เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 18 ปล่อยให้อดีตล่องลอยไปเหมือนหมอกหรือควัน (อ่านฟรี)
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 18 ปล่อยให้อดีตล่องลอยไปเหมือนหมอกหรือควัน
แปลโดย iPAT
เผชิญหน้ากับคำถามของน้องชาย ฟางหยวนไม่ตอบและเพียงกินอาหารเช้าของเขาต่อไปเท่านั้น เขารู้จักตัวละครน้องชายฝาแฝดของเขาผู้นี้เป็นอย่างดี ฟางเจิ้งเป็นบางคนที่ไร้ความอดทนอย่างสิ้นเชิง
เป็นดังที่ฟางเจิ้งคาดเดา พี่ชายของเขาไม่แยแสเขาราวกับไม่เห็นเขาอยู่ในสายตา ดังนั้นเขาจึงเปิดปากถามอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความโกรธ “พี่ใหญ่ ท่านทำสิ่งใดกับเฉินซุ้ย? ตั้งแต่นางออกมาจากห้องของพี่ใหญ่เมื่อวานนี้ นางร้องไห้ไม่หยุด เมื่อข้าปลอบโยนนาง นางกลับยิ่งร้องไห้หนักขึ้นไปอีก!”
ฟางหยวนเงยศีรษะขึ้นมองน้องชายผู้นี้อย่างไร้อารมณ์ ขณะเดียวกันฟางเจิ้งก็มองกลับด้วยสายตาที่ต้องการคำอธิบาย
บรรยากาศกลายเป็นตึงเครียด
แต่เพียงชั่วครู่ฟางหยวนก็ก้มหน้ากลับไปทานอาหารเช้าของเขาต่อ
ฟางเจิ้งรู้สึกหายใจติดขัด การแสดงออกของฟางหยวนทำให้เขารู้สึกโกรธและรังเกียจ ด้วยความอับอาย เขาใช้มือฟาดลงบนโต๊ะอย่างรุนแรง “ผู้ใช้วิญญาณฟางหยวน เจ้าทำเช่นนี้ได้อย่างไร? เฉินซุ้ยเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาที่อ่อนแอ นางดูแลเจ้าเป็นอย่างดีตลอดหลายปีที่ผ่านมา นางทั้งอ่อนโยนและห่วงใยเจ้า ข้ารู้ว่าเจ้ากำลังท้อแท้ ข้าเข้าใจความรู้สึกแย่ๆเหล่านั้น แม้เจ้าจะมีพรสวรรค์เพียงนภาที่สาม แต่มันไม่ได้หมายความว่าเจ้าจะสามารถระบายความโกรธของเจ้ากับผู้อื่นเนื่องจากความโชคร้ายของเจ้าได้ นี่ไม่ยุติธรรมสำหรับนาง!”
เพียงเมื่อฟางเจิ้งกล่าวจบคำ ฟางหยวนก็ผุดลุกขึ้นและยกมือตบใบหน้าของฟางเจิ้งทันที
“เพี้ยะ!”
เสียงตบดังขึ้นเมื่อเขาประทับฝ่ามือลงบนใบหน้าข้างซ้ายของฟางเจิ้ง
ใบหน้าของฟางเจิ้งสะบัดไปด้านขวาก่อนที่เขาจะก้าวถอยหลังไปสองสามก้าวด้วยความตื่นตระหนก
“คนโง่ เจ้ากล้าใช้น้ำเสียงเช่นนี้กับพี่ชายของตนเองเช่นนั้นหรือ? เพียงเพราะสาวใช้ไร้ค่าเฉินซุ้ย เจ้ากลับหลงลืมว่าข้าคือพี่ชายของเจ้างั้นหรือ?” ฟางหยวนตำหนิเสียงต่ำ
ความเจ็บปวดพุ่งเข้าโจมตีใบหน้าของฟางเจิ้ง เขาขมวดคิ้วลึกและหอบหายใจอย่างหนักหน่วงก่อนจะเปิดปากกล่าวด้วยความไม่อยากจะเชื่อ “พี่ใหญ่ ท่านตบข้า? ตั้งแต่เด็กท่านไม่เคยใช้ความรุนแรงกับข้าแม้แต่ครั้ง! ถูกต้อง ข้ามีพรสวรรค์นภาที่หนึ่ง ส่วนท่านเพียงนภาที่สาม แต่ท่านก็ไม่สามารถตำหนิข้าเพราะนี่คือลิขิตสวรรค์.....”
“เพี้ยะ!”
ฟางเจิ้งไม่สามารถกล่าวจนจบประโยคเมื่อหลังมือของฟางหยวนตบไปที่ใบหน้าข้างขวาของเขาเป็นครั้งที่สอง
ศีรษะของฟางเจิ้งสะบัดไปทางซ้ายอีกครั้งอย่างไม่สามารถควบคุม
เขาตะลึง!!
“ช่างโง่เขลานัก ตั้งแต่เด็ก เจ้าจำได้หรือไม่ว่าข้าดูแลเจ้าอย่างไร หลังจากท่านพ่อท่านแม่ของเราตายไป ชีวิตของพวกเรายากลำบากเพียงใด ในเวลานั้นลุงกับป้ามอบเสื้อคลุมชุดใหม่ให้พวกเราสองคนเพียงชุดเดียว แล้วข้าได้สวมใส่มันหรือไม่? ผู้ใดที่ข้ามอบชุดใหม่ของข้าให้? เมื่อเจ้ายังเด็ก เจ้าชอบกินโจ๊กหวาน เป็นข้าหรือไม่ที่ต้องคอยบอกแม่ครัวให้ทำโจ๊กหวานให้เจ้ากินทุกวัน เมื่อเจ้าถูกผู้อื่นรังแก ผู้ใดพาเจ้ากลับบ้าน? ยังมีอีกมากมายหลายสิ่งที่ข้าไม่อยากจะพูด แต่ตอนนี้เพียงเพื่อสาวใช้ผู้หนึ่ง เจ้ากลับกล้ากล่าวเช่นนี้กับข้างั้นหรือ?”
ใบหน้าของฟางเจิ้งแดงก่ำ ริมฝีปากของเขาสั่นเทา เขาทั้งโกรธ ทั้งอาย ทั้งประหลาดใจในเวลาเดียวกัน แต่เขาก็ไม่สามารถโต้เถียงแม้เพียงครึ่งค่ำ
เพราะทุกสิ่งที่ฟางหยวนกล่าวเป็นความจริงทั้งหมด!
“อย่างไรก็ตาม...” ฟางหยวนยิ้มเยาะ “เมื่อเจ้าหลงลืมบิดารมารดาของตนและเรียกผู้อื่นว่าท่านพ่อท่านแม่ แล้วข้าจะมีความหมายใด เพราะข้าเป็นเพียงพี่ใหญ่ของเจ้าเท่านั้น”
“พี่ใหญ่ ท่านกล่าวเช่นนี้ออกมาได้อย่างไร? ท่านก็รู้ว่าข้าปรารถนาครอบครัวที่อบอุ่นมาตั้งแต่เด็ก...” ฟางเจิ้งเร่งกล่าวเพื่อปกป้องตนเอง
ฟางหยวนโบกมือบอกให้เขาหยุด “ตั้งแต่นี้เจ้าไม่ใช่น้องชายของข้าและข้าก็ไม่ใช่พี่ใหญ่ของเจ้าอีกต่อไป”
“พี่ใหญ่!” ฟางเจิ้งกลายเป็นหวาดกลัวและพยายามจะกล่าวบางคำ
อย่างไรก็ตามฟางหยวนยังกล่าวต่อ “ไม่ใช่ว่าเจ้าชอบเฉินซุ้ยงั้นหรือ? ไม่จำเป็นต้องกังวล ข้าไม่ได้ทำสิ่งใดกับนาง นางยังเป็นหญิงบริสุทธิ์ที่ไม่เคยถูกแตะต้อง มอบหินวิญญาณให้ข้าหกก้อนแล้วข้าจะมอบนางให้เจ้า หลังจากนี้นางจะเป็นสาวใช้ส่วนตัวของเจ้าเพียงผู้เดียว!”
“พี่ใหญ่ ท่านรู้ได้อย่างไร...” ความในใจของฟางเจิ้งถูกเปิดเผยออกมาอย่างกะทันหัน มันจึงช่วยไม่ได้ที่เขาจะรู้สึกตื่นตระหนกเพราะเขาไม่เคยคาดคิดว่าจะมีคนรู้เรื่องนี้
อย่างไรก็ตามในเวลาเดียวกันเขาก็รู้สึกโล่งใจเพราะสิ่งที่เขากังวลมากที่สุดไม่ได้เกิดขึ้น
ไม่นานมานี้ เฉินซุ้ยช่วยฟางเจิ้งอาบน้ำ แม้มันจะไม่ได้เกิดสิ่งใดขึ้น แต่ฟางเจิ้งก็ไม่เคยลืมค่ำคืนนั้น ทุกครั้งที่เขาคิดถึงเฉินซุ้ย เขาจะคิดถึงวิธีการที่มืออันอ่อนนุ่มของเธอสัมผัสร่างกายของเขาอย่างอ่อนโยน ริมฝีปากสีเชอร์รี่ที่อยู่เบื้องหน้าเขา และลมหายใจอันแผ่วเบาที่ปะทะใบหูด้านในของเขา เพียงเมื่อเขาคิดถึงสิ่งเหล่านี้ หัวใจของเขาก็จะสั่นสะท้านขึ้นอย่างรุนแรง
ความรู้สึกลุ่มหลงของหนุ่มสาวผลิบานอยู่ในหัวใจของเขามานานแล้ว
ดังนั้นเมื่อเขาพบสิ่งผิดปกติบางอย่างที่เกิดขึ้นกับเฉินซุ้ยเมื่อวานนี้ ความโกรธจึงปะทุขึ้นในหัวใจของเขาอย่างฉับพลัน ในเวลานั้นเขาลืมเรื่องการปรับแต่งวิญญาณแสงจันทร์ไปอย่างสมบูรณ์ เขารีบออกมาตามหาฟางหยวนด้วยหัวใจที่ร้อนรุ่ม
อย่างไรก็ตามตอนนี้เมื่อฟางเจิ้งไม่ได้ตอบรับเงื่อนไข ฟางหยวนจึงกล่าวต่อ “ความรักเป็นเรื่องธรรมชาติ ไม่จำเป็นต้องปิดบัง แน่นอนว่าหากเจ้าไม่ต้องการแลกเปลี่ยน ก็ลืมมันไปซะ!”
ฟางเจิ้งรู้สึกกังวลขึ้นมาทันที “ข้าจะแลกเปลี่ยน! เหตุใดข้าจะไม่ต้องการ? แต่ตอนนี้ข้าเหลือหินวิญญาณไม่ถึงหกก้อน”
ขณะกล่าวถ้อยคำเหล่านี้ ฟางเจิ้งก็หยิบถุงใส่เงินของเขาออกมา
ฟางหยวนรับถุงใส่เงินไปและพบว่ามีหินวิญญาณหกชิ้นอยู่ในนั้น แต่มีอยู่ชิ้นหนึ่งที่มีขนาดเพียงครึ่งเดียว เมื่อเห็นเช่นนี้ฟางหยวนตระหนักได้ทันทีว่าฟางเจิ้งต้องดูดซับพลังงานจากมันเพื่อใช้ในการปรับแต่งวิญญาณแสงจันทร์ของเขาไปแล้ว หลังจากผู้ใช้วิญญาณดูดซับพลังงานจากหินวิญญาณ หินวิญญาณก้อนนั้นจะหดเล็กลงเรื่อยๆ
อย่างไรก็ตามเขาแน่ใจว่านี่คือหินวิญญาณทั้งหมดที่ฟางเจิ้งมีในเวลานี้ เดิมทีฟางเจิ้งไม่มีเงินออม สำหรับหินวิญญาณหกก้อนนี้ มันเป็นสิ่งที่ลุงกับป้าพึ่งมอบให้เขาเมื่อไม่นานมานี้
“เอาล่ะ ข้าจะรับมันไว้ ตอนนี้เจ้าไปได้แล้ว” การแสดงออกของฟางหยวนยังคงเย็นชาขณะที่เขาเก็บหินวิญญาณเอาไว้
“พี่ใหญ่...” ฟางเจิ้งอยากกล่าวบางคำ
ฟางหยวนหรี่ตามองก่อนจะกล่าวออกมาอย่างช้าๆ “จะดีที่สุดหากเจ้าจากไปก่อนที่ข้าจะเปลี่ยนความคิด”
ฟางเจิ้งรู้สึกราวกับหัวใจถูกบีบรัด เขากัดริมฝีปากก่อนจะก้าวเท้าออกไปจากโรงเตี้ยมด้วยความรู้สึกไม่สบายใจราวกับพึ่งสูญเสียบางสิ่งที่สำคัญมากไป
แต่มันก็เปลี่ยนเป็นความรู้สึกเร้าร้อนอย่างรวดเร็วเมื่อเขาคิดถึงเฉินซุ้ยและค่ำคืนที่เฝ้าฝัน ‘ในที่สุดข้าก็สามารถอยู่กับเจ้าได้อย่างชอบธรรม’
ฟางเจิ้งไม่ได้หันหลังกลับก่อนจะเดินหายไปจากมุมมองสายตาของฟางหยวนในที่สุด
การแสดงออกของฟางหยวนไม่เปลี่ยน แต่เขายังยืนนิ่งอยู่จุดเดิมเป็นเวลานานก่อนจะค่อยๆนั่งลงอีกครั้ง
แสงแดดทะลุผ่านช่องหน้าต่างเข้ามาปะทะใบหน้าที่ทำให้ผู้คนรู้สึกหนาวสั่นด้วยความไม่แยแสต่อโลกหล้าของเขา
ภายในโรงเตี้ยมเงียบสนิท แต่บนถนนกลับคึกคักขึ้นเรื่อยๆ เสียงผู้คนที่กำลังสัญจรอยู่บนท้องถนนดังเข้ามาถึงสถานที่แห่งนี้และยิ่งทำให้มันดูเงียบเหงามากยิ่งไปอีก
อาหารเช้าของฟางหยวนเริ่มเย็น เสี่ยวเอ้อจึงเดินเข้ามาถามว่าต้องการอุ่นอาหารหรือไม่?
แต่ฟางหยวนกลับไม่ได้ยิน เพราะเขากำลังจมอยู่ในห้วงแห่งความทรงจำเก่าๆ เสี่ยวเอ้อยืนรออยู่ชั่วครู่ เมื่อไม่มีปฎิกิริยาตอบสนอง เขาจึงทำได้เพียงใช้มือถูจมูกก่อนจะเดินจากไปเท่านั้น
หลังจากผ่านไปเป็นเวลานาน ฟางหยวนก็ตื่นขึ้นจากภวังค์ ความทรงจำที่ผ่านมาราวกับหมอกหรือควันที่ล่องลอยแยกย้ายกันไปเรียบร้อยแล้ว
เขากลับสู่โลกแห่งความจริงขณะที่ไอความร้อนของอาหารเลือนหายไปแล้ว
เขาใช้มือตบถุงใส่หินวิญญาณห้าก้อนกับอีกครึ่งหนึ่งก่อนจะเผยรอยยิ้มที่ทั้งขมขื่นและเย้ยหยันขึ้นบนใบหน้า
“เสี่ยวเอ้อ นำอาหารเหล่านี้ไปอุ่นมาให้ข้า!” ฟางหยวนมองชามอาหารก่อนจะตะโกนออกคำสั่งด้วยการแสดงออกที่เย็นชา
“อันใด? พี่ชายของเจ้ากล่าวเช่นนั้นงั้นหรือ?” ลุงขมวดคิ้วกล่าวเสียงเย็น ขณะที่ป้าที่นั่งอยู่ข้างๆมองรอยแดงบนใบหน้าของฟางเจิ้ง
“ถูกต้อง ข้าพบพี่ใหญ่ที่โรงเตี้ยม เรื่องทั้งหมดก็เป็นเช่นนี้” ฟางเจิ้งตอบกลับอย่างสุภาพ
ลุงยิ่งขมวดคิ้วลึกมากขึ้น
ผ่านไปชั่วครู่เขาก็ถอนหายใจออกมาและกล่าวด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ฟางเจิ้ง บุตรชายของข้า จำไว้ว่าเฉินซุ้ยไม่ใช่สมบัติส่วนตัวของฟางหยวน นางไม่ใช่สิ่งของที่ฟางหยวนจะสามารถใช้แลกเปลี่ยน หากเจ้าต้องการนาง เจ้าควรบอกพวกเราอย่างตรงไปตรงมา แน่นอนว่าพวกเราจะมอบเธอให้เจ้า”
“อา...” ฟางเจิ้งตะลึงเมื่อได้ยินถ้อยคำเหล่านี้
ลุงโบกมือก่อนกล่าวต่อ “เมื่อเจ้ามอบหินวิญญาณให้ฟางหยวนไปแล้ว เช่นนั้นข้าก็จะมอบหินวิญญาณอีกหกก่อนให้กับเจ้า จงใช้พวกมันในการปรับแต่งวิญญาณและคว้าที่หนึ่งมาให้พวกเราภูมิใจ”
“บุตรรู้สึกละอายใจนัก...” ฟางเจิ้งรู้สึกราวกับน้ำตากำลังจะไหลออกมา
ลุงถอนหายใจอีกครั้ง “เอาล่ะ เจ้ารีบกลับไปปรับแต่งวิญญาณเถิด เจ้าเหลือเวลาอีกไม่มากแล้ว”
เมื่อฟางเจิ้งเดินจากไป ใบหน้าของลุงก็เผยให้เห็นถึงความโกรธและเกลียดชัง
“ปัง!”
เขาตบฝ่ามือลงบนโต๊ะ “บัดซบ! เจ้าเด็กเลวนั่น มันนำคนของเราไปขาย แท้จริงแล้วมันฉลาดมาก!”
ป้าเร่งกล่าว “สามี ถนอมตัวเองด้วย มันก็แค่หินวิญญาณหกก้อน”
“เจ้าเป็นหญิง เจ้าจะรู้สิ่งใด? ฟางหยวนมีพรสวรรค์นภาที่สาม หากเขาต้องการปรับแต่งวิญญาณ เขาต้องใช้หินวิญญาณจำนวนมาก เดิมทีเขามีหินวิญญาณหกก้อน ด้วยพรสวรรค์อันน้อยนิดและปราศจากประสบการณ์ หกก้อนยังไม่เพียงพอ แต่ตอนนี้เขาได้ไปอีกหกก้อนรวมเป็นสิบสองก้อน นี่มากพอสำหรับเขาแล้ว!” ชัดเจนว่าลุงโกรธจัด
ลุงยังกล่าวต่อ “การบ่มเพาะของผู้ใช้วิญญาณจะก้าวหน้าอย่างรวดเร็วหากมีทรัพยากรพอเพียง ภายในเวลาสองสามปีตระกูลจะสามารถผลิตผู้ใช้วิญญาณระดับสองคนใหม่ หากการบ่มเพาะของฟางหยวนต่ำตม ความหวังที่เขาจะได้รับมรดกในปีหน้าก็จะลดน้อยลง ตอนนี้มันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการบ่มเพาะเท่านั้น หากพวกเราสามารถขัดขวางไม่ให้เขาเติบโตไปมากกว่านี้ ตระกูลจะไม่เห็นคุณค่าของเขาและจะไม่ยินดีมอบทรัพยากรให้เขา ด้วยวิธีนี้เขาจะไม่มีสิทธิรับมรดกในอีกหนึ่งปีข้างหน้า!”
ป้าพยักหน้าก่อนกล่าว “แม้พวกเราจะไม่หยุดยั้งเขา แต่เขาก็มีพรสวรรค์เพียงนภาที่สาม สามี ท่านเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับสอง เหตุใดท่านจึงต้องกลัวเขา?”
ลุงยิ่งโกรธเมื่อได้ยินคำกล่าวของฟ้า “ผู้หญิงก็มีเพียงผมยาวอยู่บนศีรษะ! ข้าเป็นผู้อาวุโส แล้วข้าจะต่อสู้กับผู้เยาว์ได้อย่างไร? หากเขาต้องการรับมรดก มันก็เป็นเรื่องชอบธรรม พวกเราไม่สามารถขัดขวางเขาได้โดยตรง ข้าต้องพึ่งพากฎของตระกูลเท่านั้น กฎของตระกูลระบุไว้ว่าบุคคลที่สามารถรับมรดกต้องเป็นหัวหน้าครอบครัวที่มีอายุสิบหกปีและมีการบ่มเพาะระดับหนึ่งขั้นกลางเป็นอย่างน้อย หากไม่เป็นไปตามนั้น ฟางหยวนก็ไม่มีสิทธิรับมรดก ข้ากล่าวเช่นนี้ เจ้าเข้าใจหรือยัง?”
ป้าตระหนักรู้ทันที
ลุงหรี่ตามองก่อนจะถอนหายใจออกมาและส่ายศีรษะเล็กน้อย “ฟางหยวนฉลาดเกินไป เขาสามารถมองเห็นแผนการของข้า แม้เขาจะยังเด็กแต่เขากลับเจ้าเล่ห์และมองการณ์ไกล นี่เป็นสิ่งที่น่ากลัวจริงๆ ข้าวางแผนรับเขาเป็นบุตร แต่เขาปฏิเสธทันที ข้าให้เฉินซุ้ยไปยั่วยวนเขา แต่เขากลับเตะส่งนางออกมาและกระทั่งขายนางเพื่อแลกกับหินวิญญาณหกก้อน!”
“เห้อ...หากเขาโง่เขลาเช่นเดียวกับฟางเจิ้ง มันจะดีมาก โอ้ ถูกต้อง ตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไปเจ้าต้องทำดีกับฟางเจิ้งให้มากขึ้น เขามีพรสวรรค์นภาที่หนึ่ง นอกจากนั้นยังเห็นได้ชัดว่าเขาไม่พอใจฟางหยวน นั่นเป็นสิ่งที่ดีสำหรับเรา ข้ามีความรู้สึกว่าเขาจะกลายเป็นเครื่องมือที่ดีที่สุดในการกำจัดฟางหยวนของพวกเรา”
สองวันผ่านไป
ในห้องพักชั้นสองของโรงเตี้ยมไร้ซึ่งแสงสว่างจากเปลวเทียน มีเพียงแสงจันทร์อันบางเบาที่เล็ดลอดเข้ามาแต่งแต้มความมืดมิดในค่ำคืนนี้เท่านั้น
ฟางหยวนนั่งไขว้ขาปิดเปลือกตาอยู่บนเตียงและส่งพลังวิญญาณเข้าไปปรับแต่งหนอนสุราที่ยังดิ้นรนขัดขืนอยู่อย่างต่อเนื่อง
การปรับแต่งวิญญาณของฟางหยวนไม่ได้ราบรื่นมากนัก ในความเป็นจริงมันค่อนข้างยากลำบาก
‘ข้าปรับแต่งมันมาตลอดสองวันสองคืน ข้าหยุดพักเพียงสองชั่วโมงต่อวัน ข้ากระทั่งใช้หินวิญญาณไปแล้วถึงสิบสองก้อน แต่ข้ากลับสามารถปรับแต่งมันได้เพียงหนึ่งในสิบส่วนเท่านั้น เมื่อพิจารณาถึงเวลา บางคนอาจประสบความสำเร็จในการปรับแต่งวิญญาณดวงแรกภายในไม่กี่วันนี้’
ฟางหยวนเข้าใจสถานการณ์อย่างชัดเจน อย่างไรก็ตามด้วยพรสวรรค์ที่ไม่สูงนักของเขารวมถึงเจตจำนงอันแรงกล้าของวิญญาณสุรา เหตุการณ์นี้จึงถือเป็นเรื่องปกติ
‘เสร็จทีหลังแล้วอย่างไร? ข้าเพียงต้องการหนอนสุราตัวนี้’ หัวใจของฟางหยวนยังคงกระจางใสเหมือนกระจก ไม่มีความวิตกกังวลและความท้อแท้อยู่แม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตาม...
ในเวลานี้หนอนสุรากลับขดร่างของมันจนกลายเป็นไข่มุกแสงอีกครั้ง
‘โอ้ ต้องการตอบโต้งั้นหรือ?’ ฟางหยวนรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย
วิญญาณสุราส่งเจตจำนงพุ่งเข้าสู่ทะเลวิญญาณของฟางหยวนโดยตรง นั่นทำให้ฟางหยวนตัดสินใจเดิมพันด้วยทุกสิ่ง
การโต้กลับของวิญญาณมีโอกาสเกิดขึ้นน้อยมาก มีเพียงวิญญาณที่แข็งแกร่งและเอาแต่ใจเท่านั้นที่จะเสี่ยงชีวิตตอบโต้ด้วยวิธีที่รุนแรงเช่นนี้
หากเป็นผู้ใช้วิญญาณฝึกหัดคนอื่นที่เผชิญหน้ากับสถานการณ์เดียวกันนี้ พวกเขาจะตื่นตระหนกและไม่รู้ว่าควรทำเช่นไร
แต่สำหรับฟางหยวน แม้เขาจะประหลาดใจ แต่ไม่มีความตื่นตระหนกเกิดขึ้นในหัวใจของเขา ในความเป็นจริงเขาค่อนข้างยินดี ‘ความพยายามครั้งสุดท้ายของมันเป็นสิ่งที่ดี ตราบเท่าที่ข้าสามารถกำหราบการตอบโต้ครั้งนี้ มันจะอ่อนแอลงอย่างมาก แต่ข้ายังต้องมุ่งมั่นและไม่ปล่อยให้สิ่งใดมารบกวนข้าในเวลานี้’
ฟางหยวนปิดเปลือกตาลงและพยายามต่อสู้กับเจตจำนงของวิญญาณสุราด้วยหัวใจที่แน่วแน่
อย่างไรก็ตามเรื่องที่ไม่คาดคิดเกิดขึ้นอีกครั้งในจังหวะนี้
วิญญาณบางดวงส่องประกายขึ้นเหนือทะเลวิญญาณของฟางหยวนอย่างกะทันหัน
“บึม!”
เจตจำนงอันยิ่งใหญ่ปะทุออกมาจากวิญญาณลึกลับดวงนี้
แสงดาวส่องประกายระยิบระยับราวกับทางช้างเผือกที่เผยตัวขึ้นเหนือน่านฟ้าของมหาสมุทรสีครามอันกว้างใหญ่ ภายใต้ฉากอันงดงามและลึกลับราวกับมีสัตว์ร้ายเร้นกายอยู่และกำลังคำรามออกมาด้วยความขุ่นเคืองเมื่อมีบางสิ่งบุกรุกเข้าไปในอาณาเขตของมัน
‘วิญญาณกาลเวลา!’ ฟางหยวนตกตะลึงไปอย่างสมบูรณ์