ตอนที่ 139: การมาถึง (2)
แถวข้อมูลที่ซับซ้อนถูกถ่ายโอนไปยังสมองของแองเจเล่
94% ของเนื้อหามีสิ่งเจือปน เชื้อโรคที่ตาย ปรสิตและแร่ธาตุบางอย่าง พบเลือดโบราณเพียงไม่กี่เปอร์เซ็นต์และมันก็เป็นเรื่องยากที่แองเจเล่จะสกัดออกมา
แองเจเล่จะต้องสูญเสียเวลากับสิ่งที่เขาต้องจัดการก่อน
'มีสิ่งเจือปนมากเกินไป ข้าต้องขจัดพวกมันออกไปทีละอย่าง' มีรอยยิ้มขมขื่นบนใบหน้าของเขา
'อย่างน้อยข้าก็ไม่ว่าง ข้ารวบรวมเลือดมามากแต่เลือดโบราณก็ยังคงยากที่จะสืบเสาะ ถ้าปราศจากซีโร่ข้าก็จะต้องหยุดทดสอบตรงนี้ ไม่สงสัยเลยที่ไทโมรอลบอกว่าพ่อมดส่วนใหญ่ยอมแพ้'
'ซีโร่ตรวจสอบฐานข้อมูลและบอกข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเลือดโบราณ' แองเจเล่สั่ง
[ไม่พบบันทึก]
แองเจเล่ทำอะไรไม่ถูก
***************************
หนึ่งเดือนต่อมา....
ในที่สุดฟิวเจอร์ก็ผ่านทะเลอัญมณีและมาถึงบ้านเกิดของแองเจเล่ มันจะหยุดเพียงครั้งเดียวที่ท่าเรือที่อยู่ใกล้ๆเพื่อบำรุงรักษาก่อนที่จะมุ่งหน้าไปท่าเรือมารัวของพันธมิตรแอนดีส
"เฮ้ การทดสอบของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง" เสียงของไทโมรอลดังมาจากข้างหลัง
แองเจเล่หันกลับไปและเห็นไทโมรอลกำลังยิ้มให้เขา ชายคนนี้กำลังจับราวด้วยมือทั้งสองข้างและมองออกไปที่ผิวของทะเล
ผู้คนบนดาดฟ้าทั้งหมดอยู่ห่างจากทั้งสองคนรวมถึงพ่อมดฝึกหัด ทุกคนหวาดกลัวจากการทดลองที่โหดเหี้ยมของแองเจเล่
"มันยุ่งยาก" แองเจเล่ส่ายหัว
"มันมีสิ่งเจือปนมากเกินไป ข้าไม่เห็นร่องรอยของเลือดโบราณ ข้าไม่รู้ว่าจะทำอะไรต่อไป"
"อืม นี่เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องเผชิญ โดยปกติแล้วเจ้าจะพบเลือดโบราณหลังจากที่ได้รับลูกเลือด อย่างไรก็ตามเลือดโบราณของฮาร์ปี้ผสมอยู่กับสิ่งเจือปน" ไทโมรอลอธิบายอย่างรวดเร็ว
แองเจเล่พยักหน้าและมองไปที่ทะเล เขาเห็นเรือขนาดใหญ่สองลำแล่นไปทิศทางเดียวกับฟิวเจอร์
มีลวดลายสิงโตน้ำเงินอยู่บนเรือลำหนึ่ง แองเจเล่เห็นลูกเรือกำลังทำงานบนดาดฟ้าและมีขุนนางผู้หญิงหลายคนกำลังคุยกัน
"เราจะถึงมารัวในอีกวันหรือสองวัน ข้าได้บอกให้คนส่งข้อความไปให้เพื่อนข้าแล้วพวกเขาจะมารับข้าที่ท่าเรือ ข้าจะแนะนำเจ้าต่อพวกเขา" ไทโมรอลมองที่แองเจเล่และยิ้ม
"ขอบคุณ" แองเจเล่พยักหน้า
"มีคนรอเจอข้าอยู่ในห้องและข้าต้องตรวจสอบตารางของข้า นอกจากนี้ยังมีพ่อมดฝึกหัดสองคนได้มีข้อโต้แย้งกันเมื่อวาน หลังจากที่ทำอะไรเสร็จแล้วข้าจะไปตรวจสอบพวกเขา" ไทโมรอลพูด
"แล้วเจอกัน"
"อืม" ไทโมรอลพยักหน้าและเดินไปที่บันได
แองเจเล่ยืนอยู่บนดาดฟ้าเฝ้าดูคลื่นอย่างเงียบๆ
ไม่มีช่างตัดผมบนเรือดังนั้นผมของเขาจึงเริ่มยาวและมันก็ไปถึงไหล่ของเขา ผมยาวเรียบๆของแองเจเล่อาจดูคล้ายกับบารอนตอนวัยเยาว์
เขาเอาหลอดคริสตัลขนาดเล็กออกมาจากกระเป๋า มันเป็นภาชนะที่บรรจุน้ำอสุ
มีของเหลวสีม่วงอยู่ภายในหลอดคริสตัลโปร่งใส มันเป็นเลือดโบราณสองหยดที่แองเจเล่สกัดจากศพของฮาร์ปี้ 15 ตัว เขาใช้เวลาทั้งเดือนในการวิจัยแต่มันก็คือทั้งหมดที่เขาพบ
'ซีโร่พบข้อมูลใหม่ที่อาจจะเกิดขึ้นกับร่างกายของข้าหรือไม่' แองเจเล่สงสัย
[ต้องการข้อมูลเพิ่มขึ้นสำหรับการจำลอง หลังจากการวิเคราะห์สองครั้งเป็นไปได้ที่จะเกิดผลบางอย่าง โอกาสที่ร่างกายจะกลายพันธุ์ 43.21% โอกาสที่ไม่มีผลใดๆ 16.5% โอกาสที่จะเกิดผลที่ไม่รู้จัก 40.29%] แองเจเล่เคยบอกให้ซีโร่วิเคราะห์เลือดสองครั้งแต่ผลที่เขาได้ก็เหมือนกัน เขายังไม่แน่ใจว่าเลือดโบราณจะช่วยให้เขาก้าวหน้าหรือไม่
แองเจเล่อยากฉีดเลือดเข้าไปในร่างกายแต่เขาต้องคิดให้ออกว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น เขาไม่อยากเสี่ยง
'ข้าต้องรวบรวมข้อมูลสำหรับฐานข้อมูลจนซีโร่สามารถแสดงการวิเคราะห์ที่ละเอียดขึ้น' มันไม่ใช่สิ่งสำคัญอันดับแรกของแองเจเล่ดังนั้นเขาจึงตัดสินใจที่จะใช้พวกมันทีหลัง เขาโกหกไทโมรอลเพราะเขาไม่อยากเด่น
แองเจเล่เก็บหลอดกลับเข้าไปในกระเป๋าและกลับห้องของเขา
***********************
บ่ายวันต่อมา
อาทิตย์กำลังจมลงขอบฟ้าอย่างช้าๆ
นกทะเลสีขาวและสีดำกำลังบินผ่านท้องฟ้าภายใต้แสงแดดที่กำลังหายไป ท่าเรือมารัวนั้นยุ่งตามปกติ มีเรือหลายลำออกจากท่าเรือในขณะที่เรือลำอื่นมาถึง เรือสีน้ำเงินที่มีแถบสีขาวตามเรือขนาดใหญ่สีดำไปช่องทางด้านขวาของท่าเรือ
สมอได้ถูกทิ้งลงไปในทะเล มีคนหลายคนรออยู่ที่สะพาน บางคนเป็นพ่อมดฝึกหัดใหม่ที่กำลังรอถูกรับขึ้นฟิวเจอร์ในขณะที่บางคนเป็นเพียงคนธรรมดา
แองเจเล่และไทโมรอลเดินลงบันได แองเจเล่สวมชุดคลุมสีดำและไทโมรอลสวมชุดคลุมสีขาว
ความรู้สึกหลายอย่างอยู่เต็มหัวของแองเจเล่ในขณะที่เขาก้าวขึ้นบนแผ่นดินนี้อีกครั้ง
"มันเป็นเวลาสี่ปีแล้ว ข้ากลับมาแล้ว" เขาได้กลิ่นหอมที่คุ้นเคยในอากาศ สายลมที่พัดอย่างอ่อนโยนพัดผมของเขาลอยขึ้นในอากาศในขณะที่เขาค่อยๆก้าวไปข้างหน้า
"รู้สึกดีใช่ไหม เราเปลี่ยนเส้นทางให้ก็เพราะเจ้า" ไทโมรอลตบไหล่แองเจเล่เบาๆ
พวกเขาลงเรือและมีคนบนสะพานหลายคนก้าวไปด้านข้างเพื่อสร้างเส้นทางให้พวกเขา มีขุนนางชายหลายคนที่สวมชุดหรูหราเดินมาหาพวกเขา
"ยินดีต้อนรับสู่มารัว ท่านไทโมรอลเราไม่ได้พบกันเกือบสิบปีแล้ว ท่านดูอายุไม่มากเลย" ชายอ้วนวัยกลางคนยืนยิ้มอยู่ข้างหน้าและชมเชย
"จัสตินตอนนี้เจ้ามีริ้วรอยบนใบหน้าของเจ้า ข้าไม่ได้คิดว่าเจ้าจะรอข้าที่นี่" ไทโมรอลหัวเราะเบาๆ
"นี่คือแองเจเล่ ข้าต้องรับคนใหม่ดังนั้นข้าจึงต้องไปก่อน ข้าหวังว่าเจ้าทั้งสองคนจะเข้ากันได้" เขาแนะนำแองเจเล่ให้ขุนนาง
ตาของจัสตินแคบลง เขาเข้าใจได้ว่าแองเจเล่คือใครทันทีหลังจากที่ได้ยินคำพูดของไทโมรอล เขาหันหัวไปมองที่แองเจเล่
"ยินดีต้อนรับท่านแองเจเล่ ที่นี่มันวุ่นวายเกินไป กลับกันเถอะข้าเตรียมงานเลี้ยงอาหารค่ำให้ท่านแล้ว"
แองเจเล่พยักหน้าและยิ้ม "ขอบคุณ จริงๆแล้วที่นี่เสียงค่อนข้างดัง"
"ได้โปรดตามมาทางนี้" จัสตินและขุนนางคนอื่นๆเริ่มเดินไปตามถนน แองเจเล่ตามพวกเขาไป
คนส่วนใหญ่ที่นี่ไม่เข้าใจว่าคนชุดคลุมดำคืออะไรแต่พวกเขารู้ว่าแองเจเล่จะต้องเป็นคนสำคัญหลังจากที่เห็นจัสตินปฏิบัติต่อเขาอย่างไร
พ่อมดฝึกหัดบนสะพานรีบขึ้นเรือหลังจากที่พูดกับไทโมรอล พวกเขาคุยกันเสียงดังในขณะที่พวกเขาหวังไว้สูงกับอนาคตของพวกเขา
แองเจเล่มองไปที่พวกเขาและนึกถึงวันที่เขาขึ้นเรือ เขามีความคาดหวังแบบเดียวกันกับคนหนุ่มสาวเหล่านั้น
"ท่านแองเจเล่ข้าเดาว่าท่านจะอยู่แผ่นดินนี้สักพักหนึ่งใช่หรือไม่" จัสตินถาม
"ใช่ ข้าจะกลับไปอีกฟากหนึ่งของทะเลในสี่ปี" แองเจเล่พยักหน้าและมองไปที่เรือที่ออกเดินทาง
"จริงๆแล้วข้ามาจากจักรวรรดิรูดิน เจ้าชายจัสตินข้าสงสัยว่าท่านรู้จักศาสตราจารย์อดอล์ฟที่เป็นครูสอนภาษาในโรงเรียนหรือไม่"
"อืม..." จัสตินหยุดครู่หนึ่ง เขาไม่เคนสนใจคนที่มีตำแหน่งตำกว่าเจ้าเมือง
"ท่านหมายถึงรองเจ้าเมืองอดอล์ฟหรือ" ขุนนางชายช่วยเจ้าชายตอบคำถามของแองเจเล่
"รองเจ้าเมือง" แองเจเล่ตกใจเล็กน้อย
"ข้าไม่รู้จริงๆ ศาสตราจารย์อดอล์ฟสอนหลักสูตรภาษาให้ข้าในโรงเรียน แต่เขาไม่เคยบอกข้าเรื่องนี้ เขาเป็นรองเจ้าเมืองงั้นหรือ"
"ข้าเป็นอาจารย์ของท่าน" ขุนนางรอบๆตกใจ พวกเขาเริ่มคิดวิธีที่พวกเขาจะปฏิบัติต่ออดอล์ฟในใจของพวกเขา
"นี่เป็นเจ้าเมืองของท่าเรือมารัว" จัสตินชี้ไปที่ผู้ชายที่ตอบคำถามของแองเจเล่
"ยินดีที่ได้รู้จัก ข้ารอคอยที่จะร่วมงานกับท่าน" แองเจเล่ยิ้มอย่างอ่อนโยน
"ครับ" เจ้าเมืองพยักหน้าและตอบอย่างสุภาพ
แองเจเล่รับประทานอาหารเย็นกับเจ้าชายในคฤหาสน์ขนาดใหญ่และเจ้าชายได้มอบหมายให้กลุ่มยามปกป้องเขาในเมือง จัสตินบอกให้ขุนนางที่ชื่อเรย์เบ็นช่วยแองเจเล่ก่อนที่จะไปประชุม
แองเจเล่ออกไปพร้อมกับยามและเรย์เบ็นหลังจากที่ทานอาหารเย็น เขาขอรถม้าและตรวจสอบตำแหน่งบ้านของเขาสองครั้งกับเรย์เบ็นระหว่างทางที่ไป คฤหาสน์ของบารอนยังอยู่ในเขตชานเมือง
แองเจเล่นั่งภายในรถม้าสีเงินที่ตกแต่งอย่างสวยงามและมองออกไปนอกหน้าต่าง ทางด้านขวาของถนนเขาเห็นอาคารสีขาวสูงสามชั้นอยู่ตรงกลางทุ่ง มีรั้วสีดำที่แสดงว่าเป็นพื้นที่ส่วนตัว
มันได้ถึงฤดูใบไม้ผลิแล้ว เขายังมองเห็นชาวนาพรวนดินที่ทุ่งในตอนเย็น
"นายท่านที่นี่คือคฤหาสน์ริโอ" คนขับรถม้าอัศวินไลอ้อนรายงานเสียงดัง
"หยุดที่ทางเข้า" แองเจเล่บอก
ยามที่อยู่ในชุดเกราะเงินตามรถม้าอยู่ด้านข้างเพื่อตรวจสอบว่าเส้นทางนี้ปลอดภัย อัศวินเรย์เบ็นกำลังนำทางด้วยม้าที่แข็งแรงและสวมชุดสีดำ
เสียงยามและรถม้าดึงดูดคนให้สนใจ แองเจเล่มองออกไปนอกหน้าต่างและเห็นคนหลายคนเดินมาที่ทางเข้า ชายที่ยืนอยู่ข้างหน้ามีกล้ามและผมสีน้ำตาลยาวถึงไหล่ นอกจากนี้ยังมีผู้หญิงชุดสีขาวข้างๆเขา
"พ่อ" แองเจเล่จำผู้ชายคนนั้นได้ทันที
บารอนมีสีหน้าเคร่งเครียด เขาจ้องเขม็งไปที่รถม้าและขมวดคิ้วขณะที่พูดกับคนที่อยู่ข้างๆเขา
แองเจเล่หยุดมองและเปิดประตู
"ข้ากลับมาแล้ว...." แองเจเล่หลับตาอยู่ครู่หนึ่ง เขาได้ยินเสียงม้าข้างหน้าเขาร้อง