ตอนที่ 195 เมอร์คิวเรียส 2
เป็นที่เข้าใจได้ ถึงลำดับการโจมตีของเมอร์คิวเรียส แขนทั้งสองข้างที่ยื่นออกมาจากร่างกายอันหนักอึ้งนั้นมีความยาวหลายสิบเมตร ต่อหน้ายักษ์ สองจอมเวทย์ไม่มีอะไรมากไปกว่าแมลงวัน
ร่างกายสีเงินของปรอทได้สั่นไหว และเมอร์คิวเรียสก็ได้เริ่มโจมตีด้วยแขนขนาดใหญ่
หวืด!
มันเป็นลมกรดอย่างแท้จริง ซึ่งแตกต่างจากหางที่ก่อให้เกิดคลื่นแรงลมที่แหลมคม แรงดันลมที่เกิดจากแขนอันใหญ่โตนี้ มันเหนือกว่ามากนัก
ธีโอดอร์และเวโรนิก้าที่ลอยอยู่กลางอากาศถูกซัดปลิวไปด้านหลังทันที เนื่องจากธรรมชาติของเวทย์บินคือการควบคุมกระแสอากาศ ดังนั้นมีนจึงเป็นไปไม่ได้ที่จะควบคุมกระแสอากาศได้ต่อหน้าแรงดันลมเช่นนี้ ไม่สำคัญว่ากัปตันเรือจะควบคุมเรือได้ดีแค่นไหน มันก็จะพลิกคว่ำโดยพลังของทะเลอยู่ดี
ธีโอดอร์ถูกผลักไปไกลเกือบร้อยเมตรและแทบจะรักษาสมดุลไม่ได้
‘…อึก ฉันไม่คิดมาก่อนเลยว่าฉันจะมีสภาพแบบนี้ในสถานที่เช่นนี้’
นี่เป็นความรู้สึกราวกับติดอยู่ในคลื่นลมทะเล มันเป็นสภาพที่ธีโอดอร์ไม่คิดถึงมาก่อนว่าจะได้รับในทะเลทราย
“ตื่นได้แล้ว เด็กน้อย!”มันเป็นเสียงของเวโรนิก้าที่ปลุกเขาขึ้นจากอาการเวียนหัว
เสียงของเธอนั้นร้อนรนกว่าปกติ นั่นทำให้ธีโอดอร์รู้สึกตื่นตัวและขยับตัวโดยเร็ว
หวืด!
ในขณะนั้นเอง แขนปรอท ที่ราวกับแท่งเสา ก็ได้กวาดผ่านจุดที่ธีโอดอร์ยืนเมื่อกี้ หากแขนกระแทกเข้าใส่ธีโอดอร์โดยตรง ร่างกายของเขาจะระเบิดราวกับมะเขือเทศเน่า แม้จะมีเวทย์ป้องกัน มันก็จะระเบิดออกทันที
ธีโอดอร์ได้สติจากคำเตือนที่ล่าช้าและรีบบินไปหาเวโรนิก้า แทนที่เธอจะต่อว่าเขา เธอกลับพยักหน้า “เด็กน้อย ฉันเดาว่าเธอคงไม่มีประสบการณ์การต่อสู้ในอากาศใช่มั้ย?”
“ครับ ผมเคยมีประสบการณ์เพียงครั้งเดียว”
“ฉันรู้อยู่แล้ว ด้วยวัยเท่านี้คนที่ต่อสู้ทางอากาศได้จะมีสักกี่คนกัน?”
ความไม่เชี่ยวชาญของธีโอดอร์นั้นไม่สามารถตำหนิได้ แม้กระทั่งจอมเวทย์ชั้นนำเช่นเวโรนิก้าเองก็ยังไม่มีประสบการณ์การต่อสู้ทางอากาศมากนัก แล้วจะไปคาดหวังอะไรกับชายหนุ่มผู้ที่อายุยังไม่ถึง30ละ?
เวโรนิก้าไม่เคยต่อสู้กับบางสิ่งที่ใหญ่โตเท่าเมอร์คิวเรียสมาก่อนขณะที่อยู่ในอากาศ เธอไม่สามารถใช้เวทย์ไฟได้และคู่ต่อสู้ของเธอนั้นเป็นอมตะ
“เช่นนั้น พวกเราควรทำยังไง?”ธีโอดอร์ถาม
อย่างไรก็ตาม เวโรนิก้าได้หัวเราะขึ้นอย่างบ้าคลั่งและกำหมัดแน่น
วงกลมแปดวงของเธอได้หมุนอย่างรวดเร็วและพลังมาน่าทั้งหมดของเธอก็ได้ไปรวมอยู่ที่กำปั้น แม้ว่าพวกเขาทั้งคู่จะเป็นจ้าวมนตรา แต่พลังของเธอนั้นอยู่เหนือกว่าธีโอดอร์มากนัก พลังมาน่าที่ไม่สามารถรู้สึกได้ด้วยสัมผัสของมนุษย์ ได้ถูกบังคับให้ก่อเป็นรูปร่างขึ้น
“เสริมพลัง – อุกกาบาตถล่มโลกา!”
นี่เป็นเทคนิคการแปลงพลังเวทย์ให้เป็นพลังทางกายภาพ และตามด้วยเวทมนต์เสริมร่างกาย
“การโจมตี!ขยาย!”
แม้ว่าระยะเวลาของเวทย์เสริมจะลดลงอย่างมากในทะเลทรายมิวส์ แต่เวโรนิก้านั้นเป็นจอมเวทย์ผู้ยิ่งใหญ่ที่สามารถยืดระยะเวลาได้ชั่วระยะหนึ่ง ใบหน้าของธีโอดอร์ยิ่งซีดขึ้นทุกครั้งที่เวโรนิก้าร่ายเวทย์ออกมา และในท้ายที่สุดมันมีเวทมนต์เสริมนับ10ชนิดบนกำปั้นของเธอ
ความสามารถทางกายภาพของเธอนั้นอยู่เหนือกว่าคนทั่วไปโดยไม่ต้องใช้พลังออร่าอยู่แล้ว งั้นจะเกิดอะไรขึ้นหากวงกลมทั้ง8ช่วยเสริมพลังเธอไปอีกขั้น? ตอนนี้เวโรนิก้านั้นสามารถบดขยี้ภูเขาได้ด้วยกำปั้น!
ร่างกายของเมอร์คิวเรียสกลายเป็นแข็งทื่อด้วยบรรยากาศอันแสนรุนแรงที่อยู่รอบๆตัวมังกรแดง
“ตายซะ ไอสัตว์ประหลาด!”
พลังระเบิดจากกำปั้นของเวโรนิก้า มันเป็นพลังอำนาจที่บริสุทธิ์ ไม่ว่าใครก็ตามที่รู้จักศิลปะการต่อสู้เพียงนิดเดียวจะลืมหายใจหลังจากที่ได้เห็นภาพนี้
-----------------!
อากาศได้ถูกฉีกกระชากโดยกำปั้นของเธอ ด้วยเสียงที่ว่างเปล่า และพลังมหาศาลที่ถูกเปลี่ยนเป็นบางเบา แขนขวาของเวโรนิก้านั้นถูกป้องกันโดยแขนของยักษ์ปรอทและมันได้เดินผ่านไปโดยไม่ตอบโต้ใดๆ
หลังจากนั้นไม่นาน มันก็ได้ระเบิดขึ้น
“-อัก?”
เป็นอีกครั้ง ทั้งสองคนถูกผลักถอยหลังไปหลายสิบเมตร พวกเขาอยู่ในจุดที่ที่โบราณสถานนั้นดูเล็กจ้อยร่อย เสื้อคลุมของธีโอดอร์กระพือตามแรงลมขณะที่เขาจ้องไปยังตำแหน่งของยักษ์ปรอท
“เฮือก!”
ไม่มีร่างกายส่วนบน
ส่วนร่างของเมอร์คิวเรียสนั้นยังคงอยู่ด้วยความยาว30เมตร แต่ร่างกายส่วนบนของมันได้หายไปโดยปราศจากร่องรอยเนื่องจากการโจมตีของเวโรนิก้า ธีโอดอร์เห็นมันและนึกถึงสิ่งที่จอมเวทย์อาวุโสได้กล่าว มันเป็นเรื่องที่น่าเหลือเชื่อซึ่งเขาไม่มีทางเชื่อมันลง
ในสงครามครั้งสุดท้าย เวโรนิก้าได้ทำลายป้อมปราการของศัตรูด้วยกำปั้น
‘…นั่นคือเรื่องจริง’
พลังนี้มันเพียงพอที่จะระเบิดป้อมปราการทั้งป้อม หลังจากกลับไปธีโอดอร์ตัดสินใจที่จะซื้อเครื่องดื่มให้แก่ผู้อาวุโสที่เขาคิดว่าโกหก อย่างไรก็ตาม ท่าทางของเวโรนิก้านั้นยังคงไม่พอใจแม้ว่าการโจมตีจะประสบผลสำเร็จก็ตาม นอกเหนือจากเวทย์ไฟแล้ว การโจมตีก่อนหน้าคือพลังที่รุนแรงที่สุดของเธอแล้ว
แต่ทว่า....
วู.....
บางสิ่งบางอย่างได้ผุดขึ้นจากร่างกายส่วนร่างของเมอร์คิวเรียส ความเร็วในการฟื้นฟูของมันราวกับความเร็วในการงอกหางของจิ้งจก ธีโอดอร์ขมวดคิ้วแน่น ก่อนที่จะปฏิเสธคำตัดสินของตนเอง
‘ไม่ ปริมาณของมันนั้นลดลง มันได้ผล’
แต่แรก มันมีความสูงถึง50เมตร แต่ในตอนนี้มันเหลือเพียง40เมตร นั่นหมายความว่าปริมาณของปรอทที่สร้างร่างกายของเมอร์คิวเรียสนั้นลดลง มันอาจจะเป็นไปได้ที่จะทำลายมันด้วยการโจมตีอีก3หรือ4ครั้ง
“ผู้นำ”
“ว่าไง?”
“การโจมตีแบบนั้น คุณสามารถทำมันได้อีกกี่ครั้ง?”
เวโรนิก้าถอนหายใจยาวและตอบว่า “หากฉันใช้มันอีก1หรือ2ครั้ง พลังของฉันจะหมด”
“ฟู่ งั้นมันก็ไม่ได้ผล”
“ฉันไม่เคยคิดเลยว่า ฉันจะตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้มาก่อน”
มันเหมือนกับที่เธอพูด เวโรนิก้าได้ปลุกสายเลือดมังกรแดงของเธอขึ้น ดังนั้นพลังของเธอจึงอยู่เหนือจอมเวทย์ขั้น8คนอื่นๆ แม้กระทั่งบลันเดลล์ก็ไม่สามารถที่จะเอาชนะเธอได้ถ้าวัดกันในเรื่องของพลัง
ตอนนี้ มีเพียงจอมเวทย์ขั้น9เท่านั้นที่สามารถต่อกรกับเวโรนิก้าได้ ขณะที่ธีโอดอร์และเวโรนิก้ากำลังขบคิด เมอร์คิวเรียสก็เริ่มแสดงการเคลื่อนไหวบางอย่าง
กึก..กุกกัก...
“หะ”
“บ้าเอ้ย นี่เป็นอีกหนึ่งการเปลี่ยนแปลง”
ปริมาณที่ลดลงได้รับการฟื้นฟูขึ้นเรื่อยๆ 42เมตร 45เมตร 48เมตร.....และเมื่อร่างกายของเมอร์คิวเรียสสูงถึง50เมตรดวงตานับร้อยดวงของมันก็ได้ปรากฏขึ้นอกครั้งและปล่อยแสงอันน่าหวาดหวั่น ร่างกายสีเงินและดวงตาสีแดง....เมื่อธีโอดอร์ได้มองมัน สัญชาตญาณของเขาก็ได้กรีดร้องอย่างบ้าคลั่ง
“ผู้นำ!”
“หะ?”
ขณะที่เวโรนิก้าหันไปมองเขาด้วยความประหลาดใจ ธีโอดอร์ก็พุ่งมาหาเธอและโอบกอดเธอไว้
“เอ๊ะ?ดะ-เดี๋ยวก่อน เด็กน้อย?”
“กลั้นหายใจไว้!”
“อะไรนะ?!”
แขนขวาของธีโอดอร์เปล่งแสงออกมาพร้อมๆกับที่ดวงตานับร้อยบนร่างของเมอร์คิวเรียสเรืองแสง ร่างกายของทั้งสองคนได้หลุดไปจากโลกวัตถุขณะที่แสงสีขาวพุ่งออกมาจากดวงตาของเมอร์คิวเรียสและเจาะทะลุผ่านอากาศและพุ่งเข้าใส่พื้นดิน
ฟุ้บ!
ทรายได้เปลี่ยนเป็นสีเงิน ไม่สิ มันคือปรอท พื้นทรายที่สัมผัสกับแสงจะเปลี่ยนเป็นบ่อปรอท บางคนอาจจะกล่าวว่าภาพฉากนี้นั้นดูอัศจรรย์ แต่ธีโอดอร์กลับรู้สึกแปลกๆเมื่อได้เห็นมัน
“รังสีแปลงวัตถุ...?นั่นคือเวทย์ขั้น9”
“มันไม่ใช่เรื่องที่แปลกในยุคโบราณกาล”
“นี่มันจะเกินไปแล้ว ความต้านทานเวทมนต์จะไร้ประโยชน์หากโดนโจมตีด้วยสิ่งนั้น และพิษจะแพร่กระจายไปทั่วพื้นที่นั้น”
นี่ไม่ใช่คำสาปที่ทำให้ร่างกายแข็ง มันเป็นสิ่งที่ทำให้เลือดภายในร่างกายแปลงเป็นปรอท กระดูกและเนื้อจะถูกแยกออกจากร่างกาย ธีโอดอร์ไม่รู้ว่าเมอร์คิวเรียสได้ปกปิดอาวุธที่น่าสะพรึงกลัวนี้เอาไว้
มันเป็นเรื่องดีที่พวกเขาหลบการโจมตีครั้งแรกได้ แต่พวกเขาจะหลบไปได้อีกนานแค่ไหน?เหงื่อของธีโอดอร์เปียกชุ่มฝ่ามือเขา
‘…ฉันไม่มีทางเลือก’
ดาบAzoth ที่กำลังหลับใหลอยู่ในมือซ้ายของเขา ธีโอดอร์อาจจะทำลายสถานการณ์นี้ไปได้หากเขาใช้มันและศิลานักปราชญ์ มันน่าเสียดายที่ต้องเสียสมบัติไปในสถานที่นี้ แต่ไม่มีอะไรที่มีค่ามากไปกว่าชีวิตของเขา
จากนั้น ดาบAzoth ก็ได้ออกมาจากรูบนมือซ้ายเขาและเข้าสู่กำมือของเขา
***
มันเป็นเพราะจอมเวทย์ทั้งสองได้ดึงดูดความสนใจเอาไว้....?กลุ่มคนที่เหลือของทีมสืบสวนจึงมาถึงโบราณสถานโดยไม่มีสิ่งกีดขวางใดๆและเข้าไปในหลุมที่ลอยด์หลบซ่อน
ลอยด์ได้เข้ามาก่อนพวกเขาประมาณ10นาที ด้วยความเร็วของปรมาจารย์ดาบ มันไม่ได้พูดเกินจริงเลยหากจะบอกว่าเขานั้นไปไกลหลายกิโลเมตรแล้ว อย่างไรก็ตาม ไม่นานนัก การคาดการณ์ดังกล่าวก็ได้รับการพิสูจน์ว่าผิด
“โอ้?พวกแกตามข้ามาเร็วดีนี่ ข้าคิดว่าข้าจะมีเวลาเหลือเฟือเสียอีก”ลอยด์ โพลแลน ดาบที่7แห่งจักรวรรดิ ได้ปรากฏตัวขึ้นที่จุดเริ่มเต้นราวกับเขากำลังรอคอยอยู่
เขาให้ความสำคัญกับการตรวจสอบมุจัก ซิลเวีย วิลเลี่ยม และพาร่า และในไม่ช้าเขาก็ตระหนักถึงวิธีที่พวกเขาได้เข้ามายังที่นี่
“อันที่จริง พวกแกต้องใช้จ้าวมนตราสองคนเพื่อถ่วงเวลาเจ้าสัตว์ประหลาดนั่น แกคิดว่าลำพังเพียงพวกแกจะขัดขวางข้าได้งั้นรึ ดียิ่งนัก”
“…ทำไมเจ้าจึงดูผ่อนคลายเช่นนั้นกัน?”มุจักได้ก้าวไปข้างหน้า
ในพื้นที่แคบนี้ ปรมาจารย์ดาบจะมีข้อได้เปรียบมากกว่าจอมเวทย์ มันเป็นความจริงแม้ว่าพวกเขาจะเป็นจอมเวทย์ขั้น7ก็ตาม นี่เป็นเพราะมันเป็นการยากที่จะใช้เวทมนต์ขนาดใหญ่ในพื้นที่แคบเช่นนี้ และมีข้อเสียเปรียบอื่นๆอีกมากมาย
ในท้ายที่สุด มีเพียงมุจักคนเดียวเท่านั้นที่สามารถหยุดลอยด์ได้
“สุนัข’แอนดราส’ คนของเจ้าได้ตายหมดแล้ว เจ้าไม่ละอายงั้นหรือที่จะคลานเข้ามาในหลุมนี่เพียงลำพัง?”
“ข้าต่างหากที่ควรจะถามเจ้าว่าเจ้ารู้สึกละอายหรือไม่?”ลอยด์พูดตอบโต้ “อะไรคือการที่สุนัขผู้ซื่อสัตย์ของสุลต่านได้มาเกาะแกะเมลเทอร์?เจ้ามันเหมือนจิ้งจอกเฒ่า”
“เจ้า....!”
“ดี กษัตริย์แห่งเมลเทอร์มีโอกาสที่ดีกว่าตาแก่ในทะเลทราย มันเป็นการตัดสินที่ดี”ลอยด์ได้ตบมือเสียงดัง ส่งผลให้ความโกรธของมุจักทะยานขึ้นอย่างเงียบๆ
ความจริงที่ว่า มุจักไม่ก่นด่าหรือทำอะไรเป็นสิ่งที่พิสูจน์ว่าเขาโกรธมากแค่ไหน ก่อนที่พวกเขาจะได้ทำอะไร พลังออร่าสีเขียวเข้มก็ได้ปกคลุมใบดาบของเขา มันเป็นสถานการณ์ที่เร่งรีบ สมาชิกของQuattroอ่านบรรยากาศระหว่างสองปรมาจารย์ดาบได้และก้าวถอยหลังไป ขณะที่มุจักเปิดปากของเขาขึ้น
เขาคำรามออกมา “เห่าออกมาตามที่เจ้าต้องการ เจ้าจะต้องตายลงที่นี่!”
“หืม เจ้ายังคงไม่เข้าใจสินะ”
เสียงของทั้งสองคนได้ดังก้องในอากาศ และจากนั้นพวกเขาก็ได้หายไป
เกร๊ง!
สีเหลืองเข้มและเขียวเข้ม พลังออร่าที่แตกต่างกันได้ห้ำหันกัน ส่งผลให้คลื่นอัดกระแทกกระจายไปทั่วพื้นที่ ฝุ่นที่เกาะอยู่มานานนับพันปีได้ยกตัวขึ้นเมื่อสองปรมาจารย์ดาบได้ขยับตัว ทิ้งไว้เพียงภาพติดตา
พวกเขาได้วาดดาบ บน ล่าง ซ้ายและขวา ขณะที่พวกเขาโยกเอว คอ หรือหัวใจเพื่อหลบหลีกดาบ พวกเขาขยับ10ถึง20ครั้งภายในพริบตาเดียว เห็นได้ชัดว่าพายุแห่งคมดาบได้ก่อตัวขึ้นในทางแคบนี้
กริ๊ง!เกร๊ง!เช้ง!ฟุ้บ-เกร๊ง!
“บ้าเอ้ย ไม่มีช่องว่างเลย!”วิลเลี่ยม พยายามที่จะสนับสนุส แต่เขาก็ส่ายหัวและลดมือที่ยื่นออกไปลง
ปรมาจารย์ดาบทั้งสองนั้นเร็วจนไม่มีที่ว่างให้เวทมนต์ ประสบการณ์ของเขาแตกต่างไปจากปรมาจารย์ดาบ?เขาได้รับการปฏิบัติราวกับอัจฉริยะแต่เด็ก ดังนั้นนี่จึงเป็นครั้งแรกที่วิลเลี่ยมรู้สึกด้อยค่า
อย่างไรก็ตาม ซิลเวียนได้ยื่นคฑาของเธอออกไป “สายลมแห่งความหนาวเย็น”
หมอกที่หนาวเย็น ได้ปรากฏจากปลายคฑาของเธอและล้อมรอบปรมาจารย์ดาบทั้งสองเขาไว้ นี่เป็นการกระทำที่จะส่งผลกระทบต่อทั้งสองคน!วิลเลี่ยมประหลาดใจและพยายามที่จะหยุดเวทมนต์นี้
อย่างไรก็ตาม เขาก็เข้าใจการกระทำของเธอได้อย่างรวดเร็ว “ฉันเข้าใจแล้ว!เธอได้ร่ายเวทย์ป้องกันความหนาวเย็นให้เขาแต่แรก!”
ซึ่งแตกต่างจากลอยด์ที่ไม่มีการป้องกันเวทมนต์ใดๆ มุจักนั้นมีการต้านทานความเย็นที่ซิลเวียได้ร่ายลงบนตัวเขา แม้ว่าทั้งสองคนจะโดนอากาศที่หนาวเย็น แต่มีเพียงลอยด์เท่านั้นที่จะโดนความเสียหาย
ไม่น่าแปลกใจ ดาบของลอยด์ได้ช้าไปครึ่งจังหวะ และเขาถูกผลักถอยกลับโดยมุจัก
‘ตอนนี้แหละ!’
จอมเวทย์ทั้งสามได้ขยับตัวในเวลาเดียวกัน
หอกน้ำแข็ง
ตาข่ายสายฟ้า
ขอบเขตแรงโน้มถ่วง
หอกน้ำแข็งและตาข่ายสายฟ้าได้พุ่งไปในตำแหน่งของลอยด์ แรงโน้มถ่วงเป็นเพียงเวทย์แถมเท่านั้น การโจมตีเหล่านี้นั้นมาจากเหล่าว่าที่ผู้นำหอคอยคนต่อไป ดังนั้นมันจึงเป็นไปไม่ได้สำหรับเป้าหมายของพวกเขาที่จะหลีกเลี่ยงการบาดเจ็บสาหัส
อย่างไรก็ตาม การตอบสนองของลอยด์นั้นราวกับเทพเจ้า ลอยด์ได้ก้าวไปข้างหน้า2ก้าวและอีกครั้งก้าว ด้วยร่างกายของเขาที่เคลื่อนไหวราวกับนักเต้น เขาได้ก้าวผ่านหอกน้ำแข็งไปได้ จากนั้นเขาก็พุ่งทะลุผ่านตาข่ายสายฟ้า พร้อมๆกับวิ่งผ่านจุดศูนย์กลางของแรงโน้มถ่วงและขยับดาบเขา
ฉึก!
การทำลายเวทมนต์เป็นสิ่งที่มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นในจักรวรรดิที่ทำได้ มันถือเป็นเรื่องเลวร้ายสำหรับจอมเวทย์ โดยการใส่พลังออร่าเข้าไปในช่องว่างของเวทมนต์ นี่เป็นพลังที่ทำให้พวกเขาต่อสู้กับเหล่าจอมเวทย์มาได้นานหลายทศวรรษ
ลอยด์ได้ได้พุ่งผ่านการโจมตีของสามจอมเวทย์ และพยายามที่จะเข้าใกล้ แต่มีบางคนได้ขัดขวางเขา
ปรมาจารย์ดาบ มุจัก ได้ปรากฏตัวตรงหน้าลอยด์
“-นี่ไม่ใช่เรื่องที่ขี้ขลาด”
ดวงตาของมุจักลุกโชนขณะที่เขาถือดาบในท่าทางแปลกๆ นี่คือความสามารถออร่า ‘ภาพลวงตา’ มันไร้ค่าที่จะใช้สิ่งนี้เพื่อต่อกรกับเมอร์คิวเรียส แต่มันจะมีประสิทธิภาพอย่างมากเมื่อต่อสู้กับมนุษย์ จากนั้น มุจักก็ใช้ท่าทางพิเศษของเขาที่สามารถฆ่าปรมาจารย์ดาบคนอื่นได้
‘เงาลวงตา’
ดาบหลายสิบเล่มปรากฏขึ้นในพื้นที่ว่างเปล่า พวกมันทั้งหมดคือภาพลวงตา แต่พวกมันได้แปรเปลี่ยนเป็นดาบที่แท้จริงเมื่อพลังออร่าของมุจักได้เติมเต็มพวกมัน การทำให้ภาพลวงตามีตัวตน.....นี่คือเทคนิคลับของผู้พิทักษ์แห่งออสเต็น ซึ่งทำให้เขาไม่เคยพ่ายแพ้ใครมาก่อน!
“…นี่....”
ด้วยคำพูดดังกล่าว ดาบก็ได้เทกระหน่ำใส่ลอยด์ราวกับห่าฝน