ตอนที่ 155 หนึ่งปีที่ผ่านไป 1
ณ เมืองท่าหลักของราชอาณาจักรโซลดุน ปิริส....
มันเป็นท่าเรือนานาชาติแห่งเดียวในทวีปที่มีเรือเดินทางมุ่งตรงไปยังทวีปตะวันออก และเป็นเส้นชีวิตของราชอาณาจักรชายฝั่ง ดังนั้นอำนาจของมาร์ควิสปิริสนั้นจึงพิเศษอย่างมาก เพราะเขาเป็นผู้รับผิดชอบของท่าเรือที่สำคัญนี้ มีเรื่องตลกที่บอกว่าเหล่านกจะตัวสั่นและบินหนีไปจากเขาเพียงแค่พบเห็น
อย่างไรก็ตาม แม้ว่าเขาจะเป็นมาร์ควิสปิริสก็ตาม แต่ในวันนี้เขาต้องทำตัวสุภาพ เนื่องจากแขกผู้มาเยือนคฤหาสน์ของเขานั้นคือเจ้าชายรัชทายาทแห่งราชอาณาจักรโซลดุน
"ขอสรรเสริญแด่ลูกหลานขององค์ราชาแห่งท้องทะเลผู้ยิ่งใหญ่!ข้าน้อย มาร์ควิสปิริส เดวิด เอล ปิริส รู้เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ต้อนรับเจ้าชายรัชทายาท"
"มันก็ผ่านมานานแล้่วนะ ท่านมาร์ควิส เราต้องขออภัยด้วยที่มาอย่างกะทันหัน"
เจ้าชายรัชทายาทนั้นมีเรือนผมสีมะนาวและดวงตาที่เหมือนทะเลซึ่งสืบทอดกันมาในราชวงศ์โซลดุน เขามีสีที่ราวกับเจ้าชายในเทพนิยาย ซึ่งทำให้หญิงสาวจำนวนมากไม่สามารถที่จะนอนหลับได้ลงในกลางคืน แม้ว่าเขาจะอายุเพียง26ปี แต่เขาได้รับการแต่งตั้งให้เป็นจ้าวสมุทรแห่งราชอาณาจักรโซลดุนคนต่อไป
มาร์ควิสปิริสกล่าวแก่เขาด้วยท่าทางลำบากใจ "กระหม่อมขออภัย ฝ่าบาท แต่กระหม่อมไม่ได้บอกให้ท่านลอบมาที่นี่งั้นหรือ?"
"นั่นมันช่วยไม่ได้"เอลซิด ถอนหายใจและส่ายหน้า "ทันทีที่เราออกจากวัง คนของดยุคคอร์นเวลล์ก็ไล่ตามเรา หากองครักษ์ของเราไม่ขัดขวางพวกมันไว้ เราคงจะไม่สามารถซ่อนรอยเท้าเราไว้ได้"
มาร์ควิส ปิริสบดขยี้ฟันของเขาและเกร็งจนเส้นเลือดปูดบนหน้าผาก ดวงตาสีน้ำตาลของเขาเต็มไปด้วยความโกรธที่ไม่สามารถควบคุมได้ "คอร์นเวลล์.....ไอคนทรยศนั้นคงจะเป็น....!"
ตั้งแต่สมัยโบราณ ราชอาณาจักรโซลดุนนั้นต้องยอมจำนนต่ออาณาจักรอื่นๆสืบเนื่องจากลักษณะทางภูมิศาสตร์ที่เป็นเอกลักษณ์ มันเป็นเรื่องยากที่จะปลูกพืชตามแนวชายฝั่งและประชากรของราชอาณาจักรโซลดุนนั้นไม่เพียงพอที่จะรักษาชายแดนไว้ได้จากอาณาจักรอื่นๆ
เมื่อครึ่งศตวรรษก่อน การค้าขายกับทวีปฝั่งตะวันออกได้เปิดขึ้น แต่เหล่าขุนนางในราชอาณาจักรอื่นๆกำลังยุ่งอยู่กับการเก็บเกี่ยวผลประโยชน์จากราชอาณาจักรโซลดุนที่แสนมั่งคั่ง
ดยุคคอร์นเวลล์ ผู้ที่เป็นเครือญาติในราชอาณาจักรคาร์กาส นั้นเป็นคนที่โดดเด่นที่สุดในหมู่พวกมัน เขากล้าแม้กระทั่งลอบติดตามการกระทำของเจ้าชายเอลซิด
"เอาละ หยุดเรื่องที่ไม่พอใจนั้นลงซะ ตอนนี้ไม่มีอะไรที่พวกเราสามารถทำได้ เราจำเป็นต้องทำในสิ่งที่พวกเราจะสามารถทำได้"
"....ฟู่ ฝ่าบาท คำพูดของท่านถูกต้อง กระหม่อมรู้สึกร้อนใจเกินไป"
แม้จะด้วยคำพูดของเจ้าชายก็ตาม มาร์ควิสปิริสก็ยังไม่สามารถลบใบหน้าที่โกรธเกรี้ยวไปได้ การกระทำของดยุคคอร์นเวลล์มักจะทำให้เหล่าผู้ภักดีโกรธเสมอ เจ้าชายเอลซิดรู้เรื่องนี้และรู้สึกขอบคุณ แต่เรืองที่พวกเขาคุยกันตอนนี้ไม่ได้เกี่ยวกับคนทรยศ
"ยิ่งไปกว่านั้น ท่านมาร์ควิส เกี่ยวกับเรื่องนั้นละ?"เอลซิดกระซิบถามด้วยเสียงต่ำ
"โปรดอย่ากังวลไปเลยฝ่าบาท พวกเราได้กำไรมหาศาลเลยทีเดียว"มาร์ควิสปิริสตอบด้วยรอยยิ้มเล็กๆ
ผู้คนที่จงรักภักดีบางคนรวมถึงเจ้าชายรัชทายาทได้ผลักดันแผนการนี้มาเป็นเวลาสิบปี ตอนนี้ พวกเขาประสบความสำเร็จในบางอย่างแล้ว
เป็นไปไม่ได้ที่คนของราชอาณาจักรโซลดุนจะเอาชนะเงื่อนไขที่ไม่พึ่งปราถนาเหล่านี้ด้วยความเข้มแข็งของตนเอง สถานะชายแดนของราชอาณาจักรคาร์กาสและราชอาณาจักรไลร่อน กำลังยุ่งอยู่กับการปราบปรามพวกเขา และพื้นที่เพียงแห่งเดียวที่ไร้ซึ่งอุปสรรคก็คือทางใต้ซึ่งมีหนองน้ำเป็นม่านป้องกัน
ดังนั้น ผู้คนของราชอาณาจักรโซลดุนจึงหันสายตาของพวกเขาไปยังทวีปที่อยู่ในทะเลอันไกลโพ้น(ทวีปนี้น่าจะฝั่งตะวันตก ที่กล่าวถึงน่าจะตะวันออก เอเชียมั้ง)
"กระหม่อมได้รับคำสัญญาจากตระกูลที่มีชื่อเสียงของดินแดนเซี่ยตะวันตกในภูมิภาคตะวันออกว่าพวกเขาจะย้ายมาอยู่ที่ปิริส"(น่าจะที่เดียวกับลี ยองซุก มั้ง ไม่รู้นะ)
"ในที่สุด!"เป็นข่าวที่น่ายินดี ใบหน้าของเอลซิดเชิดฉายขึ้นราวกับดวงอาทิตย์
หากเขาไม่สามารถเพาะเมล็ดได้ งั้นเขาก็จะนำเข้ามัน โชคดีที่อาณาจักรโซลดุนมีอำนาจทางการเงินที่มหาศาล เพื่อชดเชยกับการขาดอำนาจทางการทหาร พวกเขาสัญญาว่าจะให้ชื่อเสียง เงินทอง ที่ดินที่อุดมสมบูรณ์และของมีค่า
"พวกเขาคือตระกูลแพค และพวกเขามีอำนาจทางทหารอย่างมากในดินแดนตะวันตกของเซี่ย"(แพค=ป่าย ในภาษาจีน ดูเหมือนจะเป็นตระกูลจีน แต่เนื่องจากชื่อสมาชิกในครอบครัวทั้งหมดเป็นภาษาเกาหลี เลยเลือกการสะกดเป็นภาษาเกาหลีนะครับ)
"โฮ่ ตระกูลที่มีชื่อเสียงกำลังอพยพ?"
"พะยะค่ะ กระหม่อมได้ตรวจสอบมันแล้ว"มาร์ควิสปิริส เล่าเนื้อหาของรายงานว่า "เมื่อ30ปีก่อน ได้มีการต่อสู้กับดินแดนตอนกลาง ตระกูลนั้นต้องรับผิดชอบต่อความพ่ายแพ้และถูกปลดออกจากกองทัพ สถานที่ของตระกูลแพค ต่างถูกยึดโดยตระกูลอื่นๆและตอนนี้พวกเขาถูกทิ้งให้โดดเดี่ยวท่ามกลางการเมืองและเศรษกิจ"
"ข้อเสนอของพวกเราจึงดึงดูดพวกเขา"
"พะยะค่ะ มีคนกล่าวว่าผู้นำตระกูลแพค กำลังพาทุกคนในครอบครัวและข้าวของมายังปิริส พวกเขาอาจจะมาถึงในวันนี้หรือพรุ่งนี้"
เอลซิดอดที่จะกำหมัดแน่นไม่ได้ เนื่องจากอำนาจทางทหารที่แสนจะอ่อนแอของพวกเขา พวกเขาจึงถูกบังคับให้พึ่งพาเรือจากชาติอื่นๆ
อย่างไรก็ตามความอัปยศอดสูจะสิ้นสุดลงเพียงเท่านี้ บนทวีปตะวันออก พลังของศิลปะการต่อสู้นั้นได้ถูกพัฒนาขึ้นเมื่อระดับของเวทมนต์นั้นได้ลดลง หากมีนักรบสองคนที่อยู่ในระดับเดียวกัน นักรบจากภูมิภาคตะวันออกจะแข็.แกร่งกว่า หากมีสองคนมาจากอาณาจักรนั้น คนหนึ่งจะต้องเป็นปรมาจารย์ดาบ
เช่นเดียวกับตระกูลแพคที่อพยพมาที่นี่
"ในทวีปตะวันออก ปรมาจารย์ดาบจะเรียกว่าผู้เชี่ยวชาญ"
ผู้นำตระกูลแพค แพค จุงเมียง เป็นผู้เชี่ยวชาญ มันไม่เป็นที่แน่ชัดว่าทำไมเขาถึงได้รับการลงโทษในดินแดนเซี่ยตะวันตก แต่เขาก็เปรียบได้กับกองทัพจำนวนหลายพันนาย
ตระกูลแพค มีผู้ใช้ออร่าถึง100คน รวมทั้งปรมาจารย์ดาบ นี่เป็นอำนาจที่มากพอจะเปลี่ยนความสมดุลไปทางเจ้าชายรัชทายาท แม้ว่ากองกำลังของดยุคคอร์นเวลล์และพันธมิตรของเขาจะรวมกัน
"....ท่านทำผลงานได้ดีจริงๆ ท่านมาร์ควิส เราจะไม่มีวันลืมความช่วยเหลือของท่าน"
"มันเป็นเรื่องธรรมดา เมื่อพิจารณาถึงหน้าที่ของกระหม่อมในราชอาณาจักร คำพูดของท่านก็เพียงพอแล้ว สิ่งสำคัญก็คือสิ่งที่จะเกิดขึ้นนับจากนี้ต่างหาก"
เอลซิดพยักหน้าต่อความภักดีของเขา "แน่นอน มันเป็นหน้าที่ของเราที่จะโอบอุ้มพวกเขาไว้ภายใต้คนของเราและจะทำให้พวกเขาเป็นคมดาบแห่งราชอาณาจักรโซลดุน"
เจ้าชายหนุ่มกล่าวปฏิญาณตนว่าอาณาจักรจะต้องไม่อ่อนแอในยุคของพระองค์ เพื่อเป้าหมายนั้น เขาจะต้องจ่ายเท่าไรเขาก็ยอม เขาจ้องมองแสงแดดที่ลอดผ่านหน้าต่างก่อนที่จะมองไปที่มาร์ควิสอีกครั้ง
"นั่นทำให้ฉัน นึกถึงเกี่ยวกับคฤหาสน์ที่จะมอบให้พวกเขา?"
"หืม?"
"มีอยู่ที่หนึ่ง มันมีราคาแพง แต่มันถือเป็นปราสาทที่ดี มันสามารถที่จะสร้างความภาคภูมิใจให้กับพวกเขาได้"เอลซิด ได้ทำข้อเสนอแนะหลังจากมองย้อนกลับผ่านไปในความทรงจำของเขา
คฤหาสน์ที่เขาเคยเห็นในอดีตนั้นสมบูรณ์แบบมากสำหรับจุดประสงค์นี้ มันเป็นคฤหาสน์ที่สร้างไว้อย่างดี แต่สถานที่ตั้งนั้นไม่ค่อยดีมากนัก ข้อเสียคือมันถูกสร้างขึ้นบนเนินเขาและบริเวณโดยรอบนั้นเป็นคฤหาสน์ทั้งหมด ทำให้ราคามันเพิ่มขึ้นอย่างมาก นี่ก็เพียงพอที่จะทำให้คนที่สนใจถอนหายใจและถอยกลับไป
อย่างไรก็ตาม มันเป็นเรื่องที่แตกต่างไปหากมันถูกมอบให้เป็นของขวัญแก่ใครสักคน มันไม่สามารถที่จะขายได้เลย ดังนั้นจึงเป็นการดีที่จะใช้คฤหาสน์นี้เพื่อสร้างความประทับใจ เนื่องจากพวกเขาเป็นนักรบที่อาศัยอยู่บนเนินเขาอยู่แล้ว
อย่างไรก็ตาม มาร์ควิสปิริสกลับแสดงปฏิกิริยาแปลกๆ"อืม เอ่อ นั่น...."
"หืม?มีปัญหาอะไรงั้นหรือ?"
มาร์ควิสปิริสเงียบชั่วขณะก่อนที่จะอธิบายด้วยท่าทางน่ากลัว "คฤหาสน์ที่ท่านกล่าวถึงได้ถูกขายไปแล้ว"
"หะ?"เอลซิดไม่สามารถที่จะซ่อนความไม่เชื่อใจได้"ราคามันไม่ใช่1000เหรียญทองงั้นหรือ?ใครกันที่บ้าพอที่จะซื้อคฤหาสน์นั้นด้วยราคานี้?ตามกฏหมายของราชอาณาจักร แม้ว่าราคานั้นจะลดลงก็ตาม แต่ก็จะไม่น้อยไปกว่า800เหรียญทองใช่หรือไม่?"
"มันไม่ได้ลดลงเลย คนที่จ่ายๆด้วยราคา1000เหรียญทอง"
ดังนั้น มาร์ควิสปิริสจึงขาดมันโดยไม่ลังเล เขายิ้มด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น อันที่จริงจากตำแหน่งเขา คฤหาสน์ที่ไม่ได้ใช้งานนั้นเป็นค่าใช้จ่ายที่สิ้นเปลือง ดังนั้นมันจึงเป็นธรรมชาติที่เขาต้องการจะกำจัดมันโดยเร็ว
เอลซิดไม่รู้ว่าเขารู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ขณะที่เขาเดาะลิ้น "จิ๊ พวกเขาช่างมือใหญ่นัก ขุนนางงั้นหรือ?"
"พะยะค่ะ บางที เขาไม่ได้พูดด้วยปากของเขา แต่การกระทำของเขาแสดงให้เห็น"
"การกระทำ"
มาร์ควิสปิริสพยักหน้าและอธิบาย "เขาถูกติดตามโดยคนที่ดูเหมือนจะเป็นผู้คุ้มกัน แม้ว่ากระหม่อมจะไม่ได้เชี่ยวชาญในด้านดาบ แต่ผู้คุ้มกันของเขาดูเหมือนจะผิดปกติ ผู้ซื้อดูเหมือนกำลังปิดบังตัวตนของเขาอยู่"
"อืม.....มันเกิดขึ้นประมาณ1ปีที่แล้ว เขาอยู่อาศัยเช่นไร?"
"มีผู้ไปเยื่ยมเยือนเป็นครั้งคราว แต่เขาไม่ค่อยออกจากคฤหาสน์นัก อ่า!เขามีชื่อเสียงในด้านการซื้อหนังสือเวทมนต์ต้นฉบับในราคาแพงประมาณ3หรือ4เท่าจากราคาปกติ ดังนั้น จึงมีบางครั้งที่ผู้คนมาจากอาณาจักรอื่นๆเพื่อขายเขา"
ขณะที่เจ้าชายกังวลเกี่ยวกับมัน มาร์ควิสก็จำชื่อทั้งสองคนได้
"ชายหนุ่มผู้ซื้อคฤหาสน์ชื่อเท็ดและผู้คุ้มกันของเขาชื่อ อดอล์ฟ นั่นคือชื่อของพวกเขา"
"เท็ดกับอดอล์ฟ...."
มันเป็นเรื่องปกติที่จะหาคนสามหรือสี่คนที่มีชื่อเดียวกันจากหมู่บ้านในตอนเหนือและตอนกลางของทวีป หากเป็นเช่นนั้นชื่อเหล่านี้อาจจะเป็นนามแฝง ขณะที่เอลซิดจ้องมองไปยังเนินเขาที่คฤหาสน์ตั้งอยู่ เขาตัดสินใจว่าเขาจำเป็นต้องแวะเวียนไปเยี่ยมชมสักครา
ตัวแปรได้ปรากฏออกมาจากที่ใดไม่ทราบและเขาไม่ทราบว่ามันดีหรือไม่ มันเป็นสิ่งที่เขาไม่อาจจะทำความเข้าใจได้
***
จิ้บ จิ้บ จิ้บ
เช่นเคย เสียงนกนางนวลดังร้องจากฟากฟ้าขณะที่สายลมพัดพากลิ่นของทะเลมา
"วันนี้อากาศดีจัง"ธีโอดอร์พึมพำขณะที่เขามองไปที่หนังสือเล่มหนาบนโต๊ะทำงานของเขาและลูบหัวมิตราผู้ที่กำลังนอนอยู่ในกระถางดอกไม้เบาๆ
หนึ่งปีได้ผ่านมานับตั้งแต่ที่เขาได้ออกมาจากหมุ่เกาะโจรสลัดและเขาก็ได้โตกว่าเดิม ใบหน้าของธีโอนั้นดูคมเข้มกว่าเดิมเนื่องจากเขาต้องเผชิญกับความยากลำบากและความลึกลับมามากมาย
มิตรานอนกรนออกมาขณะที่หลับ [ฮู้ววววว....ฮออออ....]
ธีโอดอร์ยิ้มให้กับการกรนที่น่ารักและคิดย้อนกลับไปตอนที่เขามายังอาณาจักรโซลดุน
ตั้งแต่ที่ธีโอดอร์และแรนดอล์ฟออกจากหมู่เกาะโจรสลัด ไม่มีใครที่ติดตามพวกเขามา ดังนั้นในปีที่ผ่านมา ธีโอดอร์และแรนดอล์ฟจึงมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาทักษะของพวกเขา แรนดอล์ฟได้ฝึกฝนในเรื่องความสามารถพลังออร่า ขณะที่ธีโอดอร์กำลังค้นคว้าเกี่ยวกับวิธีการเข้าถึงระดับถัดไป
'ความก้าวหน้าของฉันนั้นไม่เลว แต่....'ธีโอดอร์มองออกไปนอกหน้าต่างด้วยท่าทางที่ไม่ค่อยพอใจ
มีหลายสิ่งที่เขาได้รับในช่วงเวลานี้ แต่ยังคงต้องใช้เวลาที่มากกว่านี้เพื่อที่จะไปถึงเป้าหมาย แต่มันทำให้เขารู้สึกประสาทกับกำหนดเวลาที่ใกล้เข้ามา
ตอนนี้ธีโอดอร์กำลังเผชิญหน้ากับกำแพงของวงกลมที่7 กำแพงแห่งจ้าวมนตรา(ขอเรียกขั้น7ว่าจ้าวมนตราน้า) เขาต้องการเพียงก้าวเดียวเท่านั้นที่จะหนีจากขอบเขตของมนุษย์ มันเป็นขอบเขตที่ซึ่งไม่สามารถเข้าถึงได้ง่าย แม้จะด้วยพลังของความตะกละก็ตาม
"มีเวลาอีก1ปีครึ่ง"
เกือบจะครึ่งหนึ่งของกำหนดเวลาสามปี ซึ่งไมน์ดัลได้มอบให้แก้เขาที่ต้นไม้โลก ได้ผ่านพ้นไปแล้ว
แน่นอนว่ายังมีเวลาเหลืออยู่อีกเนื่องจากหนังสือต้นฉบับที่เขาได้กินไป อย่างไรก็ตาม ทางออกที่สำคัญก็คือธีโอดอร์จะต้องกลายเป็นจ้าวมนตราซึ่งจะทำให้แก่นพลังนั้นเกินขีดจำกัด ดังนั้นจึงไม่ต้องกังวลว่าแก่นพลังของเขาจะเต็มอีก
"เห้อ..."
อย่างไรก็ตาม หากมันเป็นเรื่องง่าย ทั้งทวีปคงปกคลุมไปด้วยผู้เชี่ยวชาญสูงสุดกันหมดแล้ว
ธีโอดอร์ถอนหายใจและปิดตาของเขา จมดิ้่งเข้าไปภายในตัวเขา เขามุ่งความสนใจไปที่วงกลมภายในร่างกายเขา จอมเวทย์สามารถวินิจฉัยร่างกายของพวกเขาได้เช่นเดียวกับที่นักรบสามารถทำได้ด้วยพลังออร่า วงกลมปรากฏขึ้นตรงหน้าธีโอดอร์
เช่นเดียวกับเครื่องจักรที่มีความซับซ้อน วงกลม6วงได้ซ้อนเข้าด้วยกัน วงกลมที่7มีเพียงรูปโครงเกิดขึ้นและนิ่งเฉยอย่างเกียจคร้าน ธีโอดอร์ไม่เข้าใจว่าเขาขาดอะไร
'จำเป็นต้องมีโอกาส'
ท้ายที่สุดเขาต้องการโอกาสที่จะเอาชนะความเฉื่อยชานี้