัยพิบัติกำลังจะมาเยือนเจ้า รู้ตัวหรือไม่? ฮ่าฮ่าฮ่า เจ้ากล้าทุบตีนายน้อยตระกูลโม่ ตอนนี้พี่สาวของเขาอยู่ที่นี่และต้องการคิดบัญชีกับเจ้า!” ชายวัยกลางคนเผยรอยยิ้มเย้ยหยัน