ตอนที่ 19 : สตรีที่ดื้อรั้น
เหลาอาหารที่ดีที่สุดในเมืองวายุโปรยแห่งนี้คือ เถาพฤกษา
มันตั้งอยู่ตรงสี่แยกระหว่างกลางตลาดของตระกูลเฉิน,ลี่และ ฟาง แต่ทั้งสามตระกูลนี้ไม่ใช่เจ้าของเหลาอาหารนี้แต่อย่างใด
เจ้าของเหลาอาหารแห่งนี้กลับเป็นกลุ่มพ่อค้าจากต่างเมือง เหลาอาหารแห่งนี้นับว่าเป็นสถานที่ที่มีอาณาบริเวณกว้างขวางมากที่สุดและขึ้นชื่อเรื่องรสชาติอาหารล้ำหน้าเหลาอื่นๆอย่างเทียบไม่ติด
ยามเช้าภายในเถาพฤกษาแห่งนี้ มักมีผู้คนจำนวนมากมายมายหวังที่จะฝากท้องเอาไว้
เหล่าผู้คนที่มาใช้บริการส่วนมากจะมาจากตระกูลที่มีฐานะพอสมควร นับว่าเป็นแหล่งรวมตัวของพวกขุนนางและเศรษฐีมีอันจะกินทั้งหลายในเมือง
เมื่อคู่หนุ่มสาวหน้าตาหล่อเหลาและสวยงามราวกับภาพวาดเดินเคียงคู่กันมา มันเปล่งประกายสะกดสายตาทุกคู่ของผู้ที่อยู่ภายในเหลาอาหารแห่งนี้ให้ต้องมนต์
สายตาของบุรุษทุกผู้ล้วนฉายแววอิจฉาชายหนุ่มที่เดินเคียงข้างหญิงงามราวกับภาพวาดนางนั้น
"พวกท่านสองคนมารับประทานอาหารใช่หรือไม่?" เสี่ยวเอ้อที่อยู่ด้านหน้าเพื่อต้อนรับแขก เอ่ยถามทั้งคู่ด้วยความสุภาพ
"ใช่แล้ว ชั้นที่สอง โต๊ะที่อยู่ริมหน้าต่าง ยังว่างอยู่บ้างหรือไม่?
นายน้อยผู้นี้นับว่ากล่าววาจา ได้รื่นหูกว่าพวกนายน้อยตระกูลอื่นมากนัก
"มีขอรับ ข้าจะนำท่านทั้งสองไป โปรดตามข้ามา "
เสี่ยวเอ้อที่ต้อนรับ รู้ได้ทันทีว่านายน้อยที่หล่อเหล่าผู้นี้ไม่ได้มาใช้บริการครั้งแรกอย่างแน่นอน มันเดินนำทั้งสองไปยังชั้นสองที่มีความเงียบสงบ และบรรยากาศที่ดีกว่าชั้นแรกมากนัก
และแน่นอน ราคาอาหารในชั้นนี้ก็แพงกว่าชั้นล่างเป็นเท่าตัวด้วยเช่นกัน
"วันนี้นับว่าเรายังมีโชคไม่เลว"
เมื่อมองไปสุดทางเห็นโต๊ะริมหน้าต่างที่ยังว่างอยู่ ต้วนหลิงเทียนก็เดินไปทันที
ในขณะที่ หลิงเทียนกำลังเดินไป สายตาทุกคู่ ก็จับจ้องมาที่ เค่อเอ๋อ ไม่ต่างอะไรกับชั้นแรก
ชายหนุ่มสามคนที่นั่งอยู่ริมหน้าต่างโต๊ะห่างจากหลิงเทียนเผยแววตาชั่วร้ายออกมาเมื่อจับจ้องไปที่ด้านหลังของเค่อเอ๋อ เสียดายที่พวกมันไม่ทันได้เห็นหน้านาง แต่แค่เห็นรูปร่างก็ช่างเย้ายวนยิ่งนัก
"นั่งก่อนสิ เค่อเอ๋อ"
ต้วนหลิงเทียนแสดงความเป็นสุภาพบุรุษโดยการหยิบดาบสั้นสีม่วงมาวางไว้บนโต๊ะ ก่อนที่จะดึงเก้าอี้ออกเพื่อให้เค่อเอ๋อได้นั่งลง
" ขอบคุณค่ะ...นายน้อย..."
ใบหน้าของเด็กสาวแดงขึ้นมาจากความเขินอาย ก่อนที่จะนั่งลงอย่างสุภาพ
ในขณะที่หลิงเทียนกำลังจะนั่งลงด้านฝั่งตรงข้ามของเค่อเอ๋อ ก็มีคนผู้หนึ่งพุ่งมาแย่งที่นั่งของเขาด้วยความรวดเร็ว
ต้วนหลิงเทียนหงุดหงิดเล็กน้อยเมื่อมองไปยังสตรีตรงหน้าที่แย่งที่นั่งของตน
สตรีตรงหน้ามีใบหน้างดงามน่ารักผิวขาวแลไปดูไร้เดียงสา นับว่ามีเสน่ห์ไม่น้อย เมื่อมองสตรีบนโต๊ะที่น่ารักทั้งสอง ตัวเขากลายเป็นดูแปลกแยก ราวกับว่าที่นั่งนี้ไม่เหมาะ กับบุรุษเช่นเขา
ในขณะนั้นเองสาวใช้คนหนึ่งก็เดินมาอยู่ด้านข้างของหลิงเทียน
"แม่นางเฉิน ต้องขออภัยด้วยแต่ว่าคุณชายท่านนี้ได้เลือกโต๊ะนี้แล้ว รบกวนแม่นางเปลี่ยนเป็นโต๊ะอื่นจะได้หรือไม่"
เสี่ยวเอ้อที่นำหลิงเทียนและเค่อเอ๋อขึ้นมา แสดงหน้าตาบิดเบี้ยวออกมาเมื่อเห็นสตรีที่มาแย่งโต๊ะอย่างไร้ยางอายเช่นนี้ แต่มันก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากจ้องไปยังสตรีชุดเขียวด้วยสายตาที่ลำบากใจ ก่อนที่จะกล่าวออกมาอย่างสุภาพ
"มองอะไรกัน ข้ามาทานอาหารเช้าที่นี่ประจำ และทุกวันข้ามักจะนั่งโต๊ะตัวนี้ เหตุใดวันนี้ข้าจะนั่งตรงนี้ไม่ได้ ทำไมพวกเจ้าไม่ไปหาโต๊ะตัวอื่นเองล่ะ? "
สาวน้อยชุดเขียวเอ่ยวาจาก้าวร้าวออกมา โดยไม่เกรงกลัวผู้ใด
"นายหญิงผู้นี้ไม่ชมชอบนั่งกับคนแปลกหน้า เจ้าก็ลุกออกไปด้วย"
เธอพูดกับเค่อเอ๋อที่นั่งตรงข้ามออกมาด้วยน้ำเสียเย็นชา สายตาเธอแสดงความอิจฉาในความงามอย่างเห็นได้ชัด
"นายน้อยข้าว่าเรา ... "
สาวใช้ของสตรีชุดเขียวเดินเข้ามายืนประกบอยู่ด้านหลังของนางพร้อมกับจ้องไปที่หลิงเทียนด้วยแววตาโอหัง ราวกับมันจะบอกหลิงเทียนว่า ให้รีบไสหัวไป
แต่เมื่อหลิงเทียนเห็นสายตาของนางเขาก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา
"นายน้อยพวกเราย้ายโต๊ะกันดีไหม?"
เค่อเอ๋อมองไปยังหลิงเทียนด้วยสายตากังวล
เธอสังเกตได้ว่าสตรีชุดเขียวตรงหน้า น่าจะมีฐานะไม่ธรรมดา
แม้ว่ารูปโฉมของสตรีชุดเขียวจะเทียบกับเค่อเอ๋อไม่ได้ แต่ว่าเธอกลับมีบรรยากาศสูงศักดิ์กว่า และกลิ่นอายนั้นมันกดดันจนเค่อเอ๋อต้องรู้สึกอึดอัด
แม้ว่าเธอจะติดตามหลิงเทียนมาเป็นเวลานานแล้ว แต่ว่าชาติกำเนิดที่ต่ำต้อยของเธอก็มักจะทำให้เธอรู้สึกด้อยค่าและไม่คู่ควรอยู่เสมอ
เมื่อต้วนหลิงเทียนเห็นถึงแววตาที่เค่อเอ๋อจ้องมองมา เขาก็รู้ได้ทันทีว่านางกำลังคิดอะไรอยู่
เขาเข้าใจและไม่อยากให้เค่อเอ๋อรู้สึกว่าตัวเองต่ำต้อย คนเราเลือกเกิดไม่ได้แต่เลือกที่จะเป็นได้
เขาอยากให้เค่อเอ๋อรู้ว่า เกียรติยศและศักดิ์ศรีของผู้คนนั้น สามารถสร้างกันได้หากมีความสามารถเพียงพอ ไม่ใช่ว่าเกิดมาต่ำต้อยแล้วจะต้อยต่ำตลอดไป
"เค่อเอ๋อเจ้าลองบอกเหตุผลที่พวกเราต้องย้ายโต๊ะให้ข้าฟังได้หรือไม่?"
หลิงเทียนเอ่ยถามเค่อเอ๋อด้วยน้ำเสียงอบอุ่นพร้อมกับจ้องมองนางด้วยแววตาอ่อนโยน
"นายน้อย..ข้า ... "
เค่อเอ๋อไม่รู้ว่าควรพูดอะไรดี
"เค่อเอ๋อ ข้าอยากให้เจ้ารู้เอาไว้ นับตั้งแต่เจ้าติดตามข้าเจ้าก็นับได้ว่าเป็นครอบครัวของข้า เจ้าไม่ใช่เค่อเอ๋อคนเก่าอีกแล้ว ข้าอยากให้เจ้ามั่นใจในตัวเองมากกว่านี้ และไม่ต้องกังวลเรื่องไร้สาระอื่นใด อย่าได้ดูถูกตัวเองอีก เจ้าทำได้หรือไม่?"
หลิงเทียนค่อยๆกล่าวกับเค่อเอ๋ออย่างช้าๆ
"นายน้อยข้าผิดไปแล้ว"
ตาของเค่อเอ๋อเริ่มแดงขึ้นก่อนที่จะคลอไปด้วยน้ำตา แล้วเธอก็ค่อยๆก้มหน้าลง
“นี่! พวกเจ้าได้ยินที่ข้าพูดบ้างรึเปล่าเนี่ย? นายหญิงผู้นี้ไม่ต้องการร่วมโต๊ะกับคนแปลกหน้า รีบไสหัวออกไปให้พ้นหน้าข้าได้แล้ว!” สตรีชุดเขียวที่ยืนฟังบทสนทนาของต้วนหลิงเทียนและเค่อเอ๋ออยู่สักระยะ ทนไม่ได้ก่อนที่จะตะโกนออกมา
"แม่นางเฉินใช่มั้ย?"
ต้วนหลิงเทียนหันไปมองสตรีชุดเขียว
"ข้าจะให้เวลาท่านสามลมหายใจ รีบไสหัวไปให้พ้นหน้าข้า ... ก่อนที่ท่านจะเสียใจ! "
แววตาของหลิงเทียนฉายแววอำมหิตออกมา น้ำเสียงของเขาที่กล่าวออกมาก็เย็นชาเป็นอย่างมาก
ใบหน้าของสตรีชุดเขียวเริ่มเปลี่ยนไปเมื่อได้ฟังคำขู่ของหลิงเทียน
แต่ในขณะที่เธอกำลังจะลุกขึ้นมาต่อว้า
เธอก็รู้สึกถึงแรงกดดันและกลิ่นอายอำมหิตกดทับลงไปที่ร่างกายของเธอ จนแทบจะหายใจไม่ออก ตอนนี้เธอไร้เรี่ยวแรงต่อต้านใดๆ
"เหลืออีกสองลมหายใจ!"
น้ำเสียงเย็นชาและไม่แยแสดังขึ้นอีกครั้ง
ตอนนี้กลิ่นอายเย็นยะเยือกสะกดเธออย่างหนักหน่วงอีกครั้ง!
ตอนนี้สตรีชุดเขียวแทบจะไม่สามารถประคองสติตัวเองเอาไว้ได้ แต่เธอเป็นถึงลูกสาวของประมุขตระกูลเฉินที่ยิ่งใหญ่ เธอไม่สามารถยินยอมและเสียหน้าลุกไปแบบนี้ได้
"ลมหายใจสุดท้าย!"
น้ำเสียงเย็นชาดังขึ้นอีกครั้ง ครานี้มันดังและสะท้านใจผู้ฟังยิ่งกว่าครั้งใด
อีกทั้งครานี้แรงกดดันและกลิ่นอายไม่ได้มีแต่ความเย็นชาเท่านั้น มันแฝงไว้ด้วยความกระหายเลือดและอำมหิตอย่างมาก
ตอนนี้ใบหน้าของสตรีชุดเขียวซีดเซียวบ่งบอกว่าไม่สามารถอดทนได้อีกต่อไป เมื่อเธอไม่สามารถทนรับแรงกดดันและความอำมหิตขนาดนี้ได้ เธอจึงรีบลุกขึ้นยืนด้วยความหวาดกลัว
ในขณะที่ลุกเธอก็ได้แต่มองหลิงเทียนที่ค่อยๆคลายความกดดันลงช้าๆ ทำให้เธอเริ่มฟื้นคืนสติขึ้นมาบ้าง
"เจ้าเป็นใคร?"
สตรีชุดเขียวค่อยๆสูดลมหายใจช้าๆ ก่อนจะกล่าวถามออกมา
เธอไม่เข้าใจจริงๆทำไมบุรุษหนุ่มที่ดูอายุน้อยกว่าเธอตรงหน้า ถึงมีแรงกดดันน่ากลัวขนาดนี้
เมื่อครู่เธอรู้สึกราวกับว่าเขาเป็นเทพแห่งความตาย กลิ่นอายจากร่างกายของเขาเต็มไปด้วยความเย็นชาและกระหายเลือด
เธอไม่อยากจะคิดเลยว่าผลลัพธ์ที่เลวร้ายขนาดไหนจะเกิดขึ้น ถ้าเธอยังฝืนนั่งอยู่ต่อไป
"เอาติ่มซำสูตรพิเศษของร้านมาให้ข้าสองที่ อ่อ..แล้วก็นมถั่วเหลืองสองแก้วด้วย"
ต้วนหลิงเทียนกล่าวสั่งอาหารกับเสี่ยวเอ้ออย่างช้าๆ เขาไม่คิดจะสนใจสตรีชุดเขียวตรงหน้าสักกะนิด เขาทำแค่มองเธอด้วยสายตาดูถูกก่อนที่จะหันไปสั่งอาหารกับเสี่ยวเอ้อ
"ได้ขอรับนายท่าน"
เสี่ยวเอ้อรีบรับรายการอาหารก่อนที่จะเดินออกไปอย่างสุภาพ
ในความเห็นของเขาผู้ที่สามารถต่อกรกับ เฉินเม่ยเอ๋อ นายหญิงน้อยแห่งตระกูลเฉินย่อมไม่ใช่คนธรรมดาแน่นอน
“นี่! ข้ากำลังพูดกับเจ้าอยู่ ไม่ได้ยินเหรอไง?”
เฉินเม่ยเอ๋อ ตะโกนถามออกมาด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ
ตั้งแต่เกิดมาและจำความได้ นายหญิงน้อยแห่งตระกูลเฉินอย่างเธอไม่เคยได้รับการเมินเฉยจากผู้ใดเช่นนี้
"เค่อเอ๋อติ่มซำนี่อร่อยมาก เจ้าลองกินดูสิ ถ้าเจ้าถูกใจข้าจะพาเจ้ามากินอาหารที่นี่ทุกเช้า" เมื่อเสี่ยวเอ้อนำอาหารมาส่ง ต้วนหลิงเทียนก็มองไปที่สาวน้อยงดงามตรงหน้าของเขา ก่อนที่จะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน
"นายน้อยข้าว่าเรามาแค่ครั้งคราวก็พอ อาหารที่นี่ราคาสูงยิ่ง "
สาวน้อยตรงหน้าส่ายหัวไปมาด้วยท่าทางน่าเอ็นดู
"ฮ่าฮ่า ไม่เป็นไรหรอก แม้ข้าจะไม่ค่อยรวย แต่สำหรับเจ้า เค่อเอ๋อ ข้าเลี้ยงเจ้าได้สบายมาก "
คำพูดหยอกเย้าของหลิงเทียนทำให้เค่อเอ๋อถึงกับอายม้วน ใบหน้าของนางเป็นสีแดง ก่อนที่นางจะเริ่มเอาตะเกียบจิ้มติ่มซำอย่างเงอะๆงะๆ ท่าทางน่ารักน่าเอ็นดู
"คุณชาย นายหญิงของข้ากำลังพูดกับท่านอยู่"
สาวใช้ที่มากับเฉินเม่ยเอ๋อกล่าวกับหลิงเทียนในขณะที่เขามองไปที่เค่อเอ๋อด้วยความเอ็นดู
"เฮ่อ เจ้าคงเหนื่อยไม่น้อยนะที่มีนายหญิงเช่นนี้"
หลิงเทียนเหลือบมองสาวใช้ ก่อนที่จะกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
"ไม่ใช่ ... ไม่ ... นาย ... . นายหญิงดีกับข้ามาก"
ใบหน้าของสาวใช้เปลีย่นสีทันที เธอรีบแก้คำพูดของหลิงเทียนด้วยน้ำเสียงหวาดกลัว
"ข้าให้เจ้าพูดเมื่อไหร่กัน?"
เฉินเม่ยเอ๋อจ้องมองไปที่สาวใช้ด้วยสายตาโกรธแค้น
ตอนนี้ใจเธอเต็มไปด้วยความอิจฉา ไม่คิดเลยว่าจะมีวันที่เธอต้องอิจฉาสาวใช้ตัวเองแบบนี้
ไม่ใช่เพราะอะไร มันเป็นเพราะบุรุษตรงหน้านั้นส่งสายตารังเกียจและไม่อยากจะพูดกับเธอ แต่กลับหันไปคุยกับสาวใช้ของเธออย่างสนุกสนาน
"นั่นใช่แม่นางเม่ยเอ๋อหรือไม่!"
"โอ้ เป็นแม่นางเม่ยเอ๋อจริงๆด้วย!"
......
ชายหนุ่มสามคนที่นั่งอยู่โต๊ะด้านข้างรีบลุกออกมาทักทายกับเฉินเม่ยเอ๋อ
น้ำเสียงของพวกมันเต็มไปด้วยความเอาอกเอาใจ
ความรู้สึกของเฉินเม่ยเอ๋อค่อยๆดีขึ้น ก่อนที่จะหันไปมองหลิงเทียนด้วยความมั่นใจ
ราวกับเธอกำลังจะบอกหลิงเทียนว่า ข้านายหญิงเม่ยเอ๋อผู้นี้ยังมีบุรุษอีกหลายคนที่ยกย่องและพร้อมจะเอาอกเอาใจ
แต่เมื่อเธอสังเกตว่าหลิงเทียนไม่แม้แต่จะเงยหน้าขึ้นมามอง สีหน้าเธอก็พลันเปลี่ยนเป็นน่าเกลียดทันที
"แม่นางเม่ยเอ๋อมีอะไรผิดพลาดงั้นเหรอ?"
หนึ่งในบุรุษที่ดูมีอายุมากกว่าเม่ยเอ๋อ เอ่ยถามขึ้นมา
"ใช่ๆ แม่นางเม่ยเอ๋อมีอะไรให้พวกข้าช่วยเหลือ หรือไม่?"
บุรุษอีกสองคนก็รีบถามออกมาอย่างพร้อมเพรียง
"ที่นั่งนี้เป็นของข้า แต่ว่าเขากลับมาแย่งมันไปจากข้า"
เฉินเม่ยเอ๋อหันไปมองหลิงเทียนก่อนที่จะกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงเหมือนคนถูกรังแก ท่าทางเหมือนคนไม่ได้รับความยุติธรรมถูกเสแสร้งแสดงออกมา
"อะไร? ชายคนนี้กล้าแย่งที่นั่งของแม่นางเม่ยเอ๋อเช่นนั้นเหรอ? "
"เด็กน้อย ไม่คิดเลยว่าจะกล้าหาญขนาดนี้!"
......
เมื่อทั้งสามคนได้ยินคำกล่าวของเม่ยเอ๋อ พวกมันก็ส่งสายตาเอาเรื่องไปยังหลิงเทียนทันที
"แม่นางทำไมต้องใส่ร้ายผู้อื่นด้วยล่ะ?"
หลังจากได้ยินคำกล่าวของเฉินเม่ยเอ๋อ ใบหน้างดงามและบริสุทธิ์ของเค่อเอ๋อก็เริ่มเต็มไปด้วยสีแดงจากความโกรธ เธอได้แต่ถามออกมาด้วยความไม่ยินยอม
ดวงตาที่ฉายแววเอาเรื่อง พร้อมกับสีแดงอ่อนๆที่ระบายอยู่บนแก้มที่ขาวผ่องสวยงาม ริมฝีปากงดงามได้รูปตอบรับกับจมูกเล็กๆ ที่ไร้เดียงสา สะกดสายตาของชายหนุ่มที่กำลังเอาอกเอาใจเม่ยเอ๋อเข้าอย่างจัง พวกมันแทบลืมหายใจตอนที่หันมาเห็นใบหน้างดงามของสตรีที่เอ่ยเสียงหวานปานระฆังผู้นี้ออกมา
บนโลกหล้ามีสตรีที่งดงามถึงเพียงนี้ด้วยเหรอ?
ตอนนี้พวกเขาลืมเรื่องที่กำลังคิดจะทำทั้งหมด...
"นางงดงามมากขนาดนั้นเลยเหรอ ถึงได้จ้องกันขนาดนั้น?"
เฉินเม่ยเอ๋อกล่าวถามออกมาด้วยน้ำเสียงอิจฉาริษยา ใบหน้าเธอเต็มไปด้วยสีแดงจากความโกรธ
"ไม่ไม่ไม่ ไม่ได้เป็นเช่นนั้น!"
ทั้งสามคนสะดุ้งตกใจก่อนที่จะกล่าวแก้ตัวออกไปเมื่อพวกมันกลับมาคุมสติได้
พวกเขากลับลืมไปเสียสนิทว่าเฉินเม่ยเอ๋อผู้นี้ขึ้นชื่อเรื่องความอิจฉาริษยามากขนาดไหน
มีเรื่องเล่ากล่าวขานกันเนิ่นนานมาแล้ว ว่าสตรีใดหรือสาวใช้คนไหนที่ถูกกล่าวชมว่างดงามต่อหน้านาง มักจะหายตัวไปอย่างลึกลับ และไม่เคยมีผู้ใดเคยเห็นพวกนางอีกเลย
พวกเขาหันไปมองหลิงเทียนด้วยแววตาเอาเรื่อง ก่อนที่จะพูดข่มขู่ออกมาอีกครั้ง
"เด็กน้อยถ้าเจ้ายังรู้ว่าอะไรควรไม่ควร ก็รีบไสหัวไปให้พ้นได้แล้ว เจ้ากล้ากล่าวหาแม่นางเฉินว่าเป็นฝ่ายผิดงั้นเหรอ? "
"ถ้าเจ้าไม่รีบไสหัวไป อย่าหาว่าพวกข้าโหดเหี้ยมนะ!"