เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 22 ดาบแสงจันทร์โบยบิน (อ่านฟรี)
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 22 ดาบแสงจันทร์โบยบิน
แปลโดย iPAT
ท้องฟ้าไร้เมฆ ดวงอาทิตย์สว่างไสว
สิบวันมาแล้วที่ฟางหยวนได้รับอันดับหนึ่งในการแข่งขันปรับแต่งวิญญาณ
ตอนนี้ภูเขาชิงเหมาก้าวเข้าสู่ฤดูใบไม้ผลิที่เต็มไปด้วยดอกไม้ ขณะที่ฝูงผีเสื้อโบยบินอยู่กลางอากาศ
สายลมทำให้กำแพงไม้ไผ่รอบสนามฝึกซ้อมของสถานศึกษาสั่นไหว
สนามฝึกซ้อมแห่งนี้ถูกปูพื้นด้วยหินอ่อนที่ดูแข็งแรงแต่รายล้อมไปด้วยกำแพงไม้ไผ่สีเขียวมรกตที่มีวัชพืชและดอกไม้ป่าขึ้นอยู่ตามขอบมุมของมัน
ตอนนี้เด็กหนุ่มสาวจำนวนห้าสิบเจ็ดคนกำลังยืนเป็นครึ่งวงกลมอยู่ด้านหน้าอาจารย์อาวุโสของพวกเขา
นี่เป็นชั่วโมงเรียนที่อาจารย์อาวุโสจะสอนศิษย์ตัวน้อยของเขาใช้งานวิญญาณแสงจันทร์
“วิญญาณแสงจันทร์เป็นวิญญาณประจำตระกูลของพวกเรา เช่นเดียวกับวิญญาณความแข็งแกร่งของหมีของตระกูลซ่ง และวิญญาณวายุของตระกูลไป่ พวกเจ้าส่วนใหญ่เลือกวิญญาณแสงจันทร์เป็นวิญญาณหลัก แต่ไม่ว่าพวกเจ้าจะใช้วิญญาณชนิดใด พวกเจ้าก็ต้องเรียนรู้ทุกอย่างเกี่ยวกับมัน อย่างไรก็ตามหลังจากนี้ข้าจะสอนวิธีการใช้วิญญาณแสงจันทร์ในการโจมตี ผู้ใดที่ใช้วิญญาณแสงจันทร์ต้องตั้งใจฟังให้ดี สำหรับคนที่เลือกวิญญาณชนิดอื่น วิธีการโจมตีระยะไกลของวิญญาณแสงจันทร์ก็ยังสามารถนำไปปรับใช้กับวิญญาณเหล่านั้นเช่นกัน”
หลังจากกล่าวจบประโยค อาจารย์อาวุโสก็ยกฝ่ามือของเขาขึ้นมา
“แรกเริ่ม ด้วยหนึ่งความคิด ย้ายสัญลักษณ์จันทร์เสี้ยวมาไว้บนฝ่ามือ” เมื่อเสียงของอาจารย์อาวุโสเงียบลง สัญลักษณ์รูปจันทร์เสี้ยวก็ปรากฏขึ้นบนฝ่ามือของเขา
“จากนั้น ส่งพลังวิญญาณของพวกเจ้าให้กับสัญลักษณ์รูปจันทร์เสี้ยว” ธารแสงสีเงินเคลื่อนที่จากทะเลวิญญาณของอาจารย์อาวุโสมายังฝ่ามือ
อาจารย์อาวุโสผู้นี้เป็นผู้ใช้วิญญาณระดับสามและมีเพียงผู้ใช้วิญญาณระดับสามเท่านั้นที่มีพลังวิญญาณสีเงินอยู่ในทะเลวิญญาณ สำหรับผู้ใช้วิญญาณระดับหนึ่ง พวกเขามีทะเลวิญญาณสีครามประกายทองแดง ผู้ใช้วิญญาณระดับสองมีทะเลวิญญาณสีทองแดง
หลังจากวิญญาณแสงจันทร์ดูดกลืนพลังวิญญาณสีเงินของอาจารย์อาวุโสเข้าไป สัญลักษณ์จันทร์เสี้ยวบนฝ่ามือของเขาก็ส่องประกายขึ้น แม้มันจะเป็นเวลากลางวัน แต่แสงสีฟ้าอ่อนจากสัญลักษณ์จันทร์เสี้ยวยังสามารถมองเห็นได้อย่างชัดเจน
“โอ้ อัศจรรย์นัก”
“งดงามมาก”
เมื่อเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น เด็กหนุ่มสาวอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้นและประหลาดใจ
แสงสีฟ้าอ่อนบนฝ่ามือของอาจารย์อาวุโสให้ความรู้สึกว่าเขาสามารถคว้ากุมดวงจันทร์มาไว้ในมือ ชายชราเผยรอยยิ้มบางก่อนกล่าว “ตอนนี้จงตั้งใจดูว่าข้าจะใช้มันอย่างไร”
เขาค่อยๆผลักฝ่ามือออกไปหน้าข้างอย่างมั่นคง
ฟิ้ว!
ศิษย์หนุ่มสาวได้ยินเสียงอันแผ่วเบาผ่านหูของพวกเขาไปพร้อมกับลำแสงสีฟ้าอ่อนรูปจันทร์เสี้ยวที่พุ่งออกจากฝ่ามือของชายชราและบินตรงไปยังหุ่นฟางที่อยู่ห่างออกไปสิบเมตรราวกับแสงจันทร์ที่สาดส่องข้ามผ่านท้องฟ้าในยามราตรี
“ฉัวะ!”
ลำคอของหุ่นฟางถูกตัดออกจากบ่าก่อนจะตกลงพบพื้น
หากพิจารณาบาดแผลที่ถูกโจมตี มันดูราวกับถูกตัดออกด้วยอาวุธอันแหลมคม
เด็กหนุ่มสาวต่างเบิกตาหว้างและอ้าปากค้างด้วยความตกใจ บางคนกระทั่งยกมือขึ้นจับกุมลำคอของตนเองเอาไว้ราวกับกลัวว่ามันจะหลุดออกไปเช่นเดียวกับหุ่นฟางตัวนั้น
หลังจากช่วงเวลาแห่งความเงียบงันผ่านไป เสียงพูดคุยก็ปะทุขึ้นในกลุ่มเด็กหนุ่มสาว ดวงตาของพวกเขาส่องประกายด้วยความคาดหวัง บ้างก็มองไปยังอาจารย์อาวุโส บ้างก็หันหน้าซุบซิบกันด้วยความตื่นเต้น
มีเพียงฟางหยวนเท่านั้นที่ยืนซ่อนตัวอยู่ท่ามกลางฝูงชนด้วยการแสดงออกที่สงบนิ่งและเยือกเย็น
ในชีวิตก่อนหน้า ฟางหยวนเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับหก เขาเป็นผู้ก่อตั้งนิกายปีศาจกระหายเลือดในดินแดนแห่งศูนย์กลางของทวีปที่มีสาวกหลายหมื่นคน ทั้งยังเป็นกองกำลังปีศาจที่โด่งดังและยิ่งใหญ่ที่สุดอีกด้วย
ดังนั้นสำหรับชายชราที่เป็นเพียงผู้ใช้วิญญาณระดับสามกับเคล็ดลับเล็กๆน้อยๆชนิดนี้ มันก็เป็นเพียงการละเล่นของเด็กในสายตาเขาเท่านั้น แล้วมันจะสามารถสร้างระลอกคลื่นในหัวใจของเขาได้อย่างไร
“ทุกคนที่ปรับแต่งวิญญาณแสงจันทร์จงก้าวออกมา พวกเจ้าต้องฝึกโจมตีหุ่นฟางเช่นเดียวกับที่ข้าแสดงให้ดูก่อนหน้านี้”
หลังสิ้นเสียงของชายชรา เด็กหนุ่มสาวประมาณสามสิบคนก็ก้าวออกมา
ผู้เยาว์รุ่นนี้ของหมู่บ้านแสงจันทร์บรรพกาลมีมากกว่าร้อยคน แต่ผู้ที่ผ่านพิธีเผยลิขิตสวรรค์มาได้มีเพียงห้าสิบเจ็ดคน และผู้ที่เลือกวิญญาณแสงจันทร์เป็นวิญญาณหลักมีอยู่ทั้งสิ้นสามสิบห้าคน หลังจากผ่านมาหลายวัน ทุกคนก็ประสบความสำเร็จในการปรับแต่งวิญญาณดวงแรกของตนเอง สำหรับบางคนที่ไม่ได้ปรับแต่งวิญญาณแสงจันทร์ แท้จริงแล้วไม่ใช่ว่าพวกเขาไม่ต้องการ แต่เป็นเพราะพรสวรรค์ของพวกเขาอยู่ในนภาที่สี่ มันยากเกินไปสำหรับพวกเขาที่จะปรับแต่งวิญญาณแสงจันทร์ สุดท้ายแล้วพวกเขาจึงต้องหันไปปรับแต่งวิญญาณชนิดอื่น
อย่างไรก็ตามสำหรับผู้คนของตระกูลแสงจันทร์ แน่นอนว่าวิญญาณแสงจันทร์ไม่ใช่วิญญาณทั่วไปแต่มันเป็นวิญญาณที่แสดงถึงความรุ่งโรจน์ของตระกูล ดังนั้นมันจึงไม่มีเหตุผลที่พวกเขาจะไม่เลือกวิญญาณชนิดนี้เป็นวิญญาณดวงแรกของตน
เวลานี้ศิษย์สามสิบห้าคนกำลังยืนเรียงแถวและหันหน้าไปทางหุ่นฟางที่อยู่ฝั่งตรงข้าม
ฟางหยวนยืนอยู่กลางแถวแต่เขาไม่มีความสนใจในการฝึกซ้อมแม้แต่น้อย
เด็กหนุ่มสาวยกมือขึ้นและเคลื่อนสัญลักษณ์จันทร์เสี้ยวไปยังฝ่ามือก่อนจะส่งพลังวิญญาณสีครามประกายทองแดงให้กับสัญลักษณ์รูปจันทร์เสี้ยว
แต่เมื่อพวกเขาพยายามจะปลดปล่อยมันออกไป พลังงานสีฟ้าอ่อนกลับรั่วไหลออกมาและกระจัดกระจายออกไปจนสิ้น บางคนก็สามารถยิงลำแสงออกไปได้หนึ่งเมตรก่อนที่มันตกลงบนพื้นดินและแตกสลายไป บางคนก็ยิงออกไปได้สองเมตรหรือสามเมตรก่อนจะระเบิดหายไป
เด็กหนุ่มสาวขมวดคิ้วด้วยความงุนงงและสงสัย ก่อนหน้านี้พวกเขาเห็นอาจารย์อาวุโสเคลื่อนไหวราวกับมันเป็นเรื่องง่าย แต่เมื่อพวกเขาทดลองด้วยตนเอง มันกลับไม่ง่ายอย่างที่เห็น
ชายชราเผยรอยยิ้มบาง เขาไม่แปลกใจ เขาเห็นฉากเดียวกันนี้มานานหลายปีแล้ว สำหรับเด็กหนุ่มสาวอีกยี่สิบกว่าคนที่ยืนดูอยู่ด้านหลัง พวกเขาเต็มไปด้วยความอิจฉา
หลังจากผ่านไปชั่วระยะเวลาหนึ่งเด็กหนุ่มสาวก็เริ่มความคุมพลังของพวกเขาได้ดีขึ้น บางคนสามารถยิงลำแสงออกไปได้ครึ่งทาง บางคนส่งมันบินขึ้นไปบนท้องฟ้า มีไม่กี่คนที่สามารถส่งดาบแสงจันทร์ออกไปปะทะร่างกายของหุ่นฟาง แต่แน่นอนว่ามันเป็นเพราะโชค
อาจารย์อาวุโสเริ่มให้คำชี้แนะศิษย์ของเขาทีละคน
เขามุ่งเน้นไปที่ฟางเจิ้ง โม่เป่ย และซื่อเฉิน สามคนที่มีพรสวรรค์ระดับสูงสุด เขาอดทนแก้ไขสิ่งผิดพลาดของศิษย์ทั้งสามด้วยประสบการณ์ทั้งหมดของเขา สำหรับคนที่มีพรสวรรค์ต่ำตมเช่นฟางหยวน อาจารย์อาวุโสเพียงกล่าวบางคำให้พอเป็นพิธีเท่านั้น
ฟางหยวนแสร้งทำเป็นโบกมือสองสามครั้งแต่ไม่ได้ปล่อยพลังออกไปจริงๆ บางครั้งเขาก็ยิงลำแสงขึ้นสู่ท้องฟ้าเพื่อไม่ให้ผู้ใดสนใจเขามากเกินไป
อย่างไรก็ตามด้วยความรำคาญ สุดท้ายเขาก็สะบัดมือออกไปอย่างลวกๆ
ดาบจันทร์เสี้ยวสีฟ้าอ่อนพุ่งผ่านอากาศไปตัดลำคอของหุ่นฟางให้หลุดออกจากบ่าได้อย่างแม่นยำ
แต่หุ่นฟางเหล่านี้ไม่ใช่หุ่นฟางธรรมดา มันถูกสร้างขึ้นมาจากวิญญาณสายพฤกษาระดับหนึ่งที่มีความสามารถกู้คืนตัวเอง ในไม่ช้ามันจะฟื้นฟูกลับมาอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์แบบอีกครั้ง
“โอ้ ดูนั่น!”
“ผู้ใดเป็นผู้ยิงมันออกไป”
ช่วงเวลาที่ผ่านมามีดาบแสงจันทร์น้อยมากที่สามารถสัมผัสร่างหุ่นฟาง แต่ตอนนี้ฟางหยวนกลับตัดศีรษะของหุ่นฟางออกจากร่างอย่างแม่นยำ เมื่อคนอื่นๆสังเกตุเห็นสิ่งที่เกิดขึ้น พวกเขาต่างอุทานออกมาด้วยความตื่นเต้น อาจารย์อาวุโสก็ให้ความสนใจเรื่องนี้เช่นกัน เขากล่าว “ไม่เลว มันเป็นดาบแสงจันทร์ของผู้ใด?”
ชายชรามองศิษย์กลุ่มที่มีพรสวรรค์นภาที่สามที่ยืนอยู่ฝั่งตรงข้ามหุ่นฟางตัวนั้น
เด็กหนุ่มผู้หนึ่งยืนกระพริบตาด้วยความงุนงงเมื่อเผชิญหน้ากับสายตาของผู้คนมากมาย เนื่องจากดาบแสงจันทร์จำนวนมากบินอยู่ในสนามฝึกซ้อม มันจึงเป็นเรื่องยากที่จะระบุตัวบุคคล
อย่างไรก็ตามเมื่อทุกคนมองมาที่เขา แล้วเขาจะปฏิเสธเพื่อสิ่งใด ด้วยความคิดเช่นนี้เขาจึงรีบพยักหน้ารับทันที
หลังจากนั้นสายตาที่มองมาที่เขาก็เต็มไปด้วยความยกย่องสรรเสริญ
“เขาคือผู้ใด?” เด็กสาวผู้หนึ่งเปิดปากถามคนข้างๆ
‘กระทั่งเขาก็สามารถส่งดาบแสงจันทร์ออกไปได้งั้นหรือ? ฮืม ข้าต้องไม่แพ้!’ ดวงตาของโม่เป่ยส่องประกายเย็นเยียบ
‘ไม่ใช่พี่ใหญ่’ ฟางเจิ้งถอนหายใจ หลังจากได้รับการปลอบใจจากลุงกับป้า เขาก็กลับมาเข้มแข็งอีกครั้ง
‘พี่ใหญ่ ท่านโชคดีมากที่สามารถเลือกวิญญาณแสงจันทร์ที่อ่อนแอ แต่บนเส้นทางแห่งการบ่มเพาะ ผู้ใช้วิญญาณไม่สามารถอาศัยโชคตลอดไป ข้าจะชนะท่านอย่างแน่นอน’ ฟางหยวนให้กำลังใจตนเอง
“เจ้าทำได้ดีมาก จดจำความรู้สึกก่อนหน้านี้เอาไว้ให้ดีแล้วพยายามต่อไป” อาจารย์อาวุโสเผยรอยยิ้มให้กับเด็กหนุ่มผู้นั้น
จากนั้นอาจารย์อาวุโสก็ประกาศเสียงดัง “ศิษย์ทุกคนจงฟัง พวกเจ้าต้องฝึกซ้อมให้หนัก อีกสามวันข้างหน้าข้าจะมาประเมินพวกเจ้าอีกครั้ง หากผู้ใดทำได้ดีที่สุด ข้าจะมองหินวิญญาณสิบก้อนเป็นรางวัล เข้าใจหรือไม่?”
“เข้าใจแล้ว” เด็กหนุ่มสาวตะโกนรับคำด้วยความตื่นเต้นกับหินวิญญาณสิบก้อน
อย่างไรก็ตามสามนาทีหลังจากนั้นแสงสีฟ้าอ่อนที่โบยบินอยู่กลางอากาศกลับค่อยๆเบาบางลง
“บัดซบ! ทุกๆการใช้ดาบแสงจันทร์หนึ่งครั้ง ข้าจะสูญเสียพลังวิญญาณไปถึงหนึ่งในสิบส่วน”
“ดาบแสงจันทร์กินพลังของข้ามากเกินไป ทะเลวิญญาณของข้ามีอยู่สามสิบแปดในหนึ่งร้อยส่วนเท่านั้น ข้าสามารถปล่อยดาบแสงจันทร์ออกไปได้เพียงสามครั้ง!”
เด็กที่หมดพลังต่างถอนหายใจออกมาด้วยความโศกเศร้า
อาจารย์อาวุโสยืนมองเหตุการณ์ทั้งหมดด้วยการแสดงออกที่สงบนิ่ง เขาคิด 'นี่คือข้อได้เปรียบของผู้ที่มีพรสวรรค์สูงกว่า พวกเขามีพลังวิญญาณมากกว่า นอกจากนั้นทะเลวิญญาณของพวกเขายังฟื้นฟูตัวเองได้เร็วกว่า นี่ทำให้พวกเขามีโอกาสฝึกซ้อมได้มากขึ้น สำหรับผู้ที่มีพรสวรรค์ระดับต่ำ พวกเขาต้องอาศัยหินวิญญาณ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีพลังอำนาจชนิดนี้อยู่ในมือ เห้อ...เส้นทางแห่งการบ่มเพาะของผู้ใช้วิญญาณเป็นเรื่องที่ยากลำบาก ข้าเข้าใจมันอย่างชัดเจน ดังนั้นข้าจึงให้ความสำคัญกับผู้ที่มีพรสวรรค์ระดับสูงเท่านั้น’