ส่งจอมยุทธไปต่างโลก ตอนที่ 1 หมู่บ้านแสนสุขกับแขกจากต่างแดน
ตอนที่ 1
หมู่บ้านแสนสุขกับแขกจากต่างแดน
หลังจากสติเริ่มกลับคืนมา สิ่งแรกที่ปรมาจารย์เทียมสวรรค์สัมผัสได้คือผิวกายของหญิงสาวคนหนึ่ง อ้อมแขนของหญิงสาวกำลังโอบอุ้มร่างของเขาเอาไว้ราวกับเป็นเด็กทารก ซึ่งความจริงต้องบอกว่าตอนนี้เขาคือเด็กทารกจริงๆต่างหาก
“โอ้ ลืมตาแล้วๆ”สิ่งแรกที่สัมผัสคืออ้อมกอดของแม่ แต่สิ่งที่ปรมาจารย์เทียมสวรรค์เห็นกลับเป็นเหล่าผู้คนหลายสิบคน มีทั้งชายหนุ่มท่าทางทะมัดทะแมง หญิงสาวท่าทางอ่อนโยน ทั้งคนแก่ที่ผมขาวหงอกเต็มหัวรวมทั้งเด็กที่ดูอายุพึ่งจะไม่กี่ขวบ ถึงจะรู้อยู่แล้วว่าเขาถูกส่งมาโลกใบนี้ แต่ก็ไม่คิดว่าจะต้องเกิดใหม่เป็นเด็กทารกแต่แรกเลย
“เป็นเด็กที่หน้าตาน่ารักจริงๆ ท่าทางจะได้หน้าตามาจากพ่อนะเนี่ย”ชายวัยกลางคนที่ใบหน้าเต็มไปด้วยหนวดพูดพลางเอนตัวมาข้างหน้ามองร่างของเด็กชายอย่างเอ็นดู
ปึก! แต่พอพูดจบหญิงวัยกลางคนข้างๆก็กระทุ้งศอกใส่ชายวัยกลางคนไว้หนวดอย่างแรง ก่อนจะดึงติ่งหูของชายวัยกลางคนจนร่างของเขาเซไปตามแรง
“ตาแก่ พูดอะไรระวังหน่อย”หญิงวัยกลางคนว่า พลางหันมามองทางตัวเด็กชาย พอเขาหันหน้าขึ้นมองหญิงสาวที่กำลังอุ้มเขาอยู่ ใบหน้าของเธอก็แสดงสีหน้าหม่นหมองอย่างชัดเจน บางทีเรื่อง พ่อ อาจจะเป็นเรื่องไม่ควรพูดกับเธอก็ได้
“แอ๊”ปรมาจารย์เทียมสวรรค์พยายามพูดเพื่อปลอบใจหญิงสาว แต่เส้นเสียงของเด็กทารกยังไม่พัฒนาทำให้เขาไม่สามารถออกเสียงได้อย่างใจคิด แต่เพียงท่าทางของเด็กตัวน้อยก็เพียงพอที่จะเยียวยาให้กับผู้เป็นแม่แล้ว เธออุ้มเด็กชายขึ้นแนบอก พลางยิ้มอย่างอ่อนโยนออกมา
“ไม่ต้องห่วง ถึงลูกจะไม่มีพ่อ แต่แม่ก็จะเลี้ยงลูกให้ดีที่สุด ลูเซียส..”ชื่อที่หญิงสาวพูดออกมาน่าจะเป็นชื่อของเขาในตอนนี้ ลูเซียสเหรอ ช่างเป็นชื่อที่ไม่คุ้นเคยจริงๆราวกับชื่อของชาวตะวันตกในโลกเก่าของเขาเลย
“ไม่ต้องห่วงหรอก มีปัญหาอะไรก็บอกพวกเรานะลูน่า”หญิงวัยกลางคนที่พึ่งเตือนสามีเธอไปพูดอย่างอ่อนโยน พลางเดินเข้ามาใกล้หญิงสาว ลูน่าคงจะเป็นชื่อแม่ของเขาอย่างแน่นอน
“ขอบคุณค่ะพี่แอนนา”แม่ของเด็กชายกล่าวขอบคุณ พลางส่งเด็กชายให้หญิงสาววัยกลางคนอุ้ม ทันทีที่เธอรับร่างของเด็กชายมาเธอก็พาเขาเดินมาหาเด็กอายุน้อยที่สุดที่อยู่ในห้อง เธอเป็นเด็กผู้หญิงอายุราวๆ 3 – 4 ขวบเท่านั้น
“เอลลี่ ดูน้องสิ”ป้าแอนนาพูดพลางอุ้มตัวลูเซียสให้เอลลี่ดู
“ตัวเล็กจัง..”เอลลี่พูด พลางยื่นหน้าเข้ามาใกล้ๆ
“ใช่ น้องตัวเล็กมากเลย เพราะอย่างนั้นเอลลี่ต้องช่วยดูแลน้องนะ”แม้เด็กหญิงจะไม่ค่อยเข้าใจสิ่งที่แอนนาพูดเท่าไหร่ แต่เธอก็ยิ้มออกมาพลางพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม ถึงแม้เรื่องพ่อจะเป็นเรื่องเศร้าสำหรับแม่ของลูเซียส แต่คนรอบข้างเธอกลับแสนดีและอบอุ่นมากนัก
ปรมาจารย์เทียมสวรรค์ หรือตอนนี้คือ ลูเซียส เริ่มใช้ชีวิตในโลกใหม่ด้วยความรู้สึกร่มรื่น ที่ๆเขาอยู่ตอนนี้เป็นหมู่บ้านเล็กๆท่ามกลางป่าเขาที่ชื่อว่า ลีฟ หมู่บ้านลีฟนั้นเป็นหมู่บ้านเล็กๆอยู่ห่างจากเมืองประมาน 2 วันหากเดินทางด้วยม้า เป็นหมู่บ้านที่มีผู้อยู่อาศัยไม่ถึงร้อยคน ประชากรส่วนใหญ่ล่าสัตว์ทำไร่เป็นอาชีพหลัก
หลังจากใช้ชีวิตในโลกใหม่มาได้หลายเดือน ลูเซียสก็พอจะเข้าใจความเป็นอยู่ปัจจุบันของตัวเองคร่าวๆ หมู่บ้านลีฟเป็นบ้านเกิดของลูน่าแม่ของลูเซียส เธอพึ่งเดินทางกลับมาจากเมืองใหญ่หลังจากลาออกจากงานในเมือง เธออุ้มท้องกลับมาที่หมู่บ้านและคลอดเขาที่หมู่บ้านแห่งนี้ ไม่มีใครรู้ว่าพ่อของลูเซียสคือใครเพราะลูน่าไม่ยอมเล่าอะไรเกี่ยวกับพ่อของลูเซียสเลยแม้แต่ครั้งเดียว เธอบอกเพียงว่าพ่อของลูเซียสนั้นไม่อยู่อีกต่อไปแล้ว แต่ถึงจะเป็นคำตอบที่คลุมเครือชาวบ้านต่างก็ไม่คิดจะถามอะไรเพิ่มเพราะเห็นกันชัดๆว่าเป็นเรื่องที่ไม่ควรไปตอกย้ำอย่างยิ่ง ส่วนทางด้านครอบครัวของลูน่านั้นทุกคนได้ตายจากไปหมดแล้ว ลูน่าจึงมีแค่ลูเซียสคนเดียวเป็นครอบครัว แต่ถึงอย่างนั้นคนในหมู่บ้านก็มักจะดูแลถามไถ่เธออยู่เสมอ ทำให้เธอไม่รู้สึกโดดเดี่ยวเลยสักนิด ป้าแอนนากับลุงเฮนรี่ที่อยู่ใกล้กับบ้านของลูน่าที่สุดแทบจะเปรียบเสมือนลุงกับป้าของลูเซียสจริงๆ นอกจากจะคอยดูแลลูน่าหลังคลอดแล้ว เธอยังคอยแบ่งอาหารและข้าวของเครื่องใช้ให้ลูน่าเสมอโดยให้ลูน่าช่วยงานต่างๆของเธอเป็นการแลกเปลี่ยน ซึ่งงานส่วนใหญ่ก็เป็นการทำความสะอาดบ้านและซ่อมแซมชุดของลุงเฮนรี่กับของเอลลี่ซะส่วนใหญ่ เพราะลุงเฮนรี่ออกล่าสัตว์บ่อยมาก ทำให้ชุดชำรุดประจำ ทางด้านเอลลี่นั้นก็มักจะออกไปเล่นกับเด็กคนอื่นๆจนเสื้อผ้าเปื้อนหรือแม้กระทั่งขาดกลับมาเสมอ
ตอนนี้ลูเซียสอายุ 1 ขวบแล้ว เส้นเสียงของเขาสามารถพูดได้แล้วไม่มีปัญหา แต่ลูเซียสไม่อยากทำให้คนอื่นตกใจเกินไป เขาจึงพยายามพูดให้เหมือนเด็กทั่วไปที่สุด พยายามเดินได้ตอนอายุที่เหมาะสมที่สุดเพื่อไม่ให้คนอื่นตกใจ แต่ถึงอย่างนั้นคนในหมู่บ้านก็ยังบอกว่าลูเซียสเป็นเด็กหัวไวอยู่ดี
ลูเซียสทดลองใช้ลมปราณในร่างของเขาดูแล้ว แต่ก็พบว่าในร่างกายของเขาไม่มีพลังลมปราณอยู่เลย ถึงแม้โครงสร้างร่างกายจะเหมือนมนุษย์ในโลกเก่าแต่กลับไม่สามารถฝึกหรือใช้วิชาลมปราณได้ แต่ภายในจุดตันเถียน แทนที่จะมีพลังลมปราณกลับมีพลังงานบางอย่างอยู่แทน เขายังสัมผัสมันได้ไม่ชัดเจน อาจจะเพราะเขายังเป็นเด็กอยู่ แต่พระเจ้าเหมือนจะเคยบอกเขาเอาไว้ว่าโลกใบนี้นั้นมีพลังของโลกใบนี้ ถ้าจำไม่ผิดมันจะถูกเรียกว่า พลังเวท เขาละอยากรู้จริงๆว่าพลังเวทนั้นคืออะไรกันแน่ และมีความเหมือนหรือแตกต่างจากลมปราณยังไง
- คำตอบ พลังเวท คือพลังแฝงที่อยู่ในร่างของสิ่งมีชีวิต คุณสมบัติและความเข้มข้นจะแตกต่างกันไปแล้วแต่ผู้เป็นเจ้าของ โดยพลังเวทนั้นเป็นสิ่งสำคัญในการเรียกใช้เวทมนตร์ หรือทักษะต่างๆ
-คำตอบ เนื่องจาก คลังข้อมูลโลก ไม่มีข้อมูลของคำว่า ลมปราณ จึงไม่สามารถเปรียบเทียบและแยกแยะจากพลังเวทได้
อยู่ๆเสียงๆหนึ่งก็ดังขึ้นในหัวหลังจากเขาพยายามคิดหาคำตอบ
เสียงนี่มันอะไรกัน
- คำตอบ เราคือคลังข้อมูลแห่งโลก มีหน้าที่อธิบายและให้คำตอบกับผู้เขาถึงหมายเลข 0009 ตามคำสั่งของผู้เข้าถึงหมายเลข 0000
0000? หรือว่านั่นจะเป็นพระเจ้า จะว่าไปพระเจ้าก็บอกนี่นาว่าจะให้ตัวช่วยนิดหน่อย ดูท่า คลังข้อมูลแห่งโลก จะเป็นตัวช่วยให้ลูเซียสเข้าใจโลกนี้ได้ง่ายขึ้นนั่นเอง
‘คลังข้อมูล หมายเลข 0000 คือใคร’ ลูเซียสคิดพลางเพ่งสมาธิไปยังเสียงดังกล่าว
- คำตอบ ผู้เข้าถึงหมายเลข 0009 ไม่มีอำนาจเพียงพอ คลั่งข้อมูลไม่สามารถให้ข้อมูลเกี่ยวกับหมายเลข 0000 ได้
ถึงแม้จะตอบมาแบบนั้นลูเซียสก็มั่นใจเลยว่าหมายเลข 0000 คือใคร
‘คลังข้อมูล ขอถามหน่อย สงครามที่พระเจ้าบอกจะเริ่มในอีก 50 ปีแน่นอนใช่ไหม’ลูเซียสเริ่มถามคำถามอีกครั้ง
- คำตอบ ไม่แน่นอน เนื่องจากเส้นทางของอนาคตสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างไร้ขีดจำกัดจึงมีโอกาสที่สงครามดังกล่าวจะเกิดขึ้นก่อนหรือหลัง 50 ปี หรืออาจจะ 50 ปีพอดี หรือไม่ก็อาจจะไม่เกิดขึ้นเลยก็ได้
พอฟังคำตอบของคลังข้อมูล ลูเซียสก็พยักหน้าน้อยๆ
‘แล้ว มีโอกาสที่สงครามจะเกิดขึ้นในอีก 50 ปีแค่ไหน’
- คำตอบ มีโอกาสที่สงครามจะเกิดในอีก 50 ปีข้างหน้าราวๆ 80 เปอเซ็นต์
ลูเซียสพยักหน้าก่อนจะมองไปยังท้องฟ้าเบื้องนอก เขามีเวลาเก็บเกี่ยวประสบการณ์ในโลกแห่งนี้ 50 ปี ตอนนี้เขาใช้ไปแล้ว 1 ปี แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังเหลือเวลาอีกมากมายนัก เขาควรจะรีบแข็งแกร่งขั้นเพื่อรอรับสงครามที่กำลังจะมา หรือจะใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยสบายใจอยู่ที่หมู่บ้านแห่งนี้ดี
“ลูเซียสสสส” ยังไม่ทันได้ตัดสินใจ เสียงของเด็กหญิงคนหนึ่งก็ดังขึ้นที่หน้าบ้านของลูเซียส
“เอลลี่ มีอะไรเหรอจ๊ะ”ลูน่าที่อยู่หน้าบ้านถามหลังจากเห็นเอลลี่มาเรียกลูกชายของตนที่หน้าบ้าน
“สวัสดีค่ะ น้าลูน่า”เอลลี่ก้มหัวทักทายลูน่าที่เปิดประตูให้เธอพลางชะเง้อไปในบ้านเพื่อมองหาลูเซียส
“ที่กลางหมู่บ้านมีลุงคนหนึ่งมาเล่านิทานให้เด็กในหมู่บ้านฟังค่ะ หนูเลยจะพาลูเซียสไปด้วย”เอลลี่ว่าพลางชี้ไปที่กลางหมู่บ้าน ซึ่งจริงๆมองจากบ้านของลูน่าก็เห็นลานกลางหมู่บ้านแล้ว ตรงกลางหมู่บ้านมีรถเข็นคันหนึ่งจอดอยู่ ตรงหน้ารถเข็นมีชายวัยกลางคนๆหนึ่งยืนอยู่ บนรถเข็นมีกระดานไม้วางเอาไว้ ในกระดานไม้นั้นมีแผ่นไม้หลายๆแผ่นวางซ้อนกัน ชายวัยกลางคนเปิดแผ่นไม้ทีละแผ่นๆพลางเล่าเรื่องราวให้เด็กๆในหมู่บ้านฟังด้วยท่าทีสนุกสนาน
“เอาสิจ๊ะ”ลูน่าพูดพลางปล่อยให้เอลลี่เข้ามาในบ้าน เธอมองเอลลี่อุ้มลูเซียสออกไปส่วนเธอนั้นก็นั่งลงที่หน้าบ้านมองเด็กทั้งสองคนนั่งฟังชายวัยกลางคนเล่านิทานอย่างอารมดี
“ต่อไป จะเล่าเรื่องราวอันยิ่งใหญ่ของโลกใบนี้”คนเล่านิทานพูด พลางยกแขนขึ้นสูง ภาพประกอบที่เขานำมานั้นคือแผนที่ขนาดใหญ่ที่ถูกขีดเขียนเอาไว้เป็นภูมิศาสตร์ของโลกใบนี้ สำหรับลูเซียสนั้นเคยเห็นภาพแบบนี้มาบ้าง ซึ่งภาพที่เขาเคยเห็นนั้นก็คือภาพแผนที่โลกใบเดิมของเขานั่นเอง โลกของเขานั้นมีแผ่นดินใหญ่เล็กแยกกันอยู่มากมาย แต่โลกแห่งนี้กลับมีแผ่นดินใหญ่เพียงแผ่นเดียวเท่านั้น จะมีก็แต่เกาะเล็กๆเท่านั้นที่ปรากฏบนแผนที่ ซึ่งมีความเป็นไปได้ 2 อย่างคือโลกใบนี้มีเพียงผืนดินผืนเดียว หรือไม่ก็คนบนผืนดินผืนนี้นั้นยังไม่เคยออกสำรวจโลกภายนอกทำให้ไม่มีความรู้ว่ามีผืนดินอื่นอีกหรือไม่
หลังจากคนเล่านิทานเล่าเรื่องไปได้สักพัก ลูเซียสก็เริ่มเข้าใจว่าโลกที่เขาอยู่ตอนนี้แบ่งออกเป็น 4 ทวีปใหญ่ โดยแต่ละทวีปนั้นมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ไม่ใช่แค่ความแตกต่างทางเชื้อชาติอย่างของโลกเดิม แต่กลับเป็นความแตกต่างทางด้านเผ่าพันธุ์เลยทีเดียว คนเล่านิทานเล่าว่าโลกที่พวกเราอาศัยอยู่นั้นเป็นโลกที่มีสิ่งมีชีวิตอื่นนอกจากเผ่ามนุษย์อยู่มากมาย เช่น เผ่าเอลฟ์ คนแคระ มนุษย์สัตว์ เผ่าปีศาจ เป็นต้น โดยทวีปทางเหนือนั้นมีเผ่ามนุษย์สัตว์เป็นผู้ครอบครอง กินพื้นที่ 1 ใน 3 ของแผ่นดิน ส่วนพื้นที่ภาคกลางนั้นเป็นของมนุษย์ซึ่งกินพื้นที่ 1 ใน 3 ของแผ่นดินเช่นกัน ส่วนทางใต้นั้นเป็นพื้นที่ของเผ่าปีศาจซึ่งกินพื้นที่ 1 ใน 3 ของแผ่นดิน ส่วนอีกทวีปนั้นอาศัยอยู่ในทะเล เรียกกันว่าเผ่าสมุทรมีพื้นที่ไม่ชัดเจนและไม่เป็นพันธมิตรกับใคร และไม่คิดจะรุกรานใครเพราะตนเองก็ขึ้นมาอาศัยบนบกได้ไม่นานและเผ่าอื่นๆก็มีน้อยมากที่จะลงไปอาศัยในน้ำได้
“แต่! เผ่าอื่นๆที่เหลืออีก 3 เผ่ากลับจ้องจะแย่งชิงดินแดนของอีกฝ่ายอยู่ตลอดเวลา ทำให้เกิดสงครามแย่งชิงดินแดนหลายต่อหลายครั้ง”คนเล่านิทานเล่า พลางเปลี่ยนรูปที่ตนเตรียมมา บนแผ่นไม้ถูกวาดไว้ด้วยรูปสงครามที่มีทหารในชุดเกราะแตกต่างกัน 3 ชุดกำลังวิ่งเข้าห้ำหั่นกัน
“จนกระทั่งเมื่อ 600 ปีก่อน ท่าน ไกอุส มังกรบรรพกาลก็ได้ลงมาหยุดยั้งการต่อสู้ของทั้ง 3 เผ่าเอาไว้ เพราะทนไม่ได้ที่เห็นเหล่าสิ่งมีชีวิตห้ำหั่นกันเองจนแผ่นดินนองไปด้วยเลือด” คนเล่านิทานว่า พลางเปลี่ยนแผ่นป้ายอีกครั้ง คราวนี้ภาพมังกรสีขาวสะอาดตัวหนึ่งก็ปรากฏออกมา สร้างความสนองสนใจแก่เด็กๆเป็นอย่างมาก
“หลังจากนั้น ทั้ง 3 อาณาจักรก็ทำสนธิสัญญาไกอุสกัน และแบ่งดินแดนทั้งหมดอย่างเท่าเทียม จนกลายเป็น 3 ทวีปอย่างในตอนนี้ และสงครามที่เคยแผดเผาไปทุกหย่อมหญ้าก็หมดสิ้นไปราวกับควันไฟ ตอนนี้แม้แต่เผ่าครึ่งสัตว์อย่างผมก็สามารถเข้ามาหากินในดินแดนของมนุษย์ได้”พูดจบนักเล่านิทานก็ถอดหมวกออกเผยให้เห็นใบหูคล้ายกับหมาป่าบนหัวของเขาทำเอาเหล่าเด็กๆต่างเข้าไปดูเป็นการใหญ่ หากเป็นเมื่อ 600 ปีก่อนละก็คนในหมู่บ้านคงช่วยกันหาอาวุธมาไล่คนเล่านิทานคนนี้แน่ๆ แต่ก็อย่างที่คนเล่านิทานว่าเอาไว้ สมัยนี้คนจากทวีปทั้ง 4 ก็ไปมาหาสู่กันได้ไม่ยาก แม้แต่ทวีปของเผ่าสมุทรเองก็ยังมีการขึ้นฝั่งมาค้าขายแลกเปลี่ยนกับเผ่าต่างๆเลย
“ว่าแต่ แล้วคุณคนเล่านิทานมาขายอะไรงั้นเหรอ”ชายคนหนึ่งที่ยืนอยู่วงนอกถาม เพราะคนเล่านิทานนั้นบอกเองว่าเขามาทำการค้าด้วย
“อ๋อ ผมเป็นนักเดินทางนะครับ ผมชอบบันทึกเรื่องราวของสถานที่ต่างๆแล้วจดบันทึกเอาไว้ ของที่ผมขายก็เลยเป็นหนังสือประวัติศาสตร์นะครับ”คนเล่านิทานว่า พลางหยิบหนังสือเล่มหนาออกมาจากรถเข็น
“แย่หน่อยนะพ่อหนุ่ม ที่นี่ไม่มีใครอ่านหนังสือออกหรอก”ชาวบ้านคนหนึ่งตอบพลางส่ายหน้าไปมา
“ถ้าจำไม่ผิดน้าลูน่าอ่านออกนี่นา”เอลลี่พึมพำพลางมองไปยังลูน่าแม่ของลูเซียส แน่นอนว่าเธอที่ออกไปทำงานข้างนอกนั้นพอจะมีทักษะในการอ่านตัวอักษรอยู่บ้าง แต่เธอก็ไม่รู้จะซื้อหนังสือประวัติศาสตร์มาทำอะไรเลยได้แต่ส่ายหน้าตอบเอลลี่ไป
“ไม่เป็นไรครับ ไม่เป็นไร ผมแค่ชอบเดินทางกับบอกเล่าเรื่องราวเท่านั้น ขอแค่มีอาหารแบ่งสักหน่อยผมก็จะเล่าเรื่องราวของโลกใบนี้ให้ทุกท่านฟังอีก”คนเล่านิทานพูดจบก็เก็บแผ่นไม้กลับเข้ารถเข็นเพราะแผ่นไม้ที่เขาเอาออกมาถูกเปลี่ยนจนหมดแล้ว ดูท่าวันนี้เขาจะเล่าแค่เรื่องของทวีปทั้ง 4 เท่านั้น
หลังจากเห็นว่าคนเล่านิทานเลิกเล่าต่อแล้ว หลายๆคนก็พากันแยกย้ายกันไป บ้างก็ให้ของกินนิดหน่อยๆกับคนเล่านิทานเป็นค่าฟังแล้วค่อยกลับ บ้างก็เข้าไปพูดคุยถามถึงเรื่องต่างๆเพราะเห็นว่าตัวคนเล่านิทานคงจะมีความรู้เยอะอย่างแน่นอน
“ระวังนะหนูน้อย”คนเล่านิทานพูดเมื่อเห็นเด็กคนหนึ่งเดินมาจับหนังสือที่เขานำมาขาย เขาไม่ได้หวงของหรอก แต่เพราะเด็กที่เข้ามาจับหนังสือนั้นตัวเล็กมากๆ ขืนหยิบหนังสือไม่ระวังความหนาและหนักของหนังสืออาจจะทับจนเด็กคนนั้นได้รับบาดเจ็บ
“ฮึบ”เด็กน้อยส่งเสียงออกมาขณะยกหนังสือขึ้นมาดู เด็กคนนั้นไม่ใช่ใครอื่นแต่เป็นลูเซียสนั่นเอง เขาพอจะเดินได้แล้วทำให้เขาสามารถพาตัวเองมาที่รถเข็นได้ไม่ยาก เขาเปิดหน้าหนังสือออกดูพลางเพ่งมองตัวหนังสือบนกระดาษ ตั่งแต่ที่คนเล่านิทานหยิบหนังสือออกมา ลูเซียสก็รู้สึกคาใจมาตลอดเพราะเขาสามารถอ่านตัวหนังสือตรงหน้าปกออก ทั้งที่มันถูกเขียนด้วยตัวอักษรที่เขาไม่รู้จัก ยิ่งพอเปิดหน้าหนังสือขึ้นดูก็พบว่าเขาสามารถอ่านพวกมันได้อย่างไม่มีติดขัดราวกับอ่านตัวหนังสือของตนเองอย่างไรอย่างนั้น
‘หรือว่า จะเป็นเพราะพระเจ้า… คลังข้อมูล ทำไมผมถึงอ่านตัวหนังสือของโลกนี้ได้’ ลูเซียสถามคลังข้อมูลโลกซึ่งน่าจะให้คำตอบกับเขาได้ ซึ่งมันก็ไม่ทำให้เขผิดหวัง
- คำตอบ เนื่องจากผู้เขาถึงหมายเลข 0009 มีความสามารถ เข้าใจภาษา ซึ่งเป็นความสามารถที่ถูกติดตั้งเอาไว้ตั่งแต่เกิดจึงสามารถเข้าใจและเรียนรู้ภาษาทั้งหมดได้ในทันที
เป็นอย่างที่คิด ดูเหมือนพระเจ้าจะช่วยให้เขาเข้าใจภาษาของโลกนี้เพื่อความสะดวกในการใช้ชีวิต แต่ถึงไม่ทำอย่างนั้นเขาก็คงต้องเรียนรู้ด้วยตัวเองอยู่แล้ว ไม่อย่างนั้นคงใช้ชีวิตที่นี่ไม่ได้
“สนใจเหรอ” คนเล่านิทานถามเมื่อเห็นลูเซียสจ้องหนังสือของเขาตาเขม็ง
“ภาพ สวย”ลูเซียสตอบทีละคำเหมือนเด็กทั่วไป พลางยิ้มบางๆให้กับคนเล่านิทาน ซึ่งในหนังสือของเขานั้นมีภาพถูกวาดเอาไว้ มันคือภาพของมนุษย์ที่มีลักษณะเตี้ยอย่างมาก แม้จะมีหนวดเครารกครึ้มแต่ก็มีขนาดตัวเท่าๆกับเด็กคนหนึ่งเท่านั้น บนหัวมุมถูกเขียนเอาไว้ด้วยคำว่า คนเคระ
“ผม ขอ ดู ได้ไหม”ลูเซียสถามพลางทำหน้าใสซื่อส่งไปให้คนเล่านิทาน
“เอาสิ ยังไงพี่ก็คงขายมันไม่ได้อยู่แล้ว”คนเล่านิทายพูดพลางนั่งมองลูเซียสอ่านหนังสือของเขาทีละหน้าๆ ชายคนนี้เดินทางมาแล้วทั่วแผ่นดิน บันทึกเรื่องราวทั้งหมดเอาไว้ในหนังสือเล่มนี้ ว่ากันตามจริงแล้วคุณความรู้ขนาดนี้จำเป็นมากสำหรับลูเซียสเพราะโลกใบนี้แทบจะไม่มีอะไรที่เขารู้เลย แถมเขายังรับภารกิจสำคัญมาจากพระเจ้าอีกด้วย เขาจึงต้องเก็บความรู้พวกนี้เอาไว้ใช้ในอนาคต
“ลูเซียส ทำอะไรนะ”เสียงดุดังมาจากลูน่าที่เดินเข้ามาหาลูกชายเมื่อเห็นว่าลูกชายกำลังเปิดหนังสือของคนอื่นอยู่
“ไม่เป็นไรหรอกครับ แกคงชอบรูปในเล่มนะครับ”คนเล่านิทานหัวเราะ พลางโบกมือไปมาเพื่อบอกลูน่าว่าเขาไม่ได้รู้สึกแย่อะไร
“ขอโทษนะคะ ทั้งๆที่เป็นของซื้อของขายแท้ๆ”แม้ทางคนเล่านิทานจะบอกว่าไม่เป็นไร แต่ลูน่าก็ยังคงมีสีหน้าลำบากใจอยู่ดี เธอดึงตัวลูเซียสขึ้นมาอุ้ม พลางก้มหัวขอโทษอีกฝ่ายไป ทำเอาคนเล่านิทานได้แต่หัวเราะแหงๆ
แต่ถึงจะโดนห้ามเอาไว้ ลูเซียสก็ยังคงมาที่รถเข็นของคนเล่านิทาน ทั้งฟังเรื่องที่เขาเล่าทั้งขอคนเล่านิทานดูรูปภาพในหนังสือหลายต่อหลายครั้งจนโดนลูน่าดุไม่ต่ำกว่าสิบรอบ จนในที่สุดคนเล่านิทานก็บอกกับลูน่าให้ลูเซียสมาหาเขาได้เสมอโดยไม่เป็นการรบกวนลูน่าถึงยอมให้ลูเซียสแวะมาถามเรื่องราวต่างๆจากคนเล่านิทานได้ตามต้องการ
“ชอบขนาดนั้นเลยเหรอ”คนเล่านิทานถามพลางมองลูเซียสซึ่งกำลังพลิกหน้ากระดาษด้วยดวงตาส่องประกาย
“อื้อ”ลูเซียสตอบสั้นพลางอ่านข้อมูลของโลกใบนี้ไปเรื่อยๆ คนเล่านิทานเป็นคนที่เดินทางมาเยอะและช่างสังเกตอย่างมาก เผ่าต่างๆที่เขาได้เจอเขาสามารถเก็บรายละเอียดลักษณะหน้าตาของแต่ละเผ่าได้หมด ทั้งลักษณะพิเศษหรือความแตกต่างในด้านของกายภาพรวมถึงความสามารถทางเวทมนตร์ด้วย อย่างเช่นเผ่าครึ่งสัตว์ต่างๆที่คนเล่านิทานจดบันทึกไว้ ทั้งๆที่เผ่าครึ่งแมวกับครึ่งสุนัขมีความแตกต่างกันแค่ใบหูที่ไม่เหมือนกัน แต่กลับมีทักษะทางกายภาพต่างกันอย่างมาก เผ่าครึ่งแมวจะมีดวงตาที่เฉียบคม และมวลร่างกายที่เบากว่าที่เห็นภายนอกมาก ส่วนเผ่าครึ่งสุนัขต่างๆเองโดยรวมก็จะมีจมูกไวและมีพละกำลังเยอะกว่ามนุษย์ทั่วไป แต่ก็จะแบ่งแยกย่อยออกตามประเภทของสายพันธุ์ลงไปอีก เรียกได้ว่าหนังสือของคนเล่านิทานเป็นหนังที่บันทึกเชื้อชาติจำนวนมหาศาลของโลกใบนี้เอาไว้เกือบหมดเชียวละ
“หน้านี้ คืออะไรเหรอครับ”ลูเซียสถามพลางชี้ไปที่หน้าท้ายๆของเล่ม หลังจากเรื่องของเผ่าต่างๆรวมทั้งเมืองต่างๆมาแล้ว ในหน้าเริ่มบทใหม่ของหนังสือมีหน้าหนึ่งถูกเขียนเอาไว้ด้วยลายมือ เป็นหน้าเดียวที่ไม่มีรูปประกอบทั้งๆที่คนเล่านิทานมักจะวาดรูปแทรกเอาไว้ทุกหน้า
“อ๋อ นั่นเป็นเรื่องราวของบุคคลในตำนานน่ะ”คนเล่านิทานว่า พลางยื่นมือไปหยิบหนังสือตรงหน้าลูเซียสมาถือเอาไว้เอง ส่วนลูเซียสนั้นก็หันมามองหน้าคนเล่านิทานอย่างตั้งใจเพราะทุกครั้งที่ลูเซียสมีคำถาม เขาก็จะเอาหนังสือไปแล้วเล่าอธิบายอย่างนี้เสมอ
“กล่าวกันว่า ทุกสิ่งย่อมมีวันดับศูนย์ แต่ถึงกระนั้นก็ยังมีบางตัวตนที่ได้รับการยกเว้น”คนเล่านิทานพูด พลางมองทางลูเซียสเพื่อดูว่าเด็กน้อยจะเข้าใจสิ่งที่เขาเขียนเกริ่นเอาไว้ตอนแรกหรือเปล่า
“นี่เป็นเรื่องราวที่ตัวผมได้ฟังมาเท่านั้น ไม่ได้พบเห็นด้วยตนเอง ผมจึงไม่สามารถวาดรูปประกอบของทั้ง 5 คนได้”คนเล่านิทานว่าพลางถอนหายใจ
“5 คน?”ลูเซียสเอียงคอพลางทวนคำด้วยความสงสัย ซึ่งพอเห็นท่าทางงุนงงของเด็กน้อยคนเล่านิทานก็หัวเราะออกมาเบาๆ พลางพลิกหน้ากระดาษช้าๆ
“เมื่อก่อนสมัยที่เดินทางไปรอบแผ่นดินผมได้ฟังตำนานของหมู่บ้านต่างๆมา ตอนแรกผมก็คิดว่าเป็นเรื่อเพ้อฝันหรือเรื่องแต่งเท่านั้น แต่ยิ่งไปหลากหลายสถานที่ เรื่องราวของคนทั้ง 5 ก็ยิ่งเด่นชัด พวกเขาคือเหล่าคนที่มีพลังมหาศาลและมีอายุขัยเป็นนิรันดร์ เป็นเรื่องของ ราชันอมตะทั้ง 5 คน”คนเล่านิทานพูดจบก็ปิดหนังสือลง ก่อนจะเดินไปหยิบแผ่นไม้ออกมาแผ่นหนึ่ง เขาใช้พูกันที่จุ่มหมึกสีดำวาดภาพของคน 5 คนเอาไว้บนแผ่นไม้ แต่กลับไม่ได้วาดหน้าตาของคนทั้ง 5 แต่อย่างไร
“คนแรกคือ แฟร ราชินีแห่งเปลวเพลิง เธอมีชีวิตยืนยาวถึง 700 ปี กล่าวกันว่าเธอคือผู้ได้รับพลังจากนกเพลิงในตำนาน ทำให้เมื่อตายจะคืนชีพอีกครั้ง” พูดจบคนเล่านิทานก็วาดรูปดวงไฟลงไปเหนือหัวของรูปวาดคนกลาง
“คนที่ 2 คือ เนเน่ ราชินีแห่งเหมันต์ เธอมีชีวิตยืนยาวถึง 500 ปี กล่าวกันว่าเธอคือผู้ใช้เวทมนตร์น้ำแข็งที่แกร่งที่สุด วิธีที่ทำให้เธออายุยืนยาวนั้นไม่แน่ชัด”คนเล่านิทานพูดจบก็วาดรูปก้อนน้ำแข็งไว้บนหัวของรูปวาดอีกตัวหนึ่ง
“คนที่ 3 คือ เฮลิออส ราชาแห่งภูตผี เขามีอายุยืนยาวถึง 800 ปี วิธีการที่เขาใช้ไม่แน่ชัด แต่เขาสามารถย้ายวิญญาณของตัวเองไปยังร่างอื่นได้เรื่อยๆ ทำให้เขาไม่มีวันตาย”พูดจบนักเล่านิทานก็วาดรูปหัวกะโหลกลงบนรูปตัวหนึ่ง
“คนที่ 4 คือ อันดีน เทพธิดาผู้เมตตา เธอมีอายุยืนยาวมากว่า 300 ปี เป็นคนที่อายุน้อยที่สุดในเหล่าราชันอมตะ เธอถนัดในการใช้เวทรักษาและช่วยเหลือผู้คนที่เธอพบเจออยู่เสมอ” พูดเสร็จคนเล่านิทานก็วาดรูปเครื่องหมาย + ไว้บนหัวของรูปวาดตัวหนึ่ง
“คนที่ 5 คือ โอซีล มีอายุยืนยาวถึง 450 ปี แต่เขาคนนี้ไม่มีชื่อเสียงอะไรนัก ไม่มีข้อมูลว่าเขาใช้เวทมนตร์อะไรหรือวิชาอะไร เพียงแต่คนในหมู่บ้านเล่าลือกันเองเท่านั้นว่าเขาอยู่มานานมากแล้ว” พูดจบคนเล่านิทานก็วาดเครื่องหมายคำถามลงไปที่หัวของรูปวาดตัวสุดท้าย
“โลกนี้มีผู้เป็นอมตะถึง 5 คนเลยเหรอ”ลูเซียสถามพลางจ้องมองรูปที่คนเล่านิทานวาด เมื่อชาติก่อนในโลกของเขานั้น เรื่องของความเป็นอมตะเป็นดังความฝันที่ไม่มีใครเอื้อมถึง มีเพียงตัวเขาเท่านั้นที่ถูกเรียกว่าใกล้เคียงกับความเป็นอมตะที่สุด เพราะวิชาเคล็ดกำเนิดฟ้าของเขาทำให้ร่างกายฟื้นตัวก่อนที่จะเสื่อมสภาพมากขึ้น ทำให้ไม่แก่และไม่ตายตามอายุไข แต่ถึงอย่างนั้นหากเขาโดนตัดหัวเขาก็จะตาย หากโดนฆ่าด้วยวิธีบางอย่างเขาก็จะตายอย่างเช่นยาพิษของเทียนหลง
“ใช่ เหลือเชื่อใช่ไหมละ สักวันหนึ่งฉันก็อยากจะพบกับพวกเขาคนใดคนหนึ่งนะ”คนเล่านิทานพูดพลางมองรูปภาพของตนเองด้วยดวงตาที่ส่องประกายไม่ต่างจากเด็กๆที่ตนเล่านิทานให้ฟัง