เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 28 ธุรกิจที่ไม่ต้องลงทุน (อ่านฟรี)
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 28 ธุรกิจที่ไม่ต้องลงทุน
แปลโดย iPAT
“เหตุใดต้องหยุด?” อาจารย์อาวุโสยกคิ้วและหัวเราะ ขณะเดียวกันก็ชี้นิ้วไปยังฟางหยวน “ชายผู้นี้ควบคุมสถานการณ์ได้ทั้งหมด การโจมตีของเขาอยู่ในระดับที่เหมาะสม ลองดูวิธีการจู่โจมของเขา เขาใช้มือสับไปที่ด้านข้างลำคอไม่ซ้ายก็ขวาแต่ไม่ได้สับไปยังด้านหลังลำคอ นั่นเพราะเขารู้ว่าการกระแทกไปที่นั้นอาจทำให้คู่ต่อสู้ตายทันที ดังนั้นเขาจึงเว้นจุดตายเอาไว้”
“ดูให้ดีว่าเด็กที่นอนอยู่บนพื้นมีผู้ใดที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสจริงๆหรือไม่? ไม่มี! แต่กระทั่งพวกเขาจะได้รับบาดเจ็บรุนแรงแล้วอย่างไร? เจ้าคิดว่าสถานศึกษาของเราไม่สามารถรักษาบาดแผลชนิดนี้ได้งั้นหรือ?”
“แต่...ผู้อาวุโส เด็กนั่นยโสเกินไป เขาปิดทางเข้าออกของสถานศึกษา ชัดเจนว่าเขาไม่เห็นเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยอยู่ในสายตา แม้การถูกเพิกเฉยจะไม่ใช่ปัญหาหลัก แต่เรื่องสำคัญก็คือตระกูลจะคิดอย่างไรกับสถานศึกษาของพวกเรา หากพวกเราปล่อยให้ศิษย์นภาที่สามไร้ค่านั่นสร้างความวุ่นวายในสถานศึกษาและยังไม่คิดที่จะหยุด หากข่าวนี้แพร่สะพัดออกไป มันอาจส่งผลกระทบต่อชื่อเสียงของผู้อาวุโส” หัวหน้ายามรักษาความปลอดภัยกล่าว
“ฮืม! ความจริงก็คือพวกเจ้าถูกเพิกเฉยจึงรู้สึกว่าศักดิ์ศรีของพวกเจ้าถูกท้าทายใช่หรือไม่?” อาจารย์อาวุโสมองกลุ่มยามพร้อมกับกล่าวด้วยน้ำเสียงเย้ยหยัน นั่นทำให้พวกเขาต้องก้มศีรษะลงและไม่กล้ากล่าวสิ่งใดออกมาอีก
“การต่อสู้มีสิ่งใดผิด? ตราบเท่าที่ไม่สูญเสียชีวิต มันจะกระตุ้นให้เกิดการแข่งขันระหว่างศิษย์และทำให้พวกเขาพยายามมากขึ้น การหยุดการต่อสู้ก็เหมือนกับการหยุดความก้าวหน้าของพวกเขา นอกจากนี้ในรุ่นอื่นมีการต่อสู้เกิดขึ้นหรือไม่? มันเกิดขึ้นทุกปีและมันก็เกิดขึ้นบ่อยมาก ข้อแตกต่างเพียงอย่างเดียวก็คือมันจะเกิดขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปีเมื่อพวกเขาเข้าใจวิธีการต่อสู้มากขึ้นแล้ว เมื่อพวกเขามีพลังอำนาจอยู่ในมือ พวกเขาก็ต้องการทดลองใช้มัน หลังจากทั้งหมดพวกเขาก็เป็นเพียงเด็กวัยรุ่นเลือดร้อน แล้วเหตุใดต้องหยุดพวกเขา?” อาจารย์อาวุโสกล่าวเสียงเย็น
“บางทีการต่อสู้ที่ผ่านมาอาจเป็นการต่อสู้แบบตัวต่อตัว แต่สำหรับฟางหยวนผู้นี้ มันเป็นการก่อความวุ่นวาย” หัวหน้ายามกล่าวอีกครั้ง
“ไม่ ไม่” อาจารย์อาวุโสส่ายศีรษะ “นั่นเป็นเพราะพวกเจ้าไม่กล้าหยุดเขา หลังจากครึ่งไปผ่านไปพวกเด็กๆจะกลายเป็นผู้ใช้วิญญาณที่มีความสามารถในการต่อสู้ แล้วมนุษย์ธรรมดาเช่นพวกเจ้าจะกล้าหยุดพวกเขาได้อย่างไร? ตรงข้าม มันเป็นเพราะฟางหยวนพึ่งเริ่มต้นบนเส้นการแห่งการบ่มเพาะและยังไม่มีพลังอำนาจมากพอ นอกจากนี้พวกเจ้ายังรู้สึกไม่พอใจที่เขาเพิกเฉยต่อการคงอยู่ของพวกเจ้า พวกเจ้าจึงต้องการหยุดเขา อย่างไรก็ตามพวกเจ้าอย่าลืมว่าศิษย์ทุกคนที่นี่เป็นสมาชิกตระกูลแสงจันทร์เช่นเดียวกับข้าและเป็นเจ้านายของพวกเจ้า! แม้พวกเขาจะอายุน้อยกว่าพวกเจ้าหรืออ่อนแอกว่าพวกเจ้า พวกเขาก็ยังคงเป็นเจ้านายของพวกเจ้า!”
น้ำเสียงของอาจารย์อาวุโสเปลี่ยนเป็นจริงจังและเคร่งขรึม
“พวกเจ้าไม่ใช่คนของตระกูลแสงจันทร์ พวกเจ้านำความกล้ามาจากที่ใด? ด้วยความภักดี พวกเจ้าอาจได้รับรางวัลเล็กๆน้อยๆ แต่ไม่ว่าอย่างไรความจริงก็คือพวกเจ้าเป็นทาส! เพียงทาส! เป็นเพียงทาสแต่กล้าวิพากษ์วิจารณ์เจ้านายและกล้ายุ่งเรื่องของเจ้านายเช่นนั้นหรือ?” ใบหน้าของอาจารย์อาวุโสสงบนิ่งราวกับผิวน้ำ
“นี่มิใช่ความคิดของผู้น้อย ผู้น้อยไม่มีความคิดเช่นนั้นจริงๆ”
“ผู้น้อยมิกล้า ผู้น้อยมิกล้า”
กลุ่มยามรีบคุกเข่าและโขกศีรษะลงบนพื้นอย่างไม่หยุดยั้ง ขณะที่อาจารย์อาวุโสชี้นิ้วไปที่หัวหน้ายามที่กล่าวหาว่าฟางหยวนก่อความวุ่นวาย “เจ้ากล้าวิพากษ์วิจารณ์เจ้านายของตน เจ้าจะถูกปลดจากตำแหน่งหัวหน้าตั้งแต่วันนี้เป็นต่อไป!”
หลังจากนั้นชายชราก็กล่าวกับยามที่เหลือ “อีกครึ่งเดือนจะมีการคัดเลือกหัวหน้ายามคนใหม่”
เมื่อได้ยินเช่นนี้ดวงตาของพวกเขาก็ส่องสว่างขึ้นทันที
‘ตำแหน่งหัวหน้ายามจะได้รับหินวิญญาณครึ่งก้อนทุกเดือน’
‘การเป็นหัวหน้ายามคือการอยู่เหนือมนุษย์ธรรมดา นอกจากเจ้านายจะไม่มีผู้ใดกล้าแสดงความไม่พอใจต่อข้า’
‘หัวหน้ายามเป็นตำแหน่งที่มีเกียรติสำหรับมนุษย์ธรรมดาเป็นอย่างมาก’
“พวกเจ้ายังจะอยู่ที่นี่อีกเพื่อสิ่งใด? ออกไป! รอให้การต่อสู้จบลงและเก็บกวาดให้เรียบร้อย!” อาจารย์อาวุโสตะโกนเสียงดัง
“รับทราบ!”
“ผู้น้อยขอลา”
กลุ่มยามที่ตื่นกลัวรีบวิ่งลงบันไดขณะที่บางคนสะดุดหกล้มและลากดึงยามทั้งหมดกลิ้งลงบันไดไปอย่างน่าเวทนา
อย่างไรก็ตามภายใต้ความหวาดกลัวที่มีต่ออาจารย์อาวุโส พวกเขาจึงไม่กล้าแม้แต่จะส่งเสียงโอดครวญออกมา
“ฮืม คนรับใช้ก็เหมือนสุนัข หากปล่อยปละละเลย นานไปมันจะเกเร บางครั้งเจ้าของก็ต้องสร้างความหวาดกลัวให้กับพวกมัน จากนั้นจึงโยนกระดูกชิ้นเล็กๆออกไปเพื่อเป็นแรงจูงใจให้พวกมันอุทิศชีวิตแก่เจ้านาย มันคือการถือไม้เรียวไว้ในมือข้างหนึ่งและถือแครอทไว้ในมืออีกข้าง เป็นเช่นเดียวกันกับเจ้าหน้าที่ระดับสูงขึ้นไป” หลังกล่าวจบคำ อาจารย์อาวุโสก็มองไปยังประตูทางออกของสถานศึกษาอีกครั้ง
ศิษย์กลุ่มใหม่สิบคนหรือมากกว่านั้นนอนอยู่บนพื้นขณะที่เด็กหญิงสามคนกำลังก้าวถอยหลัง
“อย่า...อย่าเข้ามา!”
“หากเจ้าเข้ามาใกล้กว่านี้ ข้าจะยิงดาบแสงจันทร์ออกไป!”
ปรากฏแสงสีฟ้าอ่อนบนฝ่ามือของพวกนาง ดูเหมือนพวกนางจะหวาดกลัวจนถึงจุดที่พร้อมจะปล่อยดาบแสงจันทร์ออกมาได้ทุกเมื่อ
ร่างกายของฟางหยวนเป็นเพียงเด็กหนุ่มอายุสิบห้าที่ยังคงอ่อนแอมาก หากเขาถูกโจมตีด้วยดาบแสงจันทร์ เขาอาจได้รับบาดเจ็บสาหัสจริงๆ แต่ถามว่าเขากลัวหรือไม่? แน่นอนว่าไม่! ฟางหยวนยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มเย้ยหยัน “สาวๆ พวกเจ้าช่างกล้าหาญนัก พวกเจ้าลืมกฎของสถานศึกษาไปแล้วงั้นหรือ? ภายในสถานศึกษา การต่อสู้โดยใช้วิญญาณถือเป็นข้อห้าม มิฉะนั้นพวกเจ้าจะถูกลงโทษด้วยการไล่ออก พวกเจ้าต้องการถูกไล่ออกเช่นนั้นหรือ?”
“นี่...” เด็กสาวเริ่มลังเล
“มีกฎนี้อยู่จริงๆ” แสงสีฟ้าอ่อนบนฝ่ามือของพวกนางเลือนหายไปทันที
ดวงตาของฟางหยวนส่องประกายขึ้นก่อนที่เขาจะพุ่งเข้าไปสับลำคอของเด็กทั้งสองคนโดยไม่สนใจว่าอีกฝ่ายเป็นผู้หญิง
เด็กหญิงอีกคนหวาดกลัวมากและทรุดตัวลงบนพื้นอย่างสูญสิ้นเรี่ยวแรงก่อนจะร้องไห้ออกมาพร้อมกับอ้อนวอนขอความเมตตา “ฟางหยวน โปรด...โปรดปล่อยข้าไป”
ฟางหยวนมองหญิงสาวที่นั่งร้องไห้อยู่บนพื้นและกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่เย็นชา “หินวิญญาณ”
ร่างของเด็กหญิงสั่นสะท้านอย่างไม่หยุดยั้งขณะที่นางรีบหยิบถุงเงินออกมาและส่งหินวิญญาณสามสี่ก้อนให้กับฟางหยวน “อย่าทำข้า ข้าจะมอบหินวิญญาณทั้งหมดให้เจ้า”
ใบหน้าของฟางหยวนไร้ความรู้สึกใดๆขณะที่เขาใช้นิ้วชี้และนิ้วหัวแม่มือค่อยๆเอื้อมไปหยิบหินวิญญาณจากหญิงสาวขึ้นมาหนึ่งก้อน
ร่างกายของนางสั่นสะท้านด้วยความหวาดกลัว แม้ว่านิ้วมือของฟางหยวนจะบอบบางเพียงใด มันก็เหมือนกับกรงเล็บมัจจุราชในสายตาของนาง
“ข้าบอกแล้วว่าข้าต้องการหินวิญญาณเพียงก้อนเดียว” ฟางหยวนหยุดก่อนกล่าวต่อ “เจ้าไปได้”
เด็กหญิงมองฟางหยวนด้วยความประหลาดใจอยู่เป็นเวลานานแต่เมื่อนางต้องการจะลุกขึ้น ขาของเธอกลับกลายไร้เรี่ยวแรงและไม่สามารถลุกขึ้นอยู่เป็นเวลานาน
เมื่อเห็นฉากดังกล่าว อาจารย์อาวุโสทำได้เพียงส่ายศีรษะไปมา หลังจากทั้งหมดเขาใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้เพื่อตรวจสอบพรสวรรค์ในการต่อสู้ของศิษย์แต่ละคน
เด็กหญิงผู้นี้เป็นผู้ใช้วิญญาณที่มีพรสวรรค์นภาที่สาม อย่างไรก็ตามด้วยความอ่อนแอทางจิตใจ นางจะเป็นได้เพียงผู้ใช้วิญญาณสายสนับสนุนและสามารถช่วยเหลืองานเล็กๆน้อยๆของตระกูลเท่านั้น เพราะมันชัดเจนว่านางไม่สามารถเข้าสู่สนามรบ
“แต่ฟางหยวนผู้นี้....” อาจารย์อาวุโสใช้มือลูบเคราของตนเองและมองฟางหยวนด้วยดวงตาที่ส่องประกาย
เขารู้สึกว่าฟางหยวนเป็นเด็กที่น่าสนใจมาก เด็กผู้นี้ไม่เพียงมีพรสวรรค์ในการต่อสู้แต่ยังรู้ขีดจำกัดของตนเองและกรรโชกหินวิญญาณเพียงหนึ่งก้อนเพื่อไม่ให้เกินขอบเขตความอดทนของผู้อาวุโสเช่นเขา หากฟางหยวนนำหินวิญญาณไปสองก้อน ในฐานะผู้อาวุโส เขาต้องเข้าแทรกแซง
สถานศึกษามอบหินวิญญาณให้ศิษย์คนละสามก้อน หากเสียไปหนึ่งก้อน มันยังไม่ใช่ปัญหา แต่หากเป็นสองก้อนขึ้นไป แล้วสถานศึกษาจะมอบหินวิญญาณให้ศิษย์ทุกคนเพื่อสิ่งใด? มันจะไม่ง่ายกว่าที่พวกเขาจะส่งมอบหินวิญญาณทั้งหมดให้กับฟางหยวนโดยตรงงั้นหรือ?
เป็นเพียงเวลานี้ที่เด็กหนุ่มสาวกลุ่มสุดท้ายเดินมาถึงสถานที่เกิดเหตุ พวกเขาเป็นกลุ่มห้าคนและหนึ่งในนั้นก็คือฟางเจิ้ง
“พี่ใหญ่ ท่านกล้าทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างไร? ท่านกล้ากรรโชกหินวิญญาณจากสหายร่วมชั้นเรียนของท่านได้อย่างไร?” ฟางเจิ้งเบิกตากว้าง เขาไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เห็น “ข้าขอแนะนำให้ท่านไปสารภาพผิดกับอาจารย์อาวุโสเดี๋ยวนี้ นี่ไม่ใช่เรื่องตลก มิฉะนั้นท่านอาจถูกไล่ออก”
ฟางหยวนหัวเราะ “เจ้าพูดได้ถูกต้องแล้ว มันไม่ใช่เรื่องตลก”
ฟางเจิ้งถอนหายใจเมื่อพบว่าพี่ใหญ่ของเขาไม่ได้บ้าคลั่งจนเกินไปและยังฟังคำแนะนำของเขา
แต่ฟางหยวนยังกล่าวต่อ “ทุกคนส่งหินวิญญาณมาคนละหนึ่งก้อน”
“อันใด?” ฟางเจิ้งเปิดปากด้วยความประหลาดใจ “ข้าต้องให้ท่านด้วยงั้นหรือ?”
“น้องชายที่รักของข้า แน่นอนว่าเจ้าสามารถเลือกที่จะปฏิเสธ” น้ำเสียงของฟางหยวนอ่อนโอนมาก “แต่เจ้าจะจบลงเช่นเดียวกับพวกเขา”
ฟางหยวนกล่าวพร้อมกับชี้นิ้วไปยังเด็กหนุ่มสาวที่นอนอยู่บนพื้น บางคนกำลังร้องไห้ บางคนกำลังโอดครวญด้วยความเจ็บปวด และบางคนก็นอนนิ่งอยู่ที่นั่น
“แม้แต่น้องชายของตนเองยังไม่ละเว้น!”
“ฟางหยวนผู้นี้บ้าไปแล้ว! เขาโหดร้ายเกินไปแล้ว!”
“เราไม่สามารถเอาชนะเขาได้ มันจะฉลาดกว่าหากพวกเราต่อสู้ด้วยปัญญา”
“ถูกต้อง มอบหินวิญญาณให้เขา จากนั้นค่อยไปรายงานอาจารย์อาวุโส แล้วเขาจะต้องเสียใจ”
ด้วยบทเรียนจากข้อผิดพลาดของสหายร่วมชั้นเรียน พวกเขาจึงเลือกที่จะมอบหินวิญญาณให้กับฟางหยวนแม้จะไม่เต็มใจก็ตาม
“หยุดก่อน” ฟางหยวนเรียกให้พวกเขาหยุดขณะที่พวกเขากำลังจะจากไป
“ฟางหยวน เจ้าจะกลับคำพูดของตนเองงั้นหรือ?” เด็กหนุ่มผู้หนึ่งรู้สึกหงุดหงิด
ฟางหยวนหันหน้าไปทางเด็กหนุ่มสาวที่นอนอยู่บนพื้นก่อนจะถอนหายใจออกมา “พวกเจ้าคิดว่าข้าควรก้มลงไปค้นหาหินวิญญาณของพวกเขาหรือไม่?”
เด็นหนุ่มทั้งห้ามองฟางหยวนด้วยสายตาที่ว่างเปล่าก่อนที่พวกเขาจะตระหนักถึงบางสิ่งได้ในที่สุด แต่พวกเขายังรู้สึกลังเลขณะที่ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีแดง
ฟางหยวนหรี่ตามองและทำให้หัวใจของเด็กทั้งห้าจะกระตุกขึ้นอย่างรุนแรงและรู้สึกมึนงงไปชั่วขณะ
“เอาล่ะฟางหยวน เราเข้าใจความหมายของเจ้าแล้ว”
“พวกเราจะช่วยเจ้าสักครั้ง”
ภายใต้ความเผด็จการของฟางหยวน เด็กทั้งห้าก้มลงไปค้นหาหินวิญญาณจากร่างของสหายที่นอนอยู่บนพื้นก่อนจะรวบรวมพวกมันมาส่งมอบให้กับฟางหยวน
ศิษย์ทั้งชั้นเรียนมีอยู่ห้าสิบเจ็ดคน ด้วยการกรรโชกทรัพย์ ฟางหยวนจึงได้รับหินวิญญาณมาห้าสิบหกก้อน
เดิมทีเขาเหลือหินวิญญาณอยู่ประมาณยี่สิบก้อน หลังจากหักลบค่าใช้จ่ายทั้งหมด ขณะนี้เขามีหินวิญญาณอยู่ทั้งสิ้นเจ็ดสิบเก้าก้อน
“ธุรกิจที่ไม่ต้องลงทุนเช่นการกรรโชกทรัพย์และการปล้นสะดมเป็นวิธีการหารายได้ที่ดีที่สุด” ฟางหยวนใช้มือตบถุงเงินที่เก็บไว้ในหน้าอกของเขาก่อนจะเดินจากไปและทิ้งร่างที่ราวกับซากศพของสหายร่วมชั้นเรียนเอาไว้เบื้องหลัง
ฟางเจิ้งยืนอยู่ด้านหลังและมองเงาของฟางหยวนที่ค่อยๆเดินห่างออกไปด้วยดวงตาที่ว่างเปล่า
“เร็วเข้า!”
“ดูแลเจ้านายอย่างดีที่สุด!”
“ตามหมอมา เรียกหมอมาที่นี่อย่างรวดเร็วที่สุด!”
กลุ่มยามตะโกนเสียงดัง ทุกคนพยายามทำหน้าที่ของตนอย่างกระตือรือร้น เพื่อตำแหน่งหัวหน้ายาม พวกเขาจึงเต็มไปด้วยพลังงาน