ตอนที่ 187 ทวีปตอนเหนือที่ถูกกระตุ้น 4
ตึก
เขาอาจจะเข้าใจผิด แต่ในขณะนั้น ธีโอดอร์ก็ได้ยินเสียงหัวใจของตัวเองที่เต้นกระหน่ำ ดวงตาของเอลโลน่ากระพริบไปด้วยความเสน่หาเมื่อเธอสารภาพกับเขา ไม่ว่าเขาจะตายด้านแค่ไหน เขาก็ไม่สามารถทำเป็นไม่เข้าใจสถานการณ์นี้ได้
หัวใจของเขาเต้นกระหน่ำราวกับมันจะพุ่งโผล่ออกมาจากอกเขา
ธีโอดอร์ลืมที่จะหายใจขณะที่เขาจ้องมองเธอ
‘เอลโลน่า ฉัน?’
มันคงเป็นเรื่องโกหกถ้าเขาบอกว่าเขาไม่ได้คาดหวังในเรื่องนี้ มองย้อนกลับไป มีเหตุผลมากมายที่ทำให้เอลโลน่าชอบเขา
เขาไม่ได้ก้าวถอยหนีขณะที่เผชิญหน้ากับ1ใน7บาป ‘อัตตา’ เธอสามารถบอกได้ว่ามันน่ากลัวแค่ไหน แม้ว่าเธอจะไม่มีประสบการณ์ในการต่อสู้ก็ตาม เอลโลน่าคงจะไม่มีชีวิตรอดหากเขาทิ้งเธอไว้ในที่นั้น
อย่างไรก็ตาม ธีโอดอร์ได้ต่อสู้กับสัตว์ประหลาดที่ราวกับฝันร้ายนั่น
เอลโลน่าไม่ได้เห็นมันทั้งหมด ทันทีที่การต่อสู้เริ่มขึ้นเธอก็ได้ถูกพัดพาไปยังสถานที่ปลอดภัยโดยเวทย์ของธีโอดอร์เข้ามาเข้าร่วมเหตุการณ์นี้ในภายหลังพร้อมกับเวโรนิก้า เมื่อเอลโลน่าได้เห็นสภาพของเขา เธอกลับรู้สึกหดหู่มากกว่าก่อนหน้า
รอยแผลเป็นของธีโอดอร์เผยให้เห็นระหว่างเสื้อผ้าที่ฉีกขาด เขาก้มหน้ากัดฟันแน่นและทนทุกข์ทรมานจากบาดแผล คนที่เปียกชุ่มไปด้วยเลือดของเขา วีรบุรุษของเธอ.....
ธีโอดอร์ห่างไกลกับการเป็นผู้ชนะและเขาได้ขมวดคิ้วแน่นด้วยท่าทางตึงเครียด
เด็กชายผู้ที่ได้รับบาดเจ็บและปกคลุมไปด้วยเลือด....
ทำไมกัน?ขณะที่เธอกอดร่างกายที่เต็มไปด้วยเลือดนั้น เอลโลน่ากลับคิดว่าเขาดูน่ารัก เขากระโดดเข้าไปในสนามรบที่ไม่อาจจะชนะได้เพื่อปกป้องเธอ
[ตั้งแต่วันนั้นเป็นต้นมา...]
มันได้ดำเนินมาเรื่อยๆนับจากนั้น
[ฉันก็อยากอยู่เคียงข้างเธอ]
ธีโอดอร์ได้ยินเสียงที่จริงใจของเอลโลน่า แต่ทว่า มันไม่ได้เป็นการพูดออกเสียง เธอได้พูดผ่านกับเขาผ่านทางมิตรา นี่มันอยู่ในประเภทของกระแสจิต มันแสดงให้เห็นว่าหัวใจและวิญญาณของเอลโลน่านั้นแข็งแกร่ง
‘….พูดตรงๆ ฉันเองก็ดีใจ’ธีโอดอร์ยอมรับมันอย่างตรๆ เขาดีใจกับคำสารภาพของเธอ
ความจริงที่ว่าคนเช่นเอลโลน่านั้นชอบเขา โดยไม่คำนึงถึงฐานะของเธอ เธอน่ารักมากจนเขาอยากจะดึงเธอเข้ามาในอ้อมแขน มันคงจะไม่เป็นไรหากเป็นเธอ?นอกเหนือไปจากการเมือง มันจะเป็นเช่นไรหากเขาอาศัยอยู่ร่วมกับเอลโลน่า?
“ฉัน....”ขณะที่ธีโอดอร์กำลังจะตอบกลับอย่างหุนหันพลันแล่น
ชู่ เอลโลน่าได้ส่ายหัวเล็กน้อยพร้อมๆกับที่วางนิ้วลงบนริมฝีปาก
[ไม่ต้องรีบร้อนหรอกนะ]
ดวงตาใสของเธอได้สังเกตเห็นถึงความกังวลที่อยู่ภายในใจของเขา เธอเห็นถึงความรับผิดชอบและภาระอันหนักอึ้งที่เขาแบกรับ และแม้กระทั่งความเสน่หาของเขาที่มีต่อเธอ
ขณะที่เธอตระหนักถึงความเป็นจริงนี้ เอลโลน่าก็พูดด้วยน้ำเสียงสงบ [มันเป็นการเลือกของฉันเองสำหรับการกลายเป็นผู้หญิง ฉันไม่ต้องการให้ธีโอดอร์รู้สึกลำบากใจและคิดถึงความรับผิดชอบ หากเธอต้องการอยู่กับฉันเพียงเพราะความรู้สึกเหล่านั้น ฉันจะเป็นคนปฏิเสธมันเอง]
“นั่น...”
เป็นคำพูดที่เขาไม่สามารถปฏิเสธได้ ธีโอดอร์ปิดปากแน่นขณะที่เอลโลน่ายิ้มเบาๆ
[วันหนึ่ง หากเธอตัดสินใจที่จะยอมรับฉัน โปรดบอกฉันในที่ที่มีแค่พวกเรา ฉันไม่ต้องการที่จะตัดสินการแต่งงานของฉันในสถานที่เช่นนี้]
“อา”ธีโอดอร์กลืนน้ำลายอึกใหญ่ขณะที่เขานึกขึ้นได้ว่ามีผู้คนมากมาย
พวกเขาได้หมกมุ่นอยู่กับการปรากฏตัวของเอลโลน่า มันคงจะไม่ใช่เรื่องแปลกหากพวกเขาเหล่านั้นทักท้วงถึงการยืนนิ่งค้างของธีโอดอร์และเอลโลน่า ธีโอไม่รู้ว่าทำไม แต่เคิร์ทกำลังเฝ้ามองพวกเขาด้วยสายตาแปลกๆและไม่ได้แสดงท่าทางที่จะกระตุ้นพวกเขาเลย ดังนั้นธีโอดอร์จึงเดินออกไปช้ากว่าเอลโลน่า นี่ไม่ใช่เวลาที่จะพูดคุยเรื่องส่วนตัว
ดังนั้น ธีโอดอร์จึงสงบหัวใจของเขาลงขณะที่จ้องมองไปที่เอลโลน่าที่ส่องประกายท่ามกลางแสงไฟ แม้คำพูดของเธอจะเกี่ยวกับความรับผิดชอบหรือภาระ โดยไม่รู้ตัว เขาอดที่จะวางแผนชีวิตในหัวเขาไม่ได้
***
ในทางตรงกันข้าม สาวงามได้นั่งพิงกับโต๊ะและพึมพำออกมาขณะที่ถือถ้วยของเธอ “อ่า นี่มันเป็นเรื่องที่ยากแล้ว มันใหญ่กว่าที่ฉันคิด-”
เธอก็คือผู้นำRed Tower เวโรนิก้า เนื่องจากความอื้อฉาวของเธอในภาคเหนือและภาคกลางของทวีป จึงไม่มีใครสักคนเดียวที่กล้านั่งร่วมโต๊ะกับเธอ
แต่ทว่า วันนี้กลับมีอยู่หนึ่งคนที่นั่งกับเธอ ด้วยผมสีเงินและเสื้อคลุมสีฟ้า เธอก็คือซิลเวียผู้ที่มีฉายาว่าเจ้าหญิงแห่งBlue Tower ซิลเวียไม่เข้าใจคำพูดของเวโรนิก้าและถามว่า “คุณหมายถึงอะไร?”
“เธอไม่เข้าใจ?มันหมายความว่าพวกเราทั้งคู่กำลังถูกทิ้งห่าง” เวโรนิก้าตอบลวกๆขณะที่เติมถ้วยของเธออีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม คำถามในดวงตาของซิลเวียยังไม่ได้หายไป ดังนั้นเวโณนิก้าจึงอธิบายออกมา “เธอรู้เกี่ยวกับเพศของเอล์ฟชั้นสูงหรือไม่?”
“ใช่ มันขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของพวกเขา”
“ไม่ มันไม่ได้ง่ายอย่างนั้น เผ่าพันธ์ศักดิ์สิทธิ์สายเลือดบริสุทธิ์นั้นสามารถที่จะเปลี่ยนเพศพวกเขาได้ตามต้องการ แต่เอลฟ์ชั้นสูงนั้นต่างกัน การตัดสินใจเกี่ยวกับเพศของพวกเขาคือคำปฏิญาณทั่วทั้งชีวิต มันเป็นเรื่องที่แย่กว่าเดิมเพราะเธอได้เปลี่ยนเพศก่อนที่จะได้ยินคำตอบจากคนอื่น”อารมณ์ที่หงุดหงิด เวโรนิก้าหยุดพูดก่อนที่จะดื่มเครื่องดื่ม
เอล์ฟชั้นสูงมีเลือดของเผ่าพันธ์ศักดิ์สิทธิ์เพียงเสี้ยวเดียว
ด้วยเหตุผลดังกล่าว เอลฟ์ชั้นสูงจึงแตกต่างไปจากเผ่าพันธ์ศักดิ์สิทธิ์ที่สามารถเปลี่ยนเพศได้ตามที่ต้องการ พวกเขาไม่สามารถที่จะเปลี่ยนแปลงเพศได้อีกเมื่อตัดสินใจไปแล้ว กล่าวอีกนัยนึง หากพวกเขาตัดสินที่จะเป็นหญิงพวกเขาก็ไม่สามารถกลับไปเป็นกลางหรือเลือกเพศชายได้อีกแม้ว่าคนที่พวกเขาเลือกจะปฏิเสธก็ตาม
คนส่วนใหญ่นั้นเห็นด้วย แต่ไม่ใช่กับเวโรนิก้า
“เธอฉลาด”เวโรนิก้าวางถ้วยเปล่าของเธอลง“อย่างที่เธอรู้ เด็กน้อยเป็นคนที่มีความรับผิดชอบอันยิ่งใหญ่ เขาจะไม่ถอยกลับหรือยอมแพ้แม้ว่ามันจะยากลำบากแค่ไหนก็ตาม คนที่ต้องทุกข์ทรมานเพราะเขา เขาจะไม่มีวันถอดทิ้ง ใช่มั้ยละ?”
“...ใช่ เป็นอย่างนั้น”
“อืม นั่นละคือเสน่ห์ของเขา แต่....เด็กน้อยจะปฏิเสธการรุกของเอลฟ์ชั้นสูงได้ง่ายๆงั้นหรือ?”
‘ไม่’อากาศที่หนาวเย็นไหลออกจากร่างกายของซิลเวียเมื่อเธอคิดถึงคำตอบนี้ มันเป็นเพียงชั่วขณะ แต่มันก็ดันความร้อนของเวโรนิก้ารอบๆโต๊ะไป
ซิลเวียเป็นคนที่มีพรสวรรค์ที่ดีที่สุดโลกคนหนึ่ง รวมถึงเป็นอัจฉริยะที่ถูกกำหนดให้เป็นผู้นำหอคอยคนต่อไป หากเวโรนิก้าไม่ได้อยู่ที่นี่ ขวดรอบๆโต๊ะคงจะถูกแช่แข็งไปแล้ว ทั้งสองยังคงนิ่งเงียบขณะที่พวกเขาเฝ้าดูธีโอดอร์และเอลโลน่า
จากนั้น ซิลเวียก็ได้ทำลายความเงียบนี้เป็นคนแรก “แล้วผู้นำหอคอย จะยอมถอยออกมา?”
“ไม่มีทาง”ดวงตาของเวโรนิก้าปล่อยแสงออกมากับคำพูดที่ยั่วยุ “ฉันไม่สามารถทำอะไรได้ในวันนี้ แต่ฉันจะเคลื่อนไหวอย่างมีชั้นเชิง นี่เป็นคำพูด หากเธอต้องการที่จะยึดอะไรบางอย่างไว้เป็นเวลานาน เธอควรจะได้รับการสนับสนุน?”
“คุณหมายถึง...”
“ดูเหมือนพวกเราจะมีความคิดเช่นเดียวกัน”
สายตาของสองสาวงามได้เบี่ยงเบนไปจากแท่น พวกเธอได้มองไปยังเดนนิส มิลเลอร์ ผู้ที่กำลังชื่นชมกับการปรากฏตัวที่สง่างามของลูกชายเขา เนื่องจากเคิร์ทที่3ได้มอบหมายให้ธีโอดอร์เป็นคู่ของเอลโลน่า ดังนั้นจึงไม่มีอะไรที่สองสาวงามจะกระทำได้ พวกเธอได้คิดอย่างหนักและลุกขึ้นจากที่นั่ง
ขณะที่พวกเธอเดินไปในทิศทางเดียวกัน ซิลเวียก็กระซิบ “นี่จะช่วยได้จริงๆหรอ?มันดูเหมือนจะยากลำบากนะ”
“หึ?”เวโรนิก้าได้หันหัวเธอและมองไปยังฝูงชนตรงกลาง ฝูงชนที่กำลังลุมตอมเอลโลน่าและธีโอดอร์ คิ้วของเวโรนิก้าขมวดแน่นขณะที่เธอเห็น แต่เธอก็ได้ยักไหล่ “มันไม่ถึงขนาดทำให้พวกเราเดือดร้อนหรอก ใช่มั้ย?”
“...ฉันไม่เห็นด้วย เรื่องนี้เพียงอย่างเดียวไม่อาจจะช่วยได้”
“กึก เอาละ ให้ฉันได้ถามเธอบางอย่าง?จะเอาไงต่อ?”
ไฟและน้ำแข็ง บรรยากาศสองสีที่ตัดกันได้เดินเคียงคู่กันขณะที่ฝูงชนแหวกหนีให้กับสองสาวงามที่มุ่งหน้าไปยังโต๊ะที่ครอบครัวมิลเลอร์นั่งอยู่
งานเลี้ยงของเมลเทอร์มันพึ่งจะเริ่มต้นขึ้นเท่านั้น
***
ในเวลานั้น ณ ด่านตรวจคนเข้าเมืองของมาน่า-วิล ต่างเต็มไปด้วยฝูงชนจำนวนมาก แม้จะมีการลดการตรวจลง พวกเขาก็ยังคงเหนื่อยล้าอยู่ดี อย่างไรก็ตาม ดวงตาของเหล่าทหารยามกับเต็มไปด้วยพลัง
ทหารยามคนหนึ่งได้ถามผู้มาเยือนว่า “เจ้ามาจากออสเต็นงั้นหรือ?”
“ใช่”
“เจ้ามาที่มาน่า-วิลเพื่ออะไร?”
“ความแห้งแล้งกำลังเลวร้ายขึ้นเรื่อยๆในปัจจุบัน....ข้ามาหาสิ่งประดิษฐ์น้ำ”
“อ่า เป็นเช่นนั้นสินะ”
ภัยแล้งอันยิ่งใหญ่ของออสเต็นถือเป็นภัยพิบัติที่รู้จักกันดีในตอนเหนือ ฝันร้ายของอาณาจักรทั้งปวง ภัยแล้งที่ถูกเรียกว่าความโกรธเกรี้ยวของเทพเจ้าทะเลทราย ในความเป็นจริง เมื่อทหารยามได้เห็นผิวหนังที่แห้งกรังของผู้มาเยือน เขาก็อดที่จะรู้สึกสงสารไม่ได้
“หากเจ้าไปที่ร้านค้าทางทิศตะวันออก เจ้าอาจจะพบสิ่งที่เจ้ากำลังตามหา ร้านขายสิ่งประดิษฐ์เวทย์ในเขตกลางนั้นมีราคาแพงมาก และพวกเขาจะไม่ขายสิ่งของที่ใช้ในชีวิตประจำวัน”
“โอ้....!ข้าขอบคุณท่านมา”
“ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เจ้าผ่านไปได้แล้ว”
ผู้มาเยือนจากออสเต็นได้ขอบคุณทหารยามและเดินเข้าไปในเมืองหลวงด้วยการเดินโซเซ ทหารยามเฝ้ามองเข้าจากด้านหลัง แต่โชคดี ผู้มาเยือนไม่ได้ล้มลง ทหารยามนั้นรู้สึกสงสารผู้คนจากออสเต็นมาก ที่ต้องทนทุกข์ทรมานจากภัยแล้ง ไม่นานนักเขาก็ได้ลืมผู้มาเยือนจากออสเต็นไป
ผู้คนนั้นมีมากเกินไปสำหรับคนๆหนึ่งที่จะจำได้ทั้งหมด อย่างไรก็ตาม ผู้มาเยือนนั้นส่วนมากมีความผิดปกติเล็กน้อย เขาเดินผ่านทางเข้ามาน่า-วิล มุ่งหน้าเข้าไปในตรอกซอย และถอดเสื้อคลุมของเขาออก
“….ที่นี่คงจะไม่เป็นอะไร ที่ข้าจะปิดความสามารถ”เสียงได้ดังขึ้น
จากนั้นก็มีคน3คนปรากฏตัวรอบๆผู้มาเยือน ไม่สิ พวกเขาอยู่ที่นี่แต่แรก ผู้มาเยือนได้ใช้ความสามารถของเขาในการปกปิดตัวตนของพวกเขาเอาไว้ มันเป็นความสามารถออร่า ซึ่งเป็นความอัศจรรย์ที่อยู่เหนือกว่าเวทมนต์ ในเมื่อมีคนที่ใช้งานมันได้แสดงว่าหนึ่งในผู้มาเยือนเป็นปรมาจารย์ดาบ
“โชคดีที่พวกเราสามารถผ่านเข้ามาได้ ด่านตรวจคนเข้าเมืองที่เลืองชื่อของมาน่า-วิล ไม่มีค่าอะไรต่อหน้าความสามารถของหัวหน้า”
“ไม่ ไม่ใช่หรอก”ปรมาจารย์ดาบผู้เป็นหัวหน้าส่ายหัว
ปรมาจารย์ดาบเขาเชี่ยวชาญด้านภาพลวงตา แต่เขาได้นึกถึงความรู้สึกขนลุกเมื่อเขาได้ผ่านเข้าสู่มาน่า-วิล มีเวทมนต์ที่น่ากลัวเต็มไปทั่วอากาศ เช่นเดียวกับวงเวทย์ที่วาดทั่วกำแพงและประตูเมือง
วิธีการหลอกลวงโดยไม่ใช้กลอุบายใดถือว่ามีประสิทธิภาพ หากเขาพยายามที่จะข้ามกำแพงมา เขาจะกลายเป็นก้อนเนื้อแน่นอน ในขณะที่บรรยากาศเริ่มตึงเครียด บางคนก็ได้เปิดปากของเขาขึ้น “ละ-แล้วพวกเราจะไปทางไหนต่อ?หากพวกเราเคลื่อนไหวไปรอบๆเมือง เราอาจจะถูกค้นพบ”
“ค้นหาเอลฟ์ชั้นสูง”
นี่คือคำตอบของหัวหน้ากลุ่ม ลูกน้องของเขาพึมพำออกมาว่า “เอาจริง?”
“เราเคยแอบเข้ามาในมาน่า-วิลและทำบางสิ่งที่แย่มาก่อน แต่ในครั้งนี้พวกเรามาเพื่อขอความเมตตาก่อนที่จะเจรจากับเมลเทอร์”
“หัวหน้า การอ้อนวอน....”
“ไม่ พวกเราต้องอ้อนวอน”หัวหน้ามูจัก หนึ่งในความภูมิใจของออสเต็น ประกาศด้วยเสียงแข็ง ถูกต้อง ทั้งสี่คนได้มาเมืองหลวงของเมลเทอร์เพื่อขอความช่วยเหลือ แน่นอนว่าพวกเขาไม่ต้องการ แต่มันจำเป็น
“การเจรจาต่อรองกับเมลเทอร์เป็นเรื่องรอง ตราบเท่าที่เราสามารถได้รับความช่วยเหลือจากเอลฟ์ชั้นสูง ข้าก็เต็มใจที่จะยอมเสียทิฐิของข้าให้กับสุนัข”
“หะ-หัวหน้า..!”
“เราจะสารภาพบาปของเราและขอความเมตตาในเรื่องนี้โดยเร็ว หากเจ้ามีทิฐิใดๆ จงทิ้งมันไป!เจ้าคือทหารเอกผู้ที่อุทิศชีวิตของเจ้าให้กับอาณาจักรและสุลต่าน!”(จานิสซารี่)
สายตาของเหล่าทหารเอกสั่นไหวกับเสียงที่ดังของหัวหน้า พวกเขาสับสนเล็กน้อย แต่ความรักชาติและความภักดีที่สลักลึกเข้าไปในใจของพวกเขาได้เอาชนะความสับสนนี้ ทหารเอกทั้งสามพยักหน้าและตอบกลับ “เพื่อดวงอาทิตย์แห่งทะเลทราย!”
“ดี!เพื่ออาณาจักรของพวกเรา ไปกันเถอะ!”
ไม่นานหลังจากนั้น แขกไม่ได้รับเชิญทั้งสี่คนก็ได้โผล่ออกมาจากตรอกซอยและแฝงตัวไปกับฝูงชนของมาน่า-วิล โดยไม่คำนึงว่าเป้าหมายของพวกเขาจะบรรลุหรือไม่ มันเป็นเรื่องที่มีเพียงเวลาเท่านั้นที่สามารถบอกได้