ตอนที่แล้วตอนที่ 68 ทางลับ (5/11/17)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 70 หนีจาก (7/11/17)

ตอนที่ 69 หมื่นเหมันต์ (6/11/17)


69

 

หมื่นเหมันต์คือชื่อของหอเก็บสมบัติ ชื่อนี้ช่างทำให้จางหมิงนึกถึงพิษร้ายในร่างขึ้นมา พิษที่ตอนนี้สงบนิ่งราวกับเป็นส่วนหนึ่งของร่างกาย แต่มันกลับรู้ว่าไม่ใช่... พิษเหมันต์นิรันดร์เพียงแค่รอเวลาถูกกระตุ้นก็เท่านั้น

ทางเข้าหอสมบัติหมื่นเหมันต์ช่างง่ายดายเกินไป พวกมันมาถึงหน้าทางเข้าที่ควรมีผู้ฝึกยุทธ์ระดับมนุษย์เฝ้าหากกลับร้างไร้ผู้คน แต่กลิ่นเลือดอ่อนๆที่โชยมาทำให้จางหมิงต้องมุ่นคิ้วลงเล็กน้อยแต่ไม่ได้ตื่นตกใจอันใด

มีคนเปิดทางให้มัน!

จะอย่างไรก็คงไม่พ้นถางเจียฉีหรือคู่พันธะของมันที่อยู่ในร่างผู้อื่น

ยังมีจูลี่ถิงอีกคนที่สัมผัสได้ถึงความไม่ปกติ ระดับพลังของเธอไม่แน่ว่ารู้ที่อยู่ของศพเสียด้วยซ้ำถึงได้มีท่าทีหวาดกลัวออกมาจนชัดเจน หากก็สงบสติตัวเองได้อย่างรวดเร็วก่อนจะหันมาส่งยิ้มน้อยๆให้กับจางหมิงและจางซิ่งที่สังเกตเธออยู่ก่อนแล้ว

ทางข้างหน้าเป็นเนินเขาขึ้นไป คาดคะเนจากสายตาแล้วคงสูงมากพอดูใช้เวลาเดินเท้าก็คงหลายชั่วโมง พวกมันไม่ได้ใช้วิชาตัวเบาหรือวิชาเคลื่อนที่อื่นใดเนื่องจากเกรงว่าจะถูกตรวจพบก่อนถึงที่หมาย

ยิ่งเดินไปภูเขาลูกย่อมๆนี้ยิ่งดูสลัวลางมากขึ้นทุกที อากาศที่แม้จะมืดมิดแต่ก็โปร่งสบายจากสายลมอ่อนๆกลับกลายเป็นความหนาวเหน็บจากลมเย็นที่โชยพัด ไอขาวลอยคลุ้งออกจากลมหายใจบ่งบอกได้ว่าอากาศตอนนี้นั้นเย็นเสียดกระดูกเพียงไร เสื้อที่สวมใส่ก็ไม่ได้หนามากมายที่จะปิดกั้นอากาศภายนอก นี่ช่างเป็นการป้องกันทางธรรมชาติที่แปลกพิสดารจริงๆ

สมุนสามที่มีพลังปราณอ่อนแอที่สุดย่อมมีรากฐานร่างกายที่อ่อนแอที่สุดเช่นเดียวกันเธอจึงได้ขอตัวจากไปก่อน บุคคลที่เหลือก็ยังคงเดินหน้าต่อไป

ในคณะเดินทางเล็กๆกลุ่มนี้นับว่าขาดจิ้งจอกน้อยไป จางหมิงช่างคิดถึงร่างกายอุ่นๆของมันเหลือเกิน

เจ้าอ้วนคงเป็นคนเดียวที่ทานทนได้โดยไม่มีปัญหา มันรู้สึกขอบคุณไขมันใต้ผิวหนังของมันก็วันนี้

“เป็นถึงหอเก็บสมบัติสำนักแต่ไม่ดูหละหลวมเกินไปหรืออย่างไร” เป็นสมุนหนึ่งเอ่ยขึ้นมา แม้จางหมิงจะรู้ชื่อของมัน แต่มันเคยชินกับการเรียกแบบนี้ไปเสียแล้ว

“ข้าเห็นด้วยนะ หรือเจ้ามาผิดทาง” เจ้าอ้วนที่ดูจะตื่นตระหนกอยู่บ้างในคราแรกตอนนี้กลับตื่นเต้นจนไม่สามารถห้ามอาการเต้นตึกตักของหัวใจได้

“ถูกทางคงถูกอยู่ แต่ข้าไม่คิดว่ามันจะง่ายดายปานนั้นเช่นเดียวกัน” จางหมิงเอ่ยเรียบๆ สายตามองรอบตัวหาสิ่งผิดปกติ

เดินทางจนเกือบรุ่งสางจนพวกมันบางคนถอนหายใจ แต่ไม่นานนั้นในกลุ่มหมอกมองเห็นเงาดำเลือนรางเป็นร่างสูงใหญ่ คนทั้งหมดต่างชะงักนิ่งพร้อมเร่งเร้าพลังในกายเพื่อเตรียมพร้อมสำหรับเหตุการณ์ข้างหน้า อากาศรอบด้านยังคงเยียบเย็นจนสัมผัสภายนอกด้านชา การตรวจสอบสภาพโดยรอบจึงอ่อนด้วยลงด้วยเช่นเดียวกัน

“มันคืออะไร” เจ้าอ้วนพึมพำเบาๆในลำคอโดยไม่ละสายตาจากภาพเงาร่างใต้หมอกเบื้องหน้า

โฮกกกกกก!

เสียงคำรามลั่นทำเอาผู้คนสั่นสะท้าน สายลมกระจายออกจากเงานั้นอย่างแรงด้วยเช่นกันจนแต่ละคนต้องงัดเกาะปราณออกมาป้องกันตัว หากแต่เมื่อเปิดใช้พลังปราณออกมาอย่างเต็มที่ เสียงระฆังที่ไม่รู้ที่มาก็ดังขึ้นภายใต้ความว่างเปล่านั้นและก้องออกไปทั่วทั้งสำนัก

จางหมิงขมวดคิ้วเมื่อรู้สึกว่าผิดท่า หมอกนั้นได้หายไปแล้วและเงาร่างใหญ่โตภายใต้หมอกก็หายไปด้วยเช่นเดียวกัน รอบด้านคือต้นไม้อวบอ้วน บนพื้นเขียวชอุ่มด้วยต้อนหญ้าขนาดเล็ก ไม่มีสิ่งใดบ่งบอกเลยว่าที่แห่งนี้เคยหนาวเหน็บมาก่อน นั่นราวกับกำลังอยู่ในช่วงวสันต์อันชุ่มช่ำ

“ภาพมายาสินะขอรับ” จางซิ่งมองรอบกายอย่างกังวล

“กับดักล่ะ มันต้องการให้เราใช้พลังปราณเพื่อให้มันกระตุ้นค่ายกลเตือนภัยของสำนัก” เจ้าอ้วนก็มีที่ท่าระแวงระวังไม่ต่างกัน

หอคอยสูงตั้งตระหง่านอยู่เมืองหน้าไม่ไกล เพื่อความปลอดภัยนั้นสมควรถอยกลับ แต่ด้วยที่จางหมิงได้ส่งจิ้งจอกน้อยออกไปก่อนแล้วมันจึงจำเป็นต้องเดินหน้าต่อไป

“พวกเจ้ากลับไปเสียก่อนที่พวกผู้อาวุโสจะมา” จากหมิงหันไปบอกคนอื่นๆก่อนจะทะยานร่างตรงไปยังหอคอยเบื้องหน้า

จางซิ่งติดตามนายน้อยของมันไปทันทีโดยไม่ต้องคิด จางหมิงก็ได้เหลือบมามองมันแวบหนึ่งก่อนจะมุ่งหน้าต่อไป เหลือคนข้างหลังที่มองหน้ากันไปมา ไม่นานจูลี่ถิงก็ตามไปเช่นเดียวกันเนื่องด้วยความเป็นห่วงศิษย์น้องของตนเอง เจ้าอ้วนที่เห็นดังนั้นจึงได้รีบเร่งตามไปอีกคน ส่วนสมุนหนึ่งเพียงถอนหายใจเบาๆแล้วตามศิษย์พี่ของมันไป

ทางด้านตำหนักของผู้อาวุโส ทุกคนลืมตาขึ้นจากการเข้าฌานสายตาจดจ้องไปยังตำหนักหมื่นเหมันต์ซึ่งเป็นที่เก็บสมบัติ พลังปราณกวาดออกไปเพื่อสัมผัสรู้ถึงเหล่ากลุ่มก้อนพลังเล็กๆที่อยู่บริเวณนั้น พวกมันบางคนยกยิ้มเยาะบ้างก็ส่ายหน้าอย่างระอาใจ แต่ทั้งหมดก็ไม่ได้ขยับเคลื่อนไหวแล้วหลับตาลงฝึกฝนตนเองเช่นเดิม

พวกมันไม่คิดหรอกว่าเพียงแค่กลุ่มเด็กน้อยจะฝ่าเข้าสู่ภายในหอเก็บสมบัตินั้นได้ และเมื่อมีเสียงแจ้งเตือนเกิดขึ้นผู้เฝ้าประตูทั้งสี่ทิศก็จะพุ่งเข้าไปภายในเพื่อปกป้องหอสมบัติอีกด้วย

“ไม่ได้เจอคนที่บุกรุกตำหนักหมื่นเหมันต์มานานแล้ว” กระทั่งเจ้าสำนักยังมองไปยังที่แห่งนั้นแล้วยิ้มออกมาบางเบา

 

 

 

 

เมื่อรอบข้างไม่ได้หนาวเย็นเช่นเดิมการเดินทางก็ราบรื่นขึ้นมาก ไม่นานประตูตำหนักสีทองแดงก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของจางหมิง จิ้งจอกน้อยที่ตัวไม่น้อยแล้วตอนนี้ก็ขยับตัวลุกขึ้นจากการนอนเพื่อเฝ้ารอเจ้านาย

“โอ้ นี่มันหลิงหลิงมิใช่หรือ เหตุใดจึงมาอยู่ที่นี่” เจ้าอ้วนนึกสงสัยเมื่อตามคนอื่นมาติดๆ

จางหมิงและจิ้งจอกน้อยไม่ได้ตอบคำ แต่ความจริงแล้วสถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยภาพมายา จางหมิงจึงได้ส่งจิ้งจอกน้อยมาเพื่อทำลายพวกมัน และการที่ส่งมันมาก่อนก็เพราะคิดว่ามายาบางอย่างไม่ง่ายที่ทำลายได้ในช่วงระยะเวลาอันสั้น

เพียงเพราะเชื่อมั่นในผู้เฝ้าทางเข้าและกับดักมายามากเกินไป ตำหนักที่ดูจะมีการป้องกันที่สมบูรณ์แบบจึงได้ดูเข้ามาง่ายดายแบบนี้

“กับดักหมอกก่อนหน้าเจ้าจัดการมันไม่ได้หรือ” จางหมิงถามมัน

“กว้างเกินไป ข้าไม่รู้ว่าศูนย์รวมพลังของมันอยู่ตรงไหน”

จางหมิงลูบหัวมันก่อนจะหันไปมองประตูบายยักษ์ตรงหน้า ประตูบานนี้สูงร่วมสิบเมตร หากจะแค่ดันเปิดก็กินพลังแทบหมดเลยกระมัง

จางหมิงมองดูก็สุดจะจนปัญญา แม้ว่ากับดักมายาจะถูกจิ้งจอกน้อยแก้ไขไปแล้วก็ตาม

“ข้าเองๆ” จู่ๆเจ้าอ้วนก็โผลงออกมา

หลายคนมองดูมันเดินไปที่ประตูตรงหน้าที่กำลังเปิดแง้มอย่างไม่เชื่อสายตา แม้จะเป็นเพียงบานเดียวด้านขวาแต่นั่นก็พอให้ลอดผ่านไปได้

ปัง!

ประตูปิดลงเมื่อเจ้าอ้วนเข้ามาเป็นคนสุดท้าย มันทรุดลงกับพื้นหอบหายใจจนจูลี่ถิงที่อยู่ไม่ไกลพุ่งตัวเข้ามาแล้วนำเม็ดยาออกมาให้หลายเม็ด

แข็งแรงดีจริงๆ... จางหมิงคิดว่าวิชายุทธ์ที่มันฝึกฝนคงเป็นในรูปแบบพลังกายเช่นเดียวกับของหลินเย่ถง

จิ้งจอกน้อยวิ่งไปรอบๆอย่างไม่กลัวอันตราย จางหมิงก็ได้กวาดตามองไปทั่วเช่นกัน

อาวุธเวทมากมายปรากฏขึ้นในคลองสายตา ทุกชิ้นถูกเรียงรายตอกตรึงด้วยค่ายกลเต็มผนังและบนแท่นหินที่ผุดขึ้นมามากมาย เพียงปรายตามองก็ถอนหายใจเมื่อมันไม่สามารถทำอะไรได้

ค่ายกลเป็นสิ่งที่จางหมิงรู้จักดี แต่ค่ายกลปราณไม่ใช่สิ่งที่มันคุ้นเคยมากนัก การจะแก้ไขไม่ใช่เรื่องง่าย และการจะพึ่งคนที่เหลือก็ดูจะเป็นไปไม่ได้ด้วยเช่นเดียวกัน

จางหมิงพุ่งตัวไปทางบันไดก่อนที่จะขึ้นไปชั้นบนพร้อมกับจิ้งจอกน้อยปล่อยให้คนที่เหลือดูแลเจ้าอ้วนไป

ชั้นสองและสามก็ยังคงเป็นเวทย์อาวุธ ส่วนชั้นสี่และห้าคือตำราที่ดูจะเก่าแก่แม้ไม่เท่าที่อยู่ในหอกลางของตระกูลจางแต่ก็นับว่าเก่าอยู่มาก และชั้นสุดท้ายก็เป็นสิ่งที่จางหมิงตามหา

‘อาคารสมุนไพรวิเศษ’

ชื่อที่ติดไว้ด้านบนช่างตรงกับสิ่งของภายใน รอบด้านต่างเต็มไปด้วยสมุนไพรนานาชนิด ทั้งที่จางหมิงรู้จักและไม่รู้จักมากมาย ส่วนใหญ่มีเพียงอย่างละน้อยนิดซึ่งล้วนแล้วหายาก กลิ่นหอมนั้นอบอวลไปทั่วทั้งชั้น และเช่นกันที่แห่งนี้เต็มไปด้วยค่ายกล หากบางส่วนเป็นเพียงค่ายกลทางจิตธรรมดา

เมื่อขึ้นชื่อว่าเป็นพืชพันธุ์ย่อมแตกต่างจากอาวุธที่คงทนกว่า การวางค่ายกลปราณซ้อนทับลงไปจะทำให้พลังปราณนั้นกดทับคุณค่าของสมุนไพรเหล่านั้นจนเสียหาย ดังนั้นจึงไม่ใช่สมุนไพรทุกชนิดจะทำเช่นนั้นได้

จางหมิงกวาดตามองหาผลเมฆาสีชาดที่มันต้องใช้ และไม่อาจลืมที่จะจับจ้องไปยังค่ายกลอย่างของสมุนไพรบางชนิดด้วยเช่นกัน แต่ทุกสิ่งขึ้นอยู่กับเวลา

จากตีนเขาขึ้นมายังหอสมบัตินั้นไกลพอดู แต่ด้วยระดับขั้นมนุษย์ของผู้เฝ้าทางเข้าที่ยังเหลืออยู่ทั้งสามทิศคงใช้เวลามาถึงไม่เกินชั่วโมง ดังนั้นมันจึงต้องรีบ

“ทำไมเป็นแบบนี้ล่ะเนี่ย” จางหมิงครางอยู่ในลำคอเมื่อพบสิ่งที่ต้องการ

ผลเมฆาสีชาดเป็นวัตถุดิบสุดท้ายในการสร้างยาต้านพิษเย็นของมันหากไม่นับรวมตัวกลั่นผสม แต่ผลสีแดงสดคล้ายผลผิงกั่ว(แอปเปิ้ล)นี้กลับอยู่ในกล่องแก้วที่ตราผนึกไว้อย่างแน่นหนาบนแท่นหินเดี่ยวๆ

จางซิ่งได้ติดตามมานานแล้วจางหมิงจึงได้ให้มันเก็บสมุนไพรที่พอจะแก้ค่ายกลได้ง่ายๆไป ส่วนตัวมันจดจ้องอยู่กับผลเมฆาสีขาดอีกพักใหญ่ก่อนจะนำมีดไร้ประกายออกมา

ในเมื่อมันไม่สามารถยกกล่องแก้วนั้นขึ้นมาจากแท่นหินได้ มันก็จะเอาไปทั้งแท่นหินนี่ล่ะ!

การจะนำไปทั้งแท่นขนาดใหญ่นั้นเป็นไปไม่ได้ที่จะเก็บใส่ในอัญมณีผนึกสีส้มของมันที่มีขนาดภายในเพียงกล่องสมบัติขนาดย่อม มันจึงได้กรีดมีดลงไปบนแท่นเพื่องัดเอาหินด้ายให้กล่องที่ยึดกันไว้แน่นนั้นออกมาเพียงเท่านั้น ใช้เวลาพอดูกับความแข็งแรงของแท่นหินแต่ก็ไม่เกินความสามารถของความคมกริบที่มีดไร้ประกายมี

ก็ไว้ค่อยหาวิธีแก้ทีหลังก็แล้วกัน

จางหมิงมองไปทางจางซิ่งที่ขวมดคิ้วกับค่ายกลบนสมุนไพรเบื้องหน้าโดยมีจิ้งจอกจอกน้อยนั่งมองอย่างสงสัยไม่ห่าง แต่ก่อนที่จางหมิงจะเข้าไปช่วยพวกเจ้าอ้วนก็วิ่งหน้าตาตื่นขึ้นมายังชั้นนี้

 

 

+++

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด