ตอนที่ 9 สู่ป่าเก้าวงกต
หลิงโม่หานไม่ใส่ใจคนข้างหลังแล้วเดินต่อไป เขาคาดว่าเจ้าขอทานน้อยนี่น่าจะเป็นนายน้อยจากตระกูลร่ำรวยซักตระกูลที่แอบหนีออกมาเที่ยวเล่น
เมื่อคราที่ขอทานน้อยเกาะขาเขาแน่น เขาก็ไม่รู้สึกถึงความอ่อนน้อมจากเจ้าขอทานนี่แม้แต่นิดแถมเจ้าหนูนี่ยังมีแววตาเฉลียวฉลาด ซึ่งไม่ใช่อะไรที่ขอทานจะมีได้ หลังได้ยินว่าเจ้าเด็กนี่จะไปที่ป่าเก้าวงกต เขายิ่งแน่ใจว่าเจ้าหนูนี่แค่จะไปเล่นสนุกเท่านั้น
ถ้าเจ้าเด็กนี่ไม่กลัวตายแล้วหลับหูหลับตาตามเขาเข้าไปที่ป่าเก้าวงกตจริงๆ มันก็ไม่ใช่เรื่องของเขาที่จะไปช่วยต่อให้อะไรจะเกิดขึ้นก็ตาม
เมื่อเห็นลุงข้างหน้าไม่ใส่ใจนาง เฟิ่งจิ่วก็ไม่พูดอะไรอีก และเพียงแค่วิ่งเหยาะๆตามหลังห่างไปไม่กี่ก้าว ทว่าหากมีผู้ใดลองมาดูใกล้ๆจะพบว่าฝีเท้าของนางนั้นแปลกประหลาด และไม่ได้ช้าไปกว่าหลิงโม่หานที่นำหน้านางเลย
ทั้งสองมุ่งหน้าไป หลิงโม่หานที่อยู่ข้างหน้าไม่หยุดพักแม้แต่ครั้งเดียว เช่นเดียวกับเฟิ่งจิ่วที่ข้างหลังเขา เวลาเหลือน้อยลงทุกที นางต้องไปที่ป่าเก้าวงกตเพื่อหาสมุนไพรที่จำเป็นมาแก้พิษในร่างให้ได้ ไม่เช่นนั้นชีวิตของนางในมิตินี้คงได้จบลงอย่างไร้รสนิยมสิ้นดี
แต่ร่างกายนี้จะอย่างไรเสียก็เป็นของคุณหนูตระกูลดี หลังจากวิ่งมาทั้งวันทั้งคืนโดยไม่มีน้ำและอาหาร ร่างกายก็เริ่มถึงขีดจำกัด ขาของนางปวดและหนักอึ้ง ความเร็วของนางค่อยๆช้าลง และร่างของหลิงโม่หานที่เบื้องหน้าก็ห่างไกลออกไปเรื่อยๆ
อย่างไรก็ตาม นางก็ยังคงสามารถมาถึงชายป่าเก้าวงกตได้ในรุ่งอรุณของวันถัดไป แม้นางจะไม่เห็นร่องรอยของลุงคนนั้นแล้วก็ตาม
“ฟู่! เหนื่อย!” นางแผ่หราลงกับพื้นหอบหายใจอย่างหนัก เหงื่อแตกเป็นสายอีกทั้งยังขาดอาหาร นางเริ่มรู้สึกวิงเวียนและคลื่นไส้
ตั้งแต่เมื่อวานจนถึงยามนี้ สิ่งเดียวที่นางใส่เข้าปากคือแอปเปิลที่นางฉวยมาจากแผงผลไม้ และมันก็ย่อยหมดไปนานจนไม่เหลือแม้แต่น้ำแล้ว กระเพาะนางว่างเปล่าและหิวโหย ขณะนี้นางหวังอย่างยิ่งที่จะได้น่องไก่แสนอร่อยซักน่องมาปลอบประโลมมัน
นางพักหายใจอยู่ชั่วครู่และปาดเหงื่อออก แล้วยืนขึ้นมองไปยังป่าเก้าวงกตเบื้องหน้านาง รอยยิ้มคาดหวังปรากฏขึ้นบนหน้า
“ฮี่ ฮี่ ข้าน่าจะสามารถหาเนื้อสัตว์มาใส่ท้องได้บ้างในป่าเก้าวงกตนี่…..” เพียงแค่คิดก็ทำให้นางน้ำลายสอ และเดินเข้าไปในป่าทันที
ป่านั้นหนาทึบและอุดมไปด้วยพืชพันธุ์ แสงอาทิตย์ส่องมาถึงนางเพียงครึ่ง สายลมอ่อนๆพัดพากลิ่นดินชื้นๆและกลิ่นหอมของหญ้าโชยเข้าจมูก
เฟิ่งจิ่วถือกิ่งไม้ที่นางหักออกมาและใช้มันปัดซ้ายปัดขวาที่ทางข้างหน้าก่อนที่นางจะเดิน เมื่อทำแบบนี้ทำให้มือหนึ่งของนางสามารถปัดวัชพืชไปให้พ้นทาง และอีกมือหนึ่งก็สามารถใช้ขับไล่สัตว์พิษทั้งหลายที่อาจซ่อนอยู่ในพงหญ้า
นางคืบหน้าไปอย่างเชื่องช้า ดวงตามองหาสมุนไพรใดๆที่อาจซ่อนอยู่ในดงวัชพืชอย่างละเอียด นางศึกษาพิษในร่างและพบว่ามันอาจจะยากสำหรับผู้อื่นที่จะล้างพิษ
ทว่าสำหรับคนเยี่ยงนางที่ชำนาญยิ่งทั้งโอสถรักษาและยาพิษ มันกำจัดได้ง่ายดายทีเดียว แต่แน่นอนว่านางต้องหาสมุนไพรที่ต้องใช้ให้ได้เสียก่อน ถึงแม้นางจะเป็นเทพโอสถ นางก็ไม่สามารถล้างพิษได้ด้วยมือเปล่า
อาจเพราะนางยังอยู่ที่ชายป่ารอบนอก แม้จะพยายามหาสักเท่าไรก็พบเพียงพืชธรรมดาเท่านั้น สำหรับอาหารป่าที่นางโหยหาก็แทบไร้ความหวัง หลังเดินมาเป็นชั่วโมงนางยังไม่เจอร่องรอยของอะไรที่น่ากินแม้แต่น้อย พบเพียงแค่กิ้งก่าจำนวนหนึ่งที่อาศัยอยู่บนกิ่งไม้
นางหิวมากเสียจนทำให้รู้สึกอ่อนแรง ทันใดนั้นนางก็พลันเห็นหญ้าตานทรายที่สามารถกินได้งอกอยู่ในดงวัชพืช นางเด็ดมันออกมาช่อใหญ่และเดินไปกินไป ก้านของมันมีรสเปรี้ยวแต่ดอกของมันมีรสหวานและหอมอ่อนๆ แม้ว่าจะไม่มากนักแต่ก็ย่อมดีกว่ากระเพาะว่างๆ
“เฮ้? นั่นมันต้นพิลังกาสารึนั่น?” นางวิ่งข้ามไปหามันอย่างตื่นเต้นดีใจ เมื่อพบสมุนไพรที่งอกอยู่บนโคนต้นไม้ใหญ่ มันเป็นหนึ่งในสมุนไพรที่นางตามหามาใช้เป็นยาแก้พิษ