ตอนที่แล้วตอนที่ 195 เมอร์คิวเรียส 2
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 197 เมอร์คิวเรียส 4

ตอนที่ 196 เมอร์คิวเรียส 3


ปฏิกิริยาได้เกิดขึ้นในชั่วพริบตา เพื่อต่อต้านมุจักที่เรียกดาบมาหลายสิบเล่ม ลอยด์ได้กระโดดไปข้างหน้าโดยไม่ลังเล คมดาบสีเขียวเข้มได้สั่นระริกในอากาศราวกับใบไม้ท่ามกลางพายุ

มันเป็นปรากฏการณ์ที่เกิดจากการถูกผลักโดยพลังออร่าจำนวนมหาศาลที่ระเบิดออกมา เงาลวงตาของมุจัก เป็นทักษะที่ทำให้เขาสามารถโจมตีหลายสิบครั้งได้ในเวลาเดียวกัน

ฟุ้บ..

คมดาบที่ตัดผ่านอากาศได้ส่งเสียงกรีดร้องออกมาขณะที่นักดาบทั้งสองคนพุ่งตัดผ่านกัน

“แค่ก”

“อัก”

ทั้งสองต่างส่งเสียงออกมา แต่เสียงโอดครวญนั้นแตกต่างกัน มุจักได้จ้องมองดาบที่เจาะช่องท้องเขาอย่างไม่เชื่อสายตา นี่เป็นเทคนิคที่ไม่เคยทรยศเขาจนกระทั่งตอนนี้ มันเป็นความสามารถที่ทำให้เขามีความโดดเด่นอย่างมาก มันเป็นสิ่งที่ทำให้เขาเหนือกว่าฝ่ายตรงข้าม

ใบหน้าของมุจักเต็มไปด้วยความเจ็บปวดและความสงสัย “…ดะ-ได้ไงกัน?”

ดวงตาของเขากวาดไปทั่วร่างของลอยด์ มีบาดแผลหลายแห่งจาก ‘เงาลวงตา’บนร่างกายของลอยด์ แต่ไม่มีบาดแผลใดที่ร้ายแรง ลอยด์เป็นคนที่ได้รับประโยชน์จากดาบหลายสิบเล่มและใช้มันเพื่อสร้างความเสียหายแก่มุจัก มุจักนั้นไม่สามารถที่จะเข้าใจเรื่องนี้ได้

จากนั้น ลอยด์ก็พึมพำออกมา  “ความสามารถที่ทำให้ดาบกลายเป็นจริง.....มันเป็นภัยคุกคาม หากมีมากกว่า4หรือ5เล่ม ข้าคงจะไม่สามารถหลีกเลี่ยงจุดตายได้”ลอยด์หัวเราะเย้ยหยันออกมา “หากจะใช้เทคนิคนี้ต่อกรกับข้า มันคงจะไม่ดีนัก ข้าไม่รู้ว่าภาพลวงตาทั้งหมดสามารถทำให้เป็นสิ่งที่จับต้องได้ แต่ข้ามีความสามารถในการเห็นภาพลวงตาจากความเป็นจริง”

“อัก….”มุจักร้องออกมาขณะที่เขารู้สึกเจ็บปวดที่หน้าท้องเขา เขาได้พ่ายแพ้ในสถานการณ์เช่นนี้?เลือดได้ทะลักออกมาจากปากของเขา

อย่างไรก็ตาม ไม่เหมือนกับคำเยาะเย้ยของเขา ลอยด์ตระหนักได้ถึงความสามารถของคู่ต่อสู้ดี เพื่อพิสูจน์ บรรกาศที่ผ่อนคลายของเขาจึงได้หายไป

‘ข้ายอมรับในฝีมือเจ้า ปรมาจารย์ดาบแห่งทวีปตอนกลาง’

มันเป็นก้างชิ้นใหญ่เกินกว่าจะมองข้ามได้ ลอยด์ได้ดึงดาบที่เขาแทงมุจักออกมา พลังออร่าได้ไหลกลับไปที่มุจัก จากนั้นขณะที่คู่ต่อสู้ของเขากำลังฟื้นฟูตัวอยู่ เขาก็ได้พยายามที่จะฆ่ามุจัก แต่ทว่า ลอยด์ไม่สามารถที่จะทำเช่นนั้นได้

ฉึกกก!

หอกน้ำแข็งและคมมีดสายลมได้สาดซัดเข้าใส่จุดที่เขาพึ่งยืนอยู่ก่อนหน้า

“…อ่า ข้าลืมพวกเจ้าไปเลย”

มันเป็นความผิดพลาด ลอยด์ได้ถอยหลังไปสองสามก้าวด้วยรอยยิ้มขมขื่น มุจักกระอักเลือดออกมาหลังจากที่ดาบได้ถูกดึงออกไป แต่เขายังไม่ตาย ลอยด์มองไปยังเหล่าจอมเวทย์ที่ยืนเรียงรายทั้งสองด้านของมุจัก และถอยออกมาขณะที่ยักไหล่ “ข้าอยู่ในฐานะที่เสียเปรียบสินะ ข้าจะยอมถอยไปในครั้งนี้”

“อะไรนะ รอก่อนสิ....”

“ข้าสัญญาว่าจะมาหาพวกเจ้าในภายหลัง”

ลอยด์ไม่ได้กังวลความพยายามของวิลเลี่ยมเลยที่จะหยุดยั้งเขา ขณะที่เขาหายตัวไปจากมุมห้อง แม้ว่าเขาจะบาดเจ็บ แต่เขาก็ยังคงเป็นปรมาจารย์ดาบ เขามีความแข็งแกร่งซึ่งไกลเกินกว่าความสามารถของร่างกายมนุษย์มากนัก

“บ้าเอ้ย พวกเราต้องตามล่าเขาก่อนที่เขาจะฟื้นตัว....!”

“ไม่ เราจะตามล่าเขาทีหลัง”

“อะไรนะ?”วิลเลี่ยมมองไปที่ซิลเวียหลังจากที่ได้ยินคำพูดของเธอ

“หากเราตามเขาไปโดยไม่มีมุจัก เราทั้งสามคนจะพ่ายแพ้ มันดีกว่าหากพวกเราช่วยกันรักษามุจักที่นี่ เราสามารถติดตามเขาและโจมตีเขาอีกครั้งได้หลังจากนี้”

“อ่า เธอพูดถูก เธอฉลาดยิ่งนัก”

แม้ว่าในตอนนี้เขาจะรู้สึกเดือดพล่าน แต่วิลเลี่ยมก็ยังคงเป็นคนที่โดดเด่น เขาเข้าใจได้ทันทีว่าคำพูดของซิลเวียนั้นถูกต้อง ดังนั้นก่อนที่จะนั่งลง เขาจึงตรวจสอบทางเดินอยู่หลายครั้ง

จากนั้นเขาก็ใช้เวทมนต์ตรวจจับทถกอย่างที่White Tower มี“ฟู่ มันช่วยไม่ได้ละนะ”

บาดแผลของมุจักนั้นลึกมาก แต่โชคดีที่มันไม่ได้เป็นอันตรายต่อชีวิต การรวมกันของยารักษาและเวทย์รักษาทำให้เขาอยู่ในสภาพที่มั่นคงแล้ว หากแผนการของลอยด์มีขึ้นเพื่อถ่วงเวลาผู้ที่ไล่ตามเขา มันก็ถือว่าเป็นแผนที่ดี

มุจัก ผู้ที่ไม้รู้ว่าตัวเขาจะกลายเป็นภาระได้กล่าวขอโทษพร้อมกับถอนหายใจ “อืม ตาแก่ผู้นี้ได้กลายเป็นภาระเสียแล้ว ข้าขอโทษ”

“ไม่ คุณทำให้เขาบาดเจ็บ”

“ฉันจะมีความสุขมากขึ้นหากฉันได้ตัดแขนของเขาออกไป....นี่ทำให้ฉันรู้สึกบ้า”

มุจัก มีความภาคภูมิใจในความสามารถของเขามาก แต่ทวีปตอนเหนือนั้นมีสัตว์ประหลาดมากเกินไป นอกจากนี้ ยังมีเวโรนิก้าผู้ที่สามารถตัดหัวของเขาออกได้โดยง่ายราวกับการปลอกเปลือกแอปเปิ้ล ขณะที่มุจัก รู้สึกละอายใจ  เขากลับรู้สึกไม่สบายใจแปลกๆ เขารู้สึกว่ามีคนหายไปท่ามกลางพวกเขา

“อืม ข้าอยากที่จะพูดอะไรบางอย่างหากมันไม่ใช่เรื่องไม่สุภาพ”

“อะไรงั้นหรอ?”

“มะ-มีคนหายไปตรงนั้น”

ทั้งสองคนมองตามนิ้วของมุจักไป แต่ก็มองไม่เห็นใคร ถูกต้อง ทั้งสองไม่สามารถมองเห็นอะไรได้เลย

“หญิงสาวที่มีผมสีเหลืองอยู่ไหนกัน?”

มันเป็นการหายไปอย่างกะทันหันของว่าที่ผู้นำYellow Tower พาร่า

***

ตึก ตึก

ลอยด์ได้ก้าวเดินอย่างรวดเร็วและชะลอตัวลงเมื่อเขาสังเกตได้ว่าไม่มีใครตามเขามา เขาคิดว่าจะมีอย่างน้อยหนึ่งคน แต่ไม่มีใครที่ตามเขามา พวกเขาค่อนข้างจะมีฝีมือแม้จะอายุน้อย พวกเขาควรค่าที่จะกล่าวว่าเป็นบุคคลชั้นนำของเมลเทอร์ หากเป็นไปได้ เขาต้องการที่จะลดจำนวนคนเช่นนี้ลงสักคน

‘มันเป็นสถานการณ์ที่ค่อนข้างอันตราย’ลอยด์คิดขณะที่เขาเทยาลงบนบาดแผล

ความหนาแน่นของพลังออร่าจะทำให้การฟื้นตัวของบาดแผลช้าลง บาดแผลที่เกิดจากปรมาจารย์ดาบจะต้องใช้เวลาเป็นเดือนกว่าจะหายได้ ยิ่งบาดแผลที่ถูกแทงตรงช่องท้องของมุจักยิ่งรุนแรง

“ข้าชนะเพราะเขาขาดประสบการณ์ในการต่อสู้”ลอยด์พึมพำขณะที่เขาเดินต่อไป “มันจะแตกต่างออกไปหากเขาต่อสู้แบบยืดเยื้อ ข้าคงจะไม่มีทางหนี ไม่สิ ข้าชนะเพราะข้ายั่วยุเขา”

เขาได้วิเคราะห์การต่อสู้ก่อนหน้านี้ นี่เป็นงานอดิเรกและนิสัยของลอยด์และพื้นฐานกลยุทธ์ของเขา

ที่ลอยด์นั้นเหนือกว่ามุจักเนื่องจากมุจักได้ทำลายตนเอง แทนที่เขาจะใช้ประโยชน์จากสถานการณ์ที่ได้เปรียบ เขากลับเชื่อมั่นในความสามารถออร่าเกินไป หากมุจัก ยังคงล้อมกรอบเขาพร้อมกับสามจอมเวทย์ ลอยด์คงจะถูกฆ่าไปแล้ว

นั่นเป็นเหตุผลที่เขาจึงยั่วยุมุจักจนกระทั่งมุจักไม่สามารถอดทนได้ สำหรับนักรบแห่งออสเต็น สุลต่านเปรียบเสมือนเทพของพวกเขา ดังนั้นการดูถูกสุลต่านจึงทำให้จิตใจของพวกเขาว่างเปล่า การยั่วยุนั้นได้ผล และมันได้สร้างช่องว่างจากความได้เปรียบของมุจัก

นี่เป็นปัจจัยที่ทำให้เขาชนะ ลอยด์นั้นเชื่อมั่นใจกลยุทธิ์ของเขาและชัยชนะที่ได้มาด้วยความสามารถของเขา

“..อืม ถนนยังคงมองไม่เห็น ไม่มีวิธีที่จะทำลายข้างใน?”

เขาได้เดินมาหลายกิโลเมตรแล้ว ไม่สำคัญว่าโบราณสถานจะใหญ่แค่ไหน เขาก็ควรจะมาถึงประตูได้แล้ว อย่างไรก็ตาม ลอยด์กลับไม่สามารถเห็นอะไรเลย ความสามารถออร่าของเขานั้นมีประโยชน์อย่างมาก แต่เขากลับไม่เห็นอะไรเลยนอกจากผลลัพธ์ระยะสั้น มันบอกว่าเขาจะเข้ามาในโบราณสถาน แต่เขาไม่รู้วิธีทำลายเข้าไปข้างใน

ขณะนั้นเอง....

ราวกับได้ยินความคิดของลอยด์ เสียงได้ดังสะท้อนภายในความมืด “เจ้าน่าสนใจดีนี่ ข้าไม่เคยคิดเลยว่าจะได้เห็นปรมาจารย์ดาบที่มีความสามารถ ‘เบิกเส้นทาง’”

“...ใครกัน?”ลอยด์ไม่สามารถที่จะกำหนดตำแหน่งของเสียงได้

เขาเก็บซ่อนความกระวนกระวายและมองไปรอบๆอย่างระมัดระวัง

เสียงดูเหมือนจะมาจากด้านอื่นของทางเดิน มันให้ความรู้สึกสนิทสนม “มันช่วยให้เจ้าหาวิธีปลุกเมอร์คิวเรียสขึ้น หาอุโมงค์ และมองเห็นถึงดาบลวงตา ถ้าเป็นเช่นนั้น มันก็ไม่ยากที่จะเข้าใจ ผู้เบิกเส้นทาง พลังที่ช่วยแนะแนวทาง ความสามารถในการมองเห็นอนาคตที่มีเงื่อนไข”

“….แก แกเป็นใครกัน?”

ไม่เหมือนกับจอมเวทย์ แก่นแท้ของความสามารถออร่านั้นเปรียบเสมือนกับชีวิต ความสามารถบางอย่างเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ แต่ก็มีคนเช่นลอยด์ซึ่งยากจะกำหนดได้ จนถึงตอนนี้ เขาได้ใช้ความสามารถของเขาเพื่อเอาชนะสถานการณ์ที่ไม่พึงประสงค์มาหลายสิบครั้งและครองชัยชนะเหนือศัตรูที่แข็งแกร่ง มันเป็นไพ่ใบสุดท้ายของเขา

แต่ทว่า เสียงนี้กลับรู้ความลับของเขา!ความหวาดกลัวปกคลุมทั่วดวงตาของลอยด์ขณะที่เขายกดาบขึ้น การอ่านใจของใครบางคนและล่วงรู้พฤติกรรม นี้คือศัตรูโดยธรรมชาติของผู้ที่มีความสามารถเช่นเขา

ขณะที่ลอยด์ตัวสั่นด้วยความหวาดกลัวเป็นครั้งแรก หญิงสาวที่ดูน่ารักก็ปรากฏตัวต่อหน้าเขา เธอกล่าว “อย่ากลัวไปเลย มันนานมากแล้วที่ข้าไม่ได้สนุกแบบนี้”

“เจ้า....!”

หญิงสาวผู้นี้คือหนึ่งในสามจอมเวทย์แห่งเมลเทอร์ ตัวตนของเธอเป็นที่ชัดเจนแล้วในตอนนี้ ไม่เหมือนก่อนหน้านี้ที่เธอซ่อนตัวอยู่ ลอยด์ได้ยกดาบของเขาขึ้นโดยเร็ว แต่เขากลับอยากรู้เกี่ยวกับตัวตนที่แท้จริงของเธอ

“ข้าถามว่าเจ้าเป็นใคร เจ้าไม่ได้ยินงั้นรึ?”

“ไม่มีเหตุผลที่จะต้องตอบ เจ้ามีหน้าที่แค่ฟังสิ่งที่ข้าพูด”

มันบ้าบออย่างแท้จริง ลอยด์ไร้คำพูดเมื่อได้ยินคำตอบนั้น ขณะเดียวกันพาร่าก็ได้เปิดปากของเธอขึ้นอีกครั้งและกล่าวว่า “ตอนที่เหลือบตาดูครั้งแรก ผู้เบิกเส้นทางดูเหมือนจะมีพลังครอบจักรวาล แต่มันก็มีข้อเสียร้ายแรง  ผู้ใช้คนก่อนได้เมินเฉยต่อจุดอ่อนของความสามารถและตายลงในที่สุด”

ความสามารถในการมองเห็นอนาคตได้รับการยกย่องว่าเป็นความสามารถที่มีประสิทธิภาพในทุกยุคทุกสมัย และความสามารถในการเบิกเส้นทางของลอยด์เป็นประเภทที่สามารถมองเห็นอนาคตได้ มันจะบอกทางที่จะทำให้เขาบรรลุวัตถุประสงค์ในรูปของ ‘ถนน’

เขาสามารถทำให้ความเป็นไปไม่ได้ กลายเป็น เป็นไปได้  เช่นเดียวกับทำให้มันสำเร็จเมื่อมีความเป็นไปได้ที่ต่ำ

อย่างไรก็ตาม พาร่ากลับเยาะเย้ยความสามารถของเขา “เจ้าคิดสั้นเกินไป เจ้าได้ขี่หลังเสือแต่ไม่ตระหนักว่าในตอนท้ายมันคือความตาย เจ้าคลานเข้ามาในโบราณสถานโดยที่ไม่รู้อะไรเลยแม้แต่นิด”

“…เช่นนั้นหรือ?”

“โอ้?”พาร่ารู้สึกประหลาดใจกับปฏิกิริยานี้

ในทางกลับกัน ลอยด์ได้ถือดาบด้วยใบหน้าเย็นชาและมั่นคง “ทำไมเจ้าถึงกล้าที่จะพูดเช่นนั้น เมื่อยืนอยู่ต่อหน้าข้า นังแม่มด?”

“แม่มด....มันเป็นเวลานานแล้วที่ข้าไม่ได้ยินคำนี้”ขณะที่เผชิญหน้ากับปรมาจารย์ดาบ  พาร่าผู้มีอายุ24ปี ได้ยิ้มให้กับเขาด้วยท่าทางยั่วยวน ใบหน้าของหญิงสาวนั้นสวยงาม แต่คำที่เธอประกาศออกมาจากริมฝีปากสีชมพูสดกลับตรงข้ามกับลักษณะของเธอ

“เจ้าไปเอาความเชื่อมั่นมาจากไหนกัน มนุษย์?เจ้ากล้าดียังไงถึงวางเท้าสกปรกของเจ้าบนสถานที่ของผู้สร้างข้า?ข้าจะไม่ฆ่าเจ้า แต่ข้าจะเล่นกับเจ้าเป็นเวลาหมื่นปี”

อึก

มันเป็นครั้งแรกที่ลอยด์ โพลแลน รู้สึกถึงความหนาวเย็นเช่นนี้ นี่เป็นความชั่วร้ายที่อยู่เกินขอบเขตมนุษย์ ความโกรธของเวทย์โบราณ พาราแกรนัม  ได้ทำให้ปรมาจารย์ดาบถึงกับหยุดนิ่ง นี่เพียงพอที่จะปลุกสัญชาตญาณการเอาตัวรอดของเขาขึ้น

“โอ้ ว้ากกก!” ลอยด์กรีดร้องออกมาด้วยความหวาดกลัวและโจมตีด้วยดาบของเขา มนุษย์มักจะเลือกหนึ่งในสามตัวเลือกเมื่อเผชิญกับความตาย พวกเขาจะยอมจำนนหรือวิ่งหนีไป หรือพวกเขาจะต่อสู้อย่างไร้ค่า เฉกเช่นลอยด์

แต่การตอบสนองนี้ไม่มีผลอะไรกับพาราแกรนัม

“ในท้ายที่สุด เจ้าก็มีปฏิกิริยาเฉกเช่นมนุษย์ทุกคน มันไม่น่าสนใจเลย ”เธอพูดขึ้นและออกคำสั่ง “[รหัสประจำตัว PRGRN3681214 มิติหยุดนิ่ง]”

โลกได้หยุดนิ่ง เมื่อลอยด์ได้ก้าวมาข้างหน้า พื้นที่1เมตรรอบตัวเขาก็ได้หยุดนิ่ง  นี่เป็นเวทย์มิติขั้น9จากยุคโบราณกาล ดวงตาของลอยด์เต็มไปด้วยความตกตะลึงขณะที่เขาหยุดเคลื่อนไหว

พาราแกรนัมได้หัวเราะใส่ท่าทางตกตะลึงของลอยด์ จากนั้นขณะที่เพลิดเพลินไปกับพลังของห้องทดลอง เธอก็ได้พูดขึ้น

“เจ้าไม่ต่างอะไรไปกับเด็กน้อย เมื่อเทียบกับเจ้านายของข้า”

“……….!”

“อย่ากลอกตามาที่ข้า [จองจำ]”

โชคชะตาของลอยด์ ได้ถูกกำหนดด้วยคำพูดนั้น ลอยด์ได้จางหายไปพร้อมๆกับพื้นที่หยุดนิ่ง ตอนนี้ เขาได้ถูกเก็บไว้ในมุมหนึ่งของห้องเก็บของภายในห้องทดลอง ซึ่งมีเพียงพาราแกรนัมผู้เดียวที่รู้

เนโครแมนเซอร์จะทำให้เขากลายเป็นอัศวินแห่งความตาย แต่เขาจะกลายเป็นตัวทดลองที่สมบูรณ์แบบสำหรับเหล่านักเล่นแร่แปรธาตุ บางที เขาอาจจะกลายเป็นคิเมร่าหรือโฮมุนครุส พาร่ายิ้มออกมาในฐานะนักเล่นแร่แปรธาตุ

ขณะนั้นเอง พาราแกรนัมที่กำลังหัวเราะออกมาก็ได้หันหัวของเธอ เป็นเพราะแรงสั่นสะเทือนที่เกิดจากเมอร์คิวเรียสได้หยุดลง เนื่องจากเธอยังไม่ได้ควบคุมห้องทดลองโดยสมบูรณ์ ดังนั้นจึงมีเพียงสาเหตุเดียวเท่านั้น

“มันจบแล้ว”

มีเพียงพาราแกรนัมเท่านั้นที่รู้ แต่การต่อสู้ในห้องทดลองของพาราเซลซัสได้จบลงแล้ว

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด