ตอนที่ 3 สองพี่น้องฝาเเฝด
รถม้าได้เคลื่อนตัวสามวันสี่วันจนกระทั่งได้ยินเสียงอะไรบางอย่างที่ดังกระหึ่มเป็นเสียงกลองยักษ์ที่ดังเอามากๆเลย นางจึงแอบเปิดผ้าที่ปิดรถดู ว่านเจี๋ยเห็นกับผู้คนที่คุกเข่าตามทางไป เหมือนกับว่านางเดินทางมาถึงที่ใดสักแห่งแล้ว นางปิดผ้าลงแล้วพยายามทำใจเพราะรู้ว่าถ้าตัวของนางมาอยู่ที่นี่ต้องเจอกับปัญหาหลายอย่างเป็นอันแน่ เมื่อรถม้าได้หยุดลง เสียงคนเดินเท้าได้หยุดลง และเสียงกลองก็ได้หยุดลง ผ้าม่านได้เปิดออกและผู้ชายคนนั้นก็ได้เดินเข้ามาอุ้มนางขึ้นแล้วพานางเดินเข้าไปในพระราชวังขนาดใหญ่ ซึ่งมีทรงที่ค่อนข้างแปลกตาสำหรับนาง เสียงประตูได้เปิดแล้วเขาก็พานางเดินเข้าไปในนั้น ซึ่งเมื่อเดินเข้าไปในปราสาทในนั้นเป็นอะไรที่ใหญ่และกว้างกว่าตำหนักที่นางได้อยู่เป็นหลายเท่า เขาวางนางไว้ตรงพื้นข้างหน้าของนางจะเป็นเหมือนบัลลังก์เป็นเก้าอี้ขนาดใหญ่สีดำที่อยู่ตรงข้างหน้าของเธอ และพวกขุนนางชั้นสูงที่ยืนอยู่ข้างๆนาง แต่แต่งตัวแปลกไม่เหมือนที่ขุนนางที่ราชอาณาจักรของนางแต่ง นางมองดูสักพักก่อนที่ทุกคนจะคุกเข่าลงในทันใด
“พระราชาเสด็จมาถึงที่นี่แล้ว” เสียงกลองได้ดังขึ้นอีกครั้งแต่เป็นกลองเล็กไม่ใช่กลองใหญ่ที่อยู่นอกพระราชวังนี่ //ตึก ตึก// เสียงเท้าได้เดินออกมาจากห้องข้างหลังเก้าอี้สีดำ เมื่อเดินออกมาจากห้องนั้นก็พบกับชายคนหนึ่งผมสั้นสีขาวหน้าตาดูดุๆแต่หน้าเหมือนกับผู้ชายที่อุ้มนางมาเลย หรือว่าทั้งสองคนจะเป็นแฝดกันนะ ว่านเจี๋ยมองไปที่ผู้ชายที่อุ้มนางมากก่อนจะมองไปที่ผู้ชายผมขาวอีกครั้ง เขาเดินมานั่งตรงเก้าอี้สีดำ เมื่อเขาได้นั่งลงเสียงกลองที่ดังอยู่ก็ได้เงียบลงเช่นกัน เขามองมาที่นางก่อนจะแสยะยิ้มออกมา
“นี่หรอสาวบริสุทธิ์ที่ถูกคัดเลือกมาจากบรรดาเจ็ดอสูรแห่งกิวดาลาส หน้าตาก็งั้นๆไม่เท่าไหร่เลย แถมไม่เห็นจะมีดีอะไรเลยนอกจากมีศักดิ์เป็นองค์หญิงแห่งอาณาจักรเหลียนฟาง หึ”
เขาพูดจาดูถูกนางและว่าทอนางทำให้ว่านเจี๋ยไม่พอใจเป็นอย่างมากที่ได้ยินแบบนั้น แต่นางต้องเงียบไว้เพราะว่านางต้องแก้แค้นกับสิ่งที่พวกเขาได้ทำกับนางเอาไว้ก่อน
“ท่านพี่ครับข้าว่านางก็ยังพอมีดีอยู่บ้างในตัวนั่นแหละ มิอย่างนั้นท่านอสูรทั้งเจ็ดจะเลือกนางกันทั้งหมดเลยอย่างนั้นหรอ”
อย่างที่ว่านเจี๋ยคิดทั้งสองคนเป็นพี่น้องฝาแฝดกันจริงๆด้วย แต่ผมดำเป็นฝ่ายน้องส่วนผมขาวเป็นฝ่ายพี่
“ข้าควรจะทำยังไงกับนางดีล่ะชิโร่กามะ”
ฝ่ายพี่ได้ถามน้องชายว่าควรจะทำยังไงกับเธอดี ซึ่งนางก็ได้ยินสิ่งที่ทั้งสองคนกำลังคุยกันอยู่ในตอนนี้
“ท่านพี่อยากจะกินนางเหมือนที่กินแม่นางก่อนๆไหมล่ะครับ ข้าว่ามันก็ดีเหมือนกันนะถ้าได้กินนางเข้าไปคงจะอยู่ได้อีกหลายพันปีเลย”
สายตาของฝ่ายน้องได้จ้องมองมาที่นางราวกับว่าจะกินนางเข้าไปทั้งเป็นในตอนนี้ นางไม่ได้หลบตาของฝ่ายน้องเลยแม้แค่น้อยเพราะนางไม่ได้เกรงกลัวการตายสักเท่าไหร่ นางคิดเพียงว่าถ้าจะตายนางก็ขอตายอย่างมีศักดิ์ศรี
“งั้นก็ได้แต่ก่อนกินข้าอยากเห็นนางรำสักหน่อย นี่แม่นางเจ้าลองเริงระบำให้ข้าดูเป็นขวัญตาหน่อยสักเพลงซิ ถ้าเจ้ารำสวยข้าจะใช้วิธีที่ไม่ให้เจ้าตายแบบทรมานให้เลย”
สิ่งที่เขาพูดก็ทำให้นางได้รู้เลยว่าถึงจะตายด้วยวิธีใดนางก็ไม่มีวันรอด สิ่งที่ว่านเจี๋ยจะทำในตอนนี้ก็คือปิ่นปักผมที่อยู่บนหัวของนางสามารถที่จะฆ่านางได้ในพริบตา และนางคิดที่จะฆ่าตัวเองในตอนนี้ แต่แล้วเมื่อนางเอามือยื่นไปจับที่ผมของนางกลับไม่มีปิ่นปักผมอยู่ ปิ่นของนางหายไปไหนกันนะ นี่คือสิ่งที่นางกำลังคิด และบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในหัวของนาง
“หรือว่าจะเป็น..” ว่านเจี๋ยสบดออกมาแล้วก็คิดกลับไปในตอนที่นางอยู่ที่บ้างของหยินห่าว ก่อนที่นางจะออกไปจากที่นั่นนางกำลังนอนอยู่ เมื่อเธอได้ตื่นขึ้นและกำลังจะเดินทาง นางได้กอดลาหยินห่าว น่าจะเป็นตอนนั้นหยินห่าวได้หยิบปิ่นปักผมของนางออกมาเป็นแน่ ถึงหน้าตาจะดูเป็นมิตรแต่ที่แท้ก็เป็นเพียงหัวขโมยแก่ๆคนหนึ่งสินะ ด้วยความที่ปิ่นปักผมของนางเป็นทองและเป็นของเธอที่มีศักดิ์เป็นถึงองค์หญิงเลยทำให้ของสิ่งนั้นมีค่ามากเมื่อเอาไปขาย
“ข้าไม่อยากรอนานนะอย่าให้ข้ารอเร็วเข้าถ้าไม่อยากตายอย่างทรมาน”
ชายผมขาวได้พูดขึ้นอีกครั้งก่อนที่ว่านเจี๋ยจะมองไปทางเขา และใช้เฮือกสุดท้ายของนางในการพูดไป
“เราจะไม่ทำในสิ่งที่ท่านของหรอกนะ ไม่ว่าอย่างไรเราก็จะไม่ทำเป็นอันขาด ถ้าท่านจะทำอะไรกับเราก็ตามใจเลย เรายอมตายแต่ไม่ยอมเสียศักดิ์ศรีลดตัวไปทำตามผู้ใดที่ไม่ใช่ครอบครัวของเราหรอกนะ”
ทุกคนต่างพากันซุบซิบเสียงดังเมื่อได้ยินนางพูดเช่นนั้น
“ทุกคนหุบปากเดี๋ยวนี้มิอย่างนั้นข้าจะฆ่าพวกเจ้าในทันที”
ชายผมดำได้พูดขึ้นก่อนที่ทุกคนจะเงียบลงและพากันก้มหัวในทันที ชายผมดำลุกขึ้นและเดินเข้ามาหานางอย่างช้าๆ
“ไม่มีใครที่ไม่เคยทำตามคำสั่งข้ามาก่อนเลยนะเจ้ารู้หรือไม่แม่นางแห่งเหลียนฟาง ถ้าเจ้าไม่ทำข้าจะบังคับเจ้านะ?”
ว่านเจี๋ยเงยหน้าไปมองเขาก่อนที่จะลดหน้าลงมาแล้วไม่ได้พูดอะไร เขาเงยหน้าขึ้นให้อยู่ในระดับกลางๆก่อนที่จะหึออกมา
“ข้าสั่งให้เจ้าร่ายรำให้ข้าดูเป็นขวัญตาณบัดนี้” ก่อนที่เขาจะชูมือลงมาที่เธอ แต่ว่าก็ไม่เกิดผลใดกับเธอเลยแม้แต่น้อยทำให้สีหน้าของเขาเปลี่ยนไป
“มันเกิดอะไรขึ้นงั้นรึท่านพี่โลโยดะ” น้องชายของเขาได้พูดขึ้นก่อนที่เขาจะหันไปมองหน้าของน้องชาย
“ข้าไม่แน่ใจเช่นกันหรือว่าข้าพักผ่อนไม่เพียงพอกันนะ”
เขาพูดซ้ำอีกครั้งแต่มันก็ไม่เกิดอะไรขึ้นเลยเป็นครั้งที่สอง หน้าตาของเขาเปลี่ยนไปก่อนที่เขาจะเดินกลับไปนั่งที่เก้าอี้ตัวนั้นเหมือนเดิม
“ข้าว่าน่าจะมีอะไรบางอย่างที่ทำให้พลังของท่านพี่ไม่แสดงผลออกมา ลองทำใส่ผู้อื่นดูไหมครับท่านพี่”
น้องชายของนางได้พูดอีกครั้งหนึ่งเป็นการแนะนำ โลโยดะพยักหน้าให้น้องชายก่อนจะมองไปที่ขุนนางชั้นสูงที่พากันยืนอยู่ที่นี่
“งั้นเจ้าอ้วนคนนั้นน่ะ ข้าสั่งให้เจ้าเดินไปหาโอทาโร่แล้วก็ไปก้มกราบมันซะ”
จากตาสีขาวดำธรรมดาเปลี่ยนไปเป็นสีดำในทันทีซึ่งดำไปหมดทั้งตาเลยทำให้ว่านเจี๋ยตกใจเป็นอย่างมาก จากนั้นคนที่โดนสั่งก็มีสายตาเป็นสีแดงแล้วเริ่มเดินไปหาเจ้าสนุขทั้งสองตัวที่เฝ้าอยู่หน้าประตูก่อนจะก้มลงไปกราบสุนัขตัวนั้นในทันที
“ก็ได้ผลดีนี่นาแต่ทำไมไม่สามารถใช้กับแม่นางคนนี้ได้ล่ะ”
ทั้งสองคนพากันมองหน้ากันและกันก่อนจะมองหน้ามาที่นางอีกครั้ง
“งั้นข้าขอลองใช้พลังของข้าหน่อยจะได้ไหมครับท่านพี่”
ฝ่ายน้องขอพี่ของตัวเองเพื่อที่จะลองใช้พลังของเขาใส่ว่านเจี๋ยบ้าง และแน่นอนว่าพี่ของเขาตกลงที่จะให้ใช้ดู เขาเดินไปหาว่านเจี๋ยก่อนที่จะมองเข้าไปในตาของนาง
“จงบอกข้าทีว่าเจ้าอยากจะทำอะไรในตอนนี้” ทุกอย่างเงียบอีกครั้งทำให้เขาจากที่ยิ้มๆอยู่กลายเป็นหุบยิ้มในทันที
“เป็นไปไม่ได้มันต้องไม่เป็นแบบนี้สิ ข้าว่าแม่นางผู้นี้ต้องมีอะไรบางอย่างในตัวเป็นอันแน่เลยครับท่านพี่”
อะไรที่ทำให้สองคนนี้คิดแบบนี้กับนางกัน แล้วนางจะทำอย่างไรกันในตอนนี้นางจะสามารถรอดออกไปจากที่นี่ได้หรือไม่