ตอนที่แล้วเทพปีศาจหวนคืน บทที่ 28 ธุรกิจที่ไม่ต้องลงทุน (อ่านฟรี)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเทพปีศาจหวนคืน บทที่ 30 กรรโชกอีกครั้ง (อ่านฟรี)

เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 29 ไม่ใช่ฝ่ายธรรมะ (อ่านฟรี)


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 29 ไม่ใช่ฝ่ายธรรมะ 

แปลโดย iPAT 

“นำพวกมันไปไว้ใต้เตียง” ฟางหยวนชี้นิ้วสั่งเสี่ยวเอ้อจากโรงเตี้ยมที่ถือไหสุราไผ่เขียวเอาไว้ในมือ หลังจากประสบความสำเร็จในการกรรโชกทรัพย์สหายร่วมชั้นเรียน ฟางหยวนก็สั่งซื้อสุราไผ่เขียวมาเก็บตุนไว้จำนวนยี่สิบไหในครั้วเดียว

สุราแต่ละไหมีมูลค่าเท่ากับหินวิญญาณสองก้อน นี่หมายความว่าฟางหยวนใช้หินวิญญาณถึงสี่สิบก้อนเพื่อเลี้ยงดูวิญญาณสุรา

แม้ถุงเงินที่พองโตจากก่อนหน้าจะยุบตัวลงแต่มันคุ้มค่าเพราะสุราเหล่านี้สามารถเลี้ยงดูวิญญาณสุราไปได้อีกนาน

“ได้ขอรับ” เสี่ยวเอ้อไม่กล้าไม่สุภาพต่อผู้ใช้วิญญาณโดยเฉพาะกับฟางหยวนที่ซื้อสุราไผ่เขียวจำนวนมาก กล่าวได้ว่าฟางหยวนกลายเป็นลูกค้ารายใหญ่ของทางโรงเตี้ยมไปเรียบร้อยแล้ว

หลังจากเสี่ยวเอ้อกลับไป ฟางหยวนก็ขึ้นไปนั่งไขว้ขาอยู่บนเตียง

มันเป็นยามดึกสงัดที่ดวงจันทร์และดวงดาวส่องสว่าง สายลมยามค่ำคืนพัดเข้ามาในห้องพร้อมกับกลิ่นหอมของมวลดอกไม้

ท่ามกลางความมืดมิด ฟางหวนสงบจิตใจลงและเพ่งมองเข้าไปในทะเลวิญญาณของตน

ไร้ระลอกคลื่นบนผิวทะเลสีครามประกายทองแดง น้ำทุกหยดคือพลังวิญญาณของผู้ใช้วิญญาณระดับหนึ่ง ระดับน้ำทะเลที่สูงขึ้นมาสี่สิบในหนึ่งร้อยส่วนย้ำเตือนว่ามันเป็นทะเลวิญญาณของผู้มีพรสวรรค์นภาที่สาม

กำแพงแสงสีขาวนวลห่อหุ้มมหาสมุทรแห่งนี้เอาไว้ เหนือทะเลสีครามประกายทองแดงที่ไร้ระลอกคลื่นมีเพียงความว่างเปล่า ไม่ปรากฏร่องรอยของจั๊กจั่นไม้แห่งกาลเวลา

ลอยอยู่บนทะเลวิญญาณ หนอนสุราตัวกลมกำลังเล่นน้ำอยู่อย่างสนุกสนาน ด้วยการดำผุดดำว่าย สะบัดหัวและสะบัดหาง น้ำสาดกระเซ็นขึ้นสู่ท้องฟ้าสะท้อนแสงเข้าสู่สายตาของผู้ที่ลอบจ้องมอง

เมื่อฟางหยวนส่งความคิดเข้าไป หนอนสุราตอบสนองด้วยการหยุดเล่นทันที มันขดตัวเป็นไข่มุกสีขาวและลอยขึ้นไปสู่ท้องฟ้าเหนือทะเลวิญญาณ

‘เริ่มได้’ ฟางหยวนส่งพลังวิญญาณจากทะเลวิญญาณเข้าไปในร่างของหนอนสุรา หลังจากชั่วครู่มันก็ปลดปล่อยกลิ่นสุราออกมาและสะสมจนกลายเป็นหมอกสีขาวลอยอยู่รอบๆตัวมัน

‘ต่อไป’ ฟางหยวนส่งพลังวิญญาณจากทะเลวิญญาณเข้าไปในร่างของหนอนสุราอีกสิบในร้อยส่วน หลังจากนั้นหมอกสีขาวก็ค่อยๆร่วงหล่นลงสู่ทะเลวิญญาณ

หมอกสีขาวกลายเป็นหยดน้ำผสานตัวเข้ากับทะเลวิญญาณและทำให้ระดับน้ำเพิ่มขึ้นไม่ถึงห้าในหนึ่งร้อยส่วน

ในความเป็นจริงกระบวนการนี้คือการควบแน่นพลังวิญญาณ จากพลังวิญญาณสิบส่วนลดลงเหลือไม่ถึงห้าส่วน แต่ปริมาณไม่ถึงห้าส่วนนี้กลับมีความเข้มข้นของพลังวิญญาณมากกว่าสิบส่วนจากก่อนหน้า มันหมายความว่าหากพลังวิญญาณในทะเลวิญญาณของฟางหยวนผ่านกระบวนการควบแน่นอย่างต่อเนื่อง สุดท้ายแล้วทะเลวิญญาณของเขาจะยกระดับขึ้นในที่สุด

การบ่มเพาะของผู้ใช้วิญญาณแบ่งออกเป็นเก้าระดับ ในแต่ละระดับยังแบ่งออกเป็นสี่ขั้นคือขั้นต้น ขั้นกลาง ขั้นสูง และขั้นสุดยอด

ถูกต้อง ตอนนี้ฟางหยวนเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับหนึ่งขั้นกลางด้วยพลังอำนาจอันลึกลับของวิญญาณสุรา

เมื่อพลังวิญญาณในทะเลวิญญาณของเขาลดลง เขาสามารถดูดซับพลังงานจากหินวิญญาณเพื่อเติมเต็มทะเลวิญญาณก่อนจะกลับเข้าสู่กระบวนการควบแน่นพลังวิญญาณอีกครั้งและอีกครั้ง

‘ข้าไม่มีครอบครัวไม่มีผู้สนับสนุน ข้าสามารถพึ่งพาเพียงการกรรโชกทรัพย์จากผู้อื่นเท่านั้น วันนี้เป็นเพียงการเริ่มต้น หลังจากนี้ทุกๆเจ็ดวันเมื่อสถานศึกษามอบหินวิญญาณให้กับศิษย์ ข้าจะปิดกั้นประตูทางเข้าออกอีกครั้ง’

การกรรโชกหินวิญญาณเพียงครั้งเดียวจะสามารถเติมเต็มความพึงพอใจของฟางหยวนได้อย่างไร? ในการบ่มเพาะ หินวิญญาณเป็นสิ่งสำคัญและหายาก เกี่ยวกับผลที่จะตามมา แน่นอนว่าเขาไม่สนใจ

โลกวิญญาณใบนี้ไม่เหมือนกับโลกมนุษย์ใบก่อนหน้า

ในโลกมนุษย์ใบเดิม โรงเรียนหรือมหาวิทยาลัยมักห้ามนักเรียนนักศึกษาก่อเรื่องชกต่อยเพื่อรักษาความสงบสุขและความสามัคคี อย่างไรก็ตามในโลกวิญญาณใบนี้ การต่อสู้คือหัวใจหลัก

ไม่ว่าจะเป็นผู้ใช้วิญญาณหรือมนุษย์ธรรมดา พวกเขาต่างต้องดิ้นรนเพื่อความอยู่รอด บางครั้งก็เป็นการต่อสู้กับสัตว์ป่า บางครั้งก็ต้องต่อสู้กับสภาพอากาศ และบางครั้งก็ต้องต่อสู้กับผู้ใช้วิญญาณเพื่อแย่งชิงทรัพยากร

ดังนั้นการต่อสู้ที่จำกัดขอบเขตไว้ในระดับที่เหมาะสมจึงเป็นสิ่งที่ผู้อาวุโสสามารถยอมรับได้และกระทั่งสนับสนุน

ตั้งแต่เยาว์วัยไปจนแก่เฒ่า ตั้งแต่การทะเลาะวิวาทอย่างเรียบง่ายตลอดไปถึงการต่อสู้แห่งชีวิตและความตายในสนามรบ สิ่งเหล่านี้คือวิถีชีวิตของผู้คนบนโลกวิญญาณใบนี้

จากภูมิความรู้ทั้งหมดของฟางหยวน เขาพบว่าโลกวิญญาณใบนี้ใหญ่โตจนดูเหมือนกับไร้ขอบเขต เพียงภาคใต้ที่เขาอาศัยอยู่ในเวลานี้ก็มีพื้นที่กว้างใหญ่เป็นเจ็ดหรือแปดเท่าของโลกมนุษย์ใบเดิมของเขาแล้ว ด้วยสภาพแวดล้อมที่โหดร้าย ผู้คนจึงมักรวมตัวกันเป็นกลุ่มและอาศัยอยู่บนภูเขาโดยมีผู้ใช้วิญญาณเป็นกระดูกสันหลังเพื่อปกป้องที่มั่นของพวกเขา

การเอาชีวิตรอดอยู่บนภูเขา หมู่บ้านต้องพึ่งพาผู้ใช้วิญญาณสายต่อสู้

ในการต่อสู้กับสหายร่วมชั้นเรียน ฟางหยวนไม่เคยโจมตีไปที่จุดตาย ไม่เคยจู่โจมไปที่คางหรือกะโหลกศีรษะที่อาจทำให้เกิดการแตกร้าวได้ง่าย เขาไม่เคยสับฝ่ามือไปที่ด้านหลังลำคอซึ่งอาจทำให้เด็กเหล่านั้นตกตายได้ทันที ตรงข้าม เขาใช้เพียงหมัด ศอก หรือฝ่ามือโจมตีไปยังส่วนที่ไม่ทำให้เกิดอันตรายร้ายแรงใดๆ

ไม่มีผู้ใดได้รับบาดเจ็ดสาหัสจริงๆ มันเป็นเพียงบาดแผลฟกช้ำภายนอกที่สามัญธรรมดาที่สุดเท่านั้น

ฟางหยวนไม่ได้กระหายเลือด เขาคิดว่าการฆ่าเป็นเพียงวิธีการหนึ่งที่จะทำให้เขาบรรลุเป้าหมายเท่านั้น

ทุกครั้งที่เขาจะทำสิ่งใด เขาจะมีเป้าหมายที่ชัดเจนเสมอ ไม่ว่าจะเป็นวิธีใด ตราบเท่าที่มันทำให้เขาบรรลุเป้าหมาย เขาสามารถทำได้ทุกสิ่ง กล่าวอีกนัยหนึ่งก็คือเขาไม่ใช่ฝ่ายธรรมะ!

เมฆหมอกลอยเข้ามาปกคลุมท้องฟ้าและทำให้หมู่บ้านแสงจันทร์บรรพกาลตกสู่ความมืดมิด

ยามรักษาการณ์เดินเคาะระฆังเพื่อย้ำเตือนให้ผู้คนรู้ว่ามันเป็นยามดึกสงัด

บนที่ราบสูงของภูเขา โคมไฟยังส่องสว่างออกมาจากบ้านหลายหลัง

ห้องตำราภายในบ้านสกุลซื่อ ตระกูลสาขาของตระกูลแสงจันทร์ ซื่อเหลียนกำลังใช้น้ำเสียงอันอ่อนโยนปลอบโยนหลานชายอันเป็นที่รักของเขา “ข้าได้ยินมาว่าวันนี้เจ้าถูกทำร้ายโดยฟางหยวนเช่นนั้นหรือ?”

ซื่อเฉินพร้อมกับดวงตาสีม่วงคล้ำข้างหนึ่งกล่าวออกมาด้วยความโกรธ “ถูกต้อง ท่านปู่ เขาเป็นเพียงเจ้าบ้านภาที่สามแต่กลับกล้าแสดงความยโสปิดกั้นพวกเราที่ประตูทางออกของสถานศึกษาและไม่สนใจสายสัมพันธ์ของสหายร่วมชั้นเรียนเลยแม้แต่น้อย เขาปล้นหินวิญญาณของพวกเรา นอกจากนี้สถานศึกษายังปิดหูปิดหาไม่รับรู้เรื่องราว เพียงเมื่อฟางหยวนเดินจากไป พวกยามจึงเข้ามาช่วยเหลือพวกเรา ท่านปู่ ท่านต้องช่วยขับไล่ความคับข้องใจของข้า”

แต่ซื่อเหลียนกลับส่ายศีรษะ “นี่เป็นเรื่องระหว่างผู้เยาว์ เจ้าอาจโกรธเคืองที่สูญเสียหินวิญญาณ แต่เจ้าก็ไม่ได้รับบาดเจ็บสาหัส นอกจากนั้นปู่ก็ไม่สามารถเข้าไปก้าวก่ายหากไม่มีเหตุผลที่เพียงพอ อย่างไรก็ตามแม้เจ้าจะได้รับบาดเจ็บสาหัส ปู่ก็ยังจะไม่ออกหน้าเพื่อเจ้า เจ้าเข้าใจหรือไม่ว่าเพราะเหตุใด?”

ซื่อเฉินตะลึง เขาใช้ความคิดอยู่ชั่วครู่ก่อนจะค่อยๆกล่าวออกมาด้วยความลังเล “ข้าคิดว่าข้าเข้าใจความหมายของท่านปู่ ท่านปู่ต้องการให้ข้าพึ่งพาความแข็งแกร่งของตนเองเพื่ออนาคตของข้าถูกต้องหรือไม่?”

“เจ้ายังเข้าใจเพียงแง่มุมเดียวเท่านั้น” ซื่อเหลียนพยักหน้า “เจ้าต้องจำไว้ว่าตัวเจ้ามิใช่เพียงตัวเจ้าเอง แต่เจ้าคือสัญลักษณ์ของสกุลซื่อของเรา หลายปีมาแล้วที่ครอบครัวของเราต่อสู้กับครอบครัวสกุลโม่ เจ้าเป็นความหวังของพวกเรา ปู่อาจช่วยเหลือเจ้าได้ในเงามืด แต่เจ้าต้องยืนขึ้นและสร้างภาพที่สง่างามด้วยตนเอง มิฉะนั้นกลุ่มผู้ทรงอิทธิพลที่เคยสนับสนุนครอบครัวของพวกเราอาจละทิ้งพวกเราไปในที่สุด”

ซื่อเหลียนถอนหายใจก่อนกล่าวต่อ “นี่คือเหตุผลที่ปู่ช่วยโกงการทดสอบเพื่อสร้างภาพให้เจ้ามีพรสวรรค์นภาที่สอง”

“ท่านปู่ ข้าเข้าใจแล้ว” ซื่อเฉินรู้สึกรู้แจ้ง

แต่ซื่อเหลียนยังส่ายศีรษะอีกครั้ง “เพียงความเข้าใจไม่ช่วยสิ่งใด เจ้าต้องทำงานอย่างหนัก ฟางหยวนเป็นเพียงปัญหาเล็กๆ ต่อไปเจ้าต้องตั้งใจเรียนรู้และฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ขั้นพื้นฐานและกอบกู้ศักดิ์ศรีกลับคืนมา ในเวลาเดียวกันเจ้าก็ต้องหมั่นเพียรกับการบ่มเพาะเพื่อก้าวเข้าสู่ขั้นกลางอย่างรวดเร็ว มันจะดีที่สุดหากเจ้าสามารถคว้าตำแหน่งหัวหน้าห้องมาเป็นเกียรติกับตนเองและครอบครัวของเรา”

“ทราบแล้ว ท่านปู่” ซื่อเฉินตอบรับเสียงดัง

“ฮ่าฮ่าฮ่า ดี ดี นี่คือจิตวิญญาณที่แท้จริงของทายาทสกุลซื่อ เจ้าต้องทำงานอย่างหนักและปู่ก็จะทุ่มเทความพยายามทั้งหมดเพื่อสนับสนุนเจ้า!”