ตอนที่ 191 รอบๆทะเลทราย 1
ทะเลทรายมิวส์นั้นตั้งอยู่กลางตะวันตกของทวีปและทางตะวันตกเฉียงใต้ของอาณาจักรออสเต็น ซึ่งขึ้นชื่ออย่างมาก ‘ภัยแล้งอันยิ่งใหญ่’นั้นจะมีช่วงเวลาที่ไม่สม่ำเสมอของลมทะเลขนาดใหญ่ ซึ่งนำพาความอดอยากมาสู่ทะเลทรายรวมถึงออสเต็น
ในตอนแรก ทะเลทรายมิวส์นั้นมีขนาดเพียงเมืองเล็กๆ3หรือ4แห่งเท่านั้น หลังจากผ่านไปหลายร้อยปี มันก็กลายเป็นหลุมมดที่กินดินแดนของออสเต็นไปถึงครึ่ง นับแต่นั้นเป็นต้นมา มันก็เป็นที่รู้จักกันในฐานะทะเลทรายมิวส์
ตามตำนานการก่อตั้งออสเต็น ผู้ที่สังหารผู้ก่อตั้ง และสร้างภัยพิบัติให้แก่ราชอาณาจักรก็คือมิวส์ ผู้คนจากอาณาจักรแห่งทะเลทรายเริ่มเชื่อว่าความเศร้าโศกของสิ่งมีชีวิตในตำนานจะทำให้โลกแห้งแล้ง พวกเขาไม่สามารถยอมรับภัยพิบัติที่ไร้เหตุผลนี้ได้ มันเป็นเพียงความโชคร้ายโดยบังเอิญเท่านั้น
มันแตกต่างไปเมื่อพูด ‘ภัยพิบัติจะเกิดขึ้นเมื่อโชคดีได้เปลี่ยนทิศทางไป’
ด้วยตัวตนที่ศักดิ์สิทธิ์อย่างสุลต่าน ผู้คนจากออสเต็นสามารถที่จะต่อสู้กับภัยแล้งได้ ซึ่งพวกเขาจัดให้เป็น’ศัตรู’ หากภัยแล้งได้หยุดลงชั่วขณะ พวกเขาจะบอกว่าพวกเขาชนะ และเมื่อภัยแล้งกลับมา พวกเขาก็จะกล่าวว่าวิญญาณชั่วร้ายได้เกิดขึ้นอีกครั้ง
[มันเป็นการต่อสู้ด้วยความอดทน!ต่อสู้เพื่อสุลต่าน!]
ตามคำสอนของออสเต็น นักรบจะตายและขึ้นสู่สวรรค์ ที่ที่พวกเขาจะได้รับสาวงามและคฤหาสน์หลังโต ดังนั้น เหล่าคนธรรมดาจึงอิจฉานักรบอย่างมาก
มันไม่เกี่ยวกับการสู้รบด้วยดาบในสนามรบ แต่เกี่ยวกับความสามารถในการไปสรวงสวรรค์หลังจากที่ตาย!พวกบ้าคลั่งบางคนถึงกับยอมอดตาย แม้จะมีอาหารและน้ำเยอะก็ตาม
นี่คือออสเต็น อาณาจักรที่แทบจะไม่มีลมหายใจเพราะการนับถือผิดๆ ทะเลทรายมิวส์ยังคงเป็นที่หลบภัยสำหรับเหล่าคนที่คิดว่าสุลต่านคือพระเจ้าปลอม และต้องการหลบหนีจากบ่วง
พรึ่บ!
จู่ๆก็มีแสงปรากฏขึ้นในอากาศที่เบาบางของทะเลทรายเขตร้อน แสงแดดที่รุนแดรง และลมแห้งร้อน และแสงที่จู่ๆก็โผล่ในอากาศก็คือทีมสืบสวนของเมลเทอร์
ผู้นำRed Tower เวโรนิก้า สมาชิกทั้งสี่ของQuattro และมุจัก ได้ปรากฏตัวขึ้นกลางอากาศราวๆ30เมตร แต่กลุ่มคนเหล่านี้กลับร่อนลงบนพื้นได้โดยง่าย มันจะน่าขันหากคนที่แข็งแกร่งเช่นพวกเขาได้รับความเสียหายโดยการตกจากที่สูง
ธีโอดอร์และมุจัก เลือกที่จะเสริมความแข็งแกร่งให้ร่างกาย ขณะที่คนอื่นๆใช้เวทมนต์ ท่ามกลางพวกเขา เวโรนิก้าเป็นคนสุดท้ายที่มาถึง
ตุบ!
แม้ว่าทรายจะทับถมสูงถึงแค่ข้อเท้าเธอ แต่การร่อนลงของเธอก็ค่อนข้างเสียงดังเนื่องจากสิ่งที่เธอกำลังแบกอยู่ มันเป็นรถลาก สิ่งที่เป็นการร่วมมือระหว่างWhite Tower และ Yellow Tower ล้อทั้งสี่ของรถลากสามารถที่จะกลิ้งด้วยเวทมนต์แทนที่จะเป็นม้า
มุจัก ได้เปิดปากของเขาด้วยน้ำเสียงสั่นสะเทือน “พะ-พวกเรามาถึงที่นี่ในทันที...พลังของเมลเทอร์นั้นยากที่จะเข้าใจได้”
เป็นเรื่องธรรมดาที่เขาจะรู้สึกกลัว เมื่อคิดว่ามันเป็นไปได้ที่พวกเขาได้วาปมายังทะเลทรายมิวส์ในทวีปตอนกลางได้ในทันที นี่เป็นจุดบอดของออสเต็น?นี่คือความสำเร็จที่ไม่สามารถทำได้หากปราศจากผู้นำWhite Tower อย่างไรก็ตาม มุจักไม่ทราบเรื่องนี้และรู้สึกเหมือนว่านี่เป็นการข่มขู่ของเมลเทอร์ที่บอกว่าพวกเขาสามารถทำลายออสเต็นได้ตลอดเวลาหากพวกเขาต้องการ
เวโรนิก้าหัวเราะอย่างร่าเริง “เอาละ ระวังตัวด้วยละ หนูสามารถที่จะตายได้โดยไม่รู้แม้กระทั่งสาเหตุ”
“….ข้าจะระวัง”มุจักไม่ได้ตอบกลับด้วยน้ำเสียงตลก เขาพยักหน้าอย่างจริงจัง ยิ่งไปกว่านั้น เวโรนิก้าเป็นคนที่เกือบจะฆ่าเขา ขอบคุณเรื่องนั้น บรรยากาศโดยรอบจึงเปลี่ยนเป็นหนาวเย็น ร่างกายของเขาถูกผูกบัดด้วยGeass Scroll(ม้วนทำสัญญา) แต่ความสัมพันธ์ของพวกเขานั้นไม่ดีนัก ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถไว้ใจได้
จากนั้นธีโอดอร์ก็พูดขึ้นมาเพื่อเปลี่ยนบรรยากาศนี้ “มันอยู่ไกลจากนี่แค่ไหน?”
“อืม....รอเดี๋ยวนะ”มุจัก เปิดแผนที่ขึ้น เขาลากนิ้วไปมาบาและก็ได้รับคำตอบ “พวกเราควรจะมุ่งตรงไปทางใต้ เป็นแนวทแยง ขึ้นอยู่กับการก้าวเดินของข้า มันควรจะใช้เวลา4หรือ5วัน ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับคนอื่นๆ”
“5วัน....”
มันเป็นเวลาที่ทั้งนานและสั้น พาราแกรนัมได้กล่าวว่าโบราณสถานจะไม่ถูกขุดโดยง่าย แต่เขาไม่เคยรู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง นั่นหมายความว่ายิ่งไปถึงได้เร็วเท่าไรก็จะยิ่งดี
ขณะนั้นเอง เวโรนิก้าก็ถามอย่างโง่เขลา “เดี๋ยวนะ 5วัน?”
“ถูกต้อง ท่านหญิงเวโรนิก้า มันไม่เหมือนกับทะเลทรายอื่นๆ ทะเลทรายมิวส์จะไม่สูญเสียความร้อนของมันในตอนกลางดึก และมันเป็นไปไม่ได้ที่จะเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็ว เมื่อพิจารณาถึงความสามารถของพวกเรา พวกเราไม่สามารถที่จะเดินทางได้ตลอดทั้งวัน ดังนั้น มันจึงต้องใช้เวลา5วัน”
“แต่นั่นคือสาเหตุที่ว่าทำไมฉันจึงนำของหนักนี่มา”เวโรนิก้าใช้มือของเธอตบไปที่รถลาก
อย่างไรก็ตาม มุจักได้ตอบกลับด้วยท่าทางเยาะเย้ย “เจ้าคิดว่าการรถลากนั่นจะวิ่งได้ดีในทะเลทราย?ม้าหรืออูฐที่ใช้ลากมันอยู่ไหน?”
“มันวิ่งด้วยพลังเวทย์”
“งั้น ล้อจะหักเลี้ยวบนพื้นทรายได้งั้นหรอ?”
ในความจริง คำพูดของมุจักนั้นไม่ผิด ธีโอดอร์คิดเกี่ยวกับเรื่องนี้และคิดว่าเขาพูดถึงต้อง ตอนนี้ ทรายสูงเพียงข้อเท้าของพวกเขาเท่านั้น แต่มันจะสูงขึ้นจนเท่าหน้าแข้ง ไม่สำคัญว่าการทำงานของรถลากจะโดดเด่นแค่ไหน ล้อจะไม่สามารถหักเลี้ยวได้หากมันจมลง
แต่ทว่า เวโรนิก้าไม่ยอมรับมัน “หึ หากไม่มีเส้นทาง งั้นพวกเราก็ควรที่จะสร้างมัน ทำไมเหล่าผู้อยู่เหนือธรรมชาติจึงต้องหมกมุ่นอยู่กับสามัญสำนึก?ตลกเสียจริง”
“อะไรนะ?นั่นหมายความว่า....”
เวโรนิก้าเมินเฉยมุจักและหันหน้าไปยังทิศทางที่พวกเขาต้องเดิน จากนั้นเธอก็สูดลมหายใจ มันเป็นการสูดลมหายใจที่ดูดกลืนอากาศทั่วบริเวณนั้น ลมและทรายได้เปลี่ยนทิศทางของมัน และธีโอดอร์ถึงกับหน้าซีดเมื่อเขาตระหนักถึงสิ่งที่เธอจะทำ
‘ไม่ใช่ว่าลมหายใจนี่มัน....!’
ร่างกายของเขารู้สึกเสี่ยวหวาบทันที สัญชาตญาณของเขาร้องเตือนให้เขาหมุนวงกลมอย่างรวดเร็ว
แกร๊ก แกร๊ก!
กำแพงน้ำแข็งได้พุดขึ้นอย่างต่อเนื่อง หนึ่ง สอง....กำแพงนั้นแข็ง7ชั้นได้ก่อขึ้นแยกกลุ่มคนที่เหลืออยู่จากเวโรนิก้า ทุกคนต่างรู้สึกงุนงงกับการใช้เวทมนต์ที่ฉับพลัน มีเพียงซิลเวียเท่านั้นที่รับรู้และช่วยเหลือธีโอดอร์
“จงหยุดทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้า Glacial Wall!”
เวทย์ขั้น6 Glacial Wall ได้ก่อตัวขึ้นรอบๆพวกเขา7ชั้น มันเป็นเวทย์ป้องกันที่สามารถทนได้แม้กระทั่งการระเบิดจากภายใน วิลเลี่ยมนั้นไม่เข้าใจว่าทั้งสองคนกำลังทำอะไรอยู่และพยายามจะพูด แต่ทว่า ‘มัน’ได้เริ่มขึ้นก่อน
--------!
คลื่นความร้อนที่ไม่น่าเชื่อพวยพุ่งมาจากทิศทางที่ตรงข้ามกับกำแพงน้ำแข็ง ความร้อนได้พุ่งไปในอากาศอย่างรวดเร็ว ทุกสิ่งทุกอย่างที่มันได้ผ่านจะกลายเป็นสูญญากาศ มันดูราวกับรังสีจากดวงอาทิตย์แทนที่จะเป็นเปลวไฟ จากนั้นมันก็ได้พุ่งผ่านพื้นทราย
ลมหายใจมังกรได้แบ่งแยกทะเลทรายมิวส์ออกเป็นสองส่วน ไม่สิ มันเป็นแค่การมองชั่วขณะ ทรายบนพื้นต่างหลอมละลายโดยสมบูรณ์จากลมหายใจมังกร
“….”
“…”
ไม่มีใครสามารถที่จะเปิดปากขึ้นได้ เช่นเดียวกับธีโอดอร์ แม้ว่าเขาจะเคยสัมผัสกับลมหายใจของเวโรนิก้ามาก่อน แต่ในตอนนั้น มันได้ถูกยิงขึ้นท้องฟ้า ลมหายใจที่เวโรนิก้าได้แสดงครั้งนี้มันเทียบกับตอนนั้นไม่ได้เลย
ลมหายใจนี้ได้พุ่งยาวไปไกลเกินเส้นขอบฟ้า ห่างออกจากกำแพงน้ำแข็งที่ละลาย พื้นทรายทอดยาวไปหลายกิโลเมตรได้แปรเปลี่ยนเป็นลาวา
จะเกิดอะไรขึ้นหากธีโอดอร์ได้เผชิญหน้ากับสิ่งนี้โดยตรง?การป้องกันของเขาจะแตกสลายและเขาจะตายทันที แม้ว่าเขาจะพยายามหลบมัน แต่ความเร็วของมันใกล้เคียงกับความเร็วแสง เช่นเดียวกับธีโอดอร์ ใบหน้าของมุจักซีดเซียวเมื่อเขาคิดภาพเช่นนั้น
จากนั้น วิลเลี่ยมก็กระซิบด้วยเสียงเล็ก “หะ-หัวหน้า ฉันไม่ได้ทำอะไรผิดไป ใช่มั้ย?”
“…อาจจะไม่ บางทีนะ”
“บางที?!”
ขณะที่วิลเลี่ยมสั่นด้วยความหวาดกลัว เวโรนิก้าก็มองไปรอบๆภูมิทัศน์ที่เธอสร้างขึ้นและกล่าว “ตอนนี้ใช้ได้รึยัง?มันจะใช้เวลาอย่างน้อย30นาที ดังนั้นเราจะขึ้นรถไปรอ ฉันไม่ชอบความรู้สึกที่ทรายเข้ารองเท้าฉันเท่าไร”
ทุกคนต่างมองไปที่เวโรนิก้าด้วยท่าทางไร้คำพูด เมื่อพวกเขาตระหนักได้ว่าทำไมเธอจึงใช้ลมหายใจ แต่เธอก็ได้เพิกเฉยต่อพวกเขา หลังจากนั้น ความร้อนจากลมหายใจมังกรก็ทำให้พวกเขารู้สึกร้อนรุ่มและชุ่มไปด้วยเหงื่อ
เวโรนิก้าได้โบกมือของเธอจากบนรถ “พวกเธอกำลังทำอะไรอยู่?เร็วเข้า”
การเดินทางของทีมสืบสวน มันพึ่งจะเริ่มขึ้น
***
อากาศ ณ กึ่งกลางทะเลทรายนั้นร้อนจนน่ากลัว แสงแดดได้ส่องลงมาจากฟ้าที่กำลังเผาไหม้ แต่เหล่าอัศวินในชุดเกราะดำต่างไม่กล้าที่จะหยุดพัก ที่ตรงกลางของพวกเขา มีอัศวินที่ดูองอาจยืนอยู่ขณะที่กอดอกหลวมๆ
เขาคือดาบแห่งจักรวรรดิ ลอยด์ โพลแลน มันยากที่จะคาดเดาได้ว่าดาบของจักรวรรดิจะมาปรากฏตัวที่โบราณสถาน การปรากฏตัวของคนที่ยากจะต่อรองด้วยได้ถือเป็นภัยพิบัติสำหรับผู้ใต้บังคับบัญชา แม้กระทั่งอัศวินเงา ยังยืนอยู่ด้านหน้าเขาราวกับหนูที่ยืนต่อหน้าแมว
“หืม นื่คือโบราณสถานจากยุคโบราณกาล”ลอยด์พูดขณะที่มองไปรอบๆบริเวณที่ถูกขัดค้นซึ่งไม่สามารถทำให้เสร็จสมบูรณ์ได้
เขามองไปยังรูปทรงโดม วัสดุที่สามารถยับยั้งอัศวินแห่งจักรวรรดิได้โดยง่ายและของเหลวสีเงินแปลกๆที่ไหลออกมาจากอุโมงค์ มันเป็นร่องรอยของยุคเก่าแก่ที่หาพบได้ยากในยุคปัจจุบันนี้
ฉิ้ง
จากนั้นก็ดึงดาบข้างเอวขึ้นมา
“ถอยไป”ลอยด์สั่งคนที่อยู่ใกล้เขาและจับดาบแน่น
พลังออร่าได้พุ่งออกมาจากเขา มันแตกต่างจากผู้ใช้ออร่าทั่วไป ไม่นานหลักจานั้น ดาบของลอยด์ก็ปกคลุมไปด้วยออร่าสีเขียวเข้ม ความสามารถของเขาไม่ได้เกี่ยวข้องกับพลังทำลายล้าง ดังนั้นการโจมตีจึงสามารถเรียกได้ว่าเป็นการใช้กำลังล้วนๆ
หวืด ดาบของลอยด์ได้ฟาดลงไปราวกับสายฟ้า แกร๊ง!
อย่างไรก็ตาม การโจมตีที่สามารถทะลุเหล็กได้หลายสิบชั้นและแม้กระทั่งมิธริล สามารถทำให้วัสดุนี้เกิดเพียงแค่รอยขีดข่วนเท่านั้น มันเป็นเรื่องที่น่าทึ่งหากเทียบกับอัศวินเงาผู้ที่ไม่สามารถทำให้เกิดได้แม้กระทั่งรอยขีดข่วน แต่มันทำให้ความภาคภูมิใจของปรมาจารย์ดาบแตกสลาย
“…อันที่จริง นี่ไม่สามารถทำลายได้ด้วยกำลัง”
สิ่งที่สามารถทนทานต่ออำนาจของปรมาจารย์ดาบได้ไม่ใช่สิ่งที่จะทำลายลงได้ด้วยพลังทำลายล้าง ผู้นำของเหล่าอัศวินเงาได้ถามลอยด์จากด้านหลัง “ข้าขออภัยที่ทำให้ท่านต้องมายังที่นี่ ท่านโพลแลน พวกเราจะทำ....”
“ไม่ ไม่ต้องขอโทษข้า ข้าถูกส่งมาโดยเจ้าชายเพราะเขาคาดหวังอะไรเช่นนี้”ลอยด์พึมพำขณะที่เขามองดูดาบของเขา “ข้าไม่ชอบมัน แต่....ข้าจะตอบสนองต่อความคาดหวังนั้น เจ้าชายนิสัยเสีย”
มันเป็นการพูดหมิ่นเบื้องสูง แต่อัศวินเงาได้เมินเฉยคำพูดของลอยด์และเฝ้ามองการกระทำของเขา
ไม่เหมือนกับ7เทพดาบคนอื่นๆผู้ที่ทำหน้าที่ในสนามรบ ลอยด์นั้นคล้ายคลึงกับอัศวินเงา เขาไม่ได้แสดงพลังทำลายล้างอันยิ่งใหญ่หรือมีความสามารถในการต่อสู้ที่ยอดเยี่ยม แต่เขามักจะประสบความสำเร็จในภารกิจของเขาเสมอ
ลอยด์เป็นเจ้าของความสามารถออร่าที่ทำให้เขาสามารถผ่านสถานการณ์ที่ยากลำบากได้ราวกับผี เหล่าเงาได้เฝ้ามองพลังออร่าและกลืนน้ำลาย เวลาได้ผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว....?
ลอยด์ ผู้ที่ปิดตาทั้งสองข้างมาเป็นเวลานาน ได้ลืมตาขึ้นอย่างฉับพลันและแทงดาบไปยังจุดๆหนึ่งบนพื้นดิน
ฉั้ว!
เหมือนกับที่อื่นๆ ของเหลวสีเงินได้พุ่งออกมา ของเหลวมีกลิ่นที่เหม็นอย่างมากและเป็นพิษ แต่ลอยด์ได้ถอยห่างออกไปแล้วและชี้ไปยังจุดนั้น
“ฝังระเบิดตรงจุดที่ข้าพึ่งขุดออก ไม่ใช่เพียงแค่หนึ่ง แต่ยิ่งมากยิ่งดี นี่เป็นวิธีเดียวที่จะเปิดโบราณสถานแห่งนี้”
“ครับ!ทุกคนลงมือได้!”
ไม่มีการคัดค้านใดๆ เหล่าอัศวินเงารู้จักลอยด์ดี ดังนั้นพวกเขาจึงปฏิบัติตามคำสั่งอย่างซื่อสัตย์ สำหรับพวกเขา มันเป็นความอัปยศหากพวกเขาไม่ปฏิบัติตามคำสั่งของหัวหน้า ความจงรักภักดีของเหล่าอัศวินเงาต่อจักรวรรดินั้นสูงเทียบเท่ากับเหล่าทหารเอกของออสเต็น
ลอยด์มองดูความภักดีของพวกและพึมพำ “ความเป็นไปได้ค่อนข้างเลวร้าย แต่ข้าไม่สามารถช่วยได้ ข้าไม่อยากตายด้วยน้ำมือของเจ้าชาย”
แท้จริงแล้ว ลอยด์ สามารถที่จะหาทางแก้ปัญหาในสถานการณ์ยากลำบากได้ทุกสถานการณ์ แต่ทว่า เขารู้ดีว่าการแก้ปัญหานั้นไม่ได้ดีเสมอไป