เล่มที่ 2: บทที่ 5-1 ( Alien)
เล่มที่ 2: บทที่ 5-1 แปลโดยกิลด์เทพอสูร
บนจอภาพ มีเอเลี่ยน 2 ตัวกำลังวิ่งไปตามเส้นทางที่ซวนคาดการณ์ไว้ เอเลี่ยนที่พึ่งเกิดใหม่อีก 4 ตัวก็ตามมาด้วยเช่นกัน ขณะนี้ทุกคนกำลังจดจ่ออยู่กับแผงหน้าจอภาพ
ถึงแม้ว่าพวกเขาตัดสินใจที่ไปตามทางของตัวเอง แม้ว่าเอเลี่ยนจะไม่ได้จากไปทั้งหมด แต่มันก็เกี่ยวข้องกับอัตราการอยู่รอดของพวกเขา ดังนั้นเจิ้งจึงจดจ่อกับจอภาพอย่างจริงจัง
“ตัวสุดท้ายมันหายไปไหน ... อีกตัวอยู่ไหน? อีกตัว...” ซวนพึมพำกับตัวเองด้วยความสับสน แล้วหันกลับมาด้วยใบหน้าที่ซีดเผือดพร้อมกับเหงื่อเม็ดโตที่ผุดขึ้นมาจากหน้าผากของเขา จู่ ๆ หลานก็พูดขึ้นมาว่า “ในพล็อตเดิมมีตัวละครเพียง 7 ตัว หุ่นยนต์ 1 ตัว กับ มนุษย์ 6 อีกคน ตอนที่นายนับจำนวนเอเลี่ยน นายได้บวกตัวละครหลักเข้าไปด้วยรึเปล่า? นี้แค่หนังเรื่องแรก ...”
ซวนตระหนักได้ในทันที เขารีบกดบางปุ่มบนแผงควบคุมบนจอภาพผนังหลายบานเริ่มเคลื่อนตัวลงเพื่อปิดกั้นการเคลื่อน ไหวของเอเลี่ยน พวกมันถูกบังคับให้วิ่งไปยังทิศทางอื่น เอเลี่ยนค่อยๆ ถูกบีบเส้นทางให้อยู่ห่างออกไปตรงมุมผนังแล้วมันก็ถูกขังติดอยู่ภายใน ตอนนี้เส้นทางไปยังคลังอาวุธได้ถูกเคลียร์เรียบร้อยแล้ว
ทั้ง 6 คนสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ เจิ้งเอ่ยถามหลาน “เมื่อกี้คุณพูดว่าไงนะ? มีเอเลี่ยนหายไป? ทำไมซวนถึงเอาผนังลงผนังที่คุณพูดถึงหนังเรื่องแรก?”
หลานหัวเราะ “เพราะหนังภาคแรกตัวละครหลักตายหมดน่ะสิ เขาคงพึ่งคิดได้? แล้วถ้าราชินีถูกฆ่าตายแล้วนายคิดว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับตัวที่ 1...2...3 หรือ 4 งั้นเหรอ? คิดว่าพวกมันจะอยู่เฉยๆ งั้นเหรอ? เป็นไปได้ว่าเรากำลังเผชิญหน้ากับเอเลี่ยน 5 ตัว ราชินี 1 ตัว เพราะอีกตัวที่ถูกนายฆ่าตายไปแล้ว อีก 3 ตัวอยู่ในกับดัก แล้วอีก 1 ตัวมันหายไปไหน.”
เจิ้งคิดอยู่ชั่วครู่ “แล้วถ้าตัวละครหลักของหนังเรื่องนี้ถูกสร้างขึ้นมาใหม่? ถ้ามีเอเลี่ยนอยู่ถัดจากห้องเบอร์ 15 ลงไปล่ะ?”
เสียงของซวนดังมาจากด้านข้าง “นี่เป็นข้อสันนิษฐานของความน่าจะเป็นภายใต้สถานการณ์ต่าง ๆ ผมมักจะเลือกทางที่เป็นไปได้สูงสุด ตราบใดที่มันมีโอกาสสำเร็จสูงกว่า 50% ผมก็ถือว่าคุ้มค่าที่จะลอง.”
เจิ้งแสยะยิ้มอย่างดูถูก “แม้ว่ามันจะหมายถึงนายต้องเสี่ยงชีวิตน่ะเหรอ? นายจะรับได้ยังงั้นเหรอกับการที่ถูกซุ่มโจมตีจากเอเลี่ยนที่ซ่อนตัวอยู่?
ซวนตอบอย่างใจเย็น“ใช่. ถึงต้องเสี่ยงชีวิตก็ตาม ผมก็จะเลือกทางที่เป็นไปได้สูงสุดเสมอ ที่นายพูดถึงชีวิตของผม แบบนี้ ตอนนี้นายวางแผนที่จะแยกกลุ่มใช่ไหม”
เจิ้งพยักหน้า "ใช่. ฉันทนอยู่ข้างเดียวกับนายไม่ได้อีกต่อไปแล้ว! ถ้าเกิดฉันบาดเจ็บขึ้นมานายคงคิดว่าฉันเป็นตัวถ่วง แทนที่ฉันจะตกอยู่ในสถานการณ์แบบนั้น ฉันเลือกเชื่อใจพลังของตัวเองดีกว่า! ฉันไม่ไว้ใจนาย เหมือนอย่างที่แคมปาเคยพูด ว่าไม่สามารถเชื่อใจนายได้!”
“ยังงั้นเหรอ?” ซวนหันมองรอบ ๆ “โชคร้ายนะ ผมเคยพูดว่าผมจะตัดคนที่ไร้ประโยชน์ต่อทีม เช่นเดียวกับคำถามเรื่องความน่าจะเป็น เขาเป็นคนที่ไร้ประโยชน์ แล้วเขาล้มเหลวในการทดสอบของผม ผมทำทุกอย่างเท่าที่จะทำกับเขาได้แล้ว ผมพยายามอย่างสุดความสามารถเพื่อช่วยเพื่อนร่วมทีม ผมยอมรับทราบว่า ผมคิดหาวิธีเพื่อจะทำให้คนส่วนใหญ่ได้อยู่รอด.”
เจิ้งพูดว่า“จะเกิดอะไรขึ้นถ้าฉันกำลังติดอยู่ในสถานการณ์ ที่สิ้นหวัง ด้วยความน่าจะเป็นของนายถ้าโอกาสที่จะช่วยนั้นต่ำ แต่ก็ยังคงพอมีโอกาสอยู่บ้าง นายจะทำยังไง?”
“ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ ถ้าชีวิตของนายสำคัญมาก ผมก็จะช่วยนายไม่ว่าเสียเท่าไหร่ก็ตาม กลับกันถ้านายทำให้ทีมต้องตก อยู่ในสถานการณ์อันตราย ผมก็จะทิ้งคุณ.”
“หยั่งงั้นเหรอ?”
เจิ้งนิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง พร้อมพูดขึ้นอย่างเยือกเย็นว่า “ใช่ ฉันคิดว่าวิธีของนายอาจจะเหมาะแค่กับนายเท่านั้น ฉันรับไม่ได้กับวิธีพวกนี้มันทำให้ฉันรู้สึกเสียวสันหลัง อย่ามาใช้วิธีชั่วๆ โดยเอาความปลอดภัยของทีมมาอ้าง เพราะจริงๆ แล้วนายก็แค่อยากให้ตัวเองปลอดภัยก็เท่านั้น นายไม่คิดว่ามันสกปรกไปหน่อยเหรอที่หลอกพวกเราด้วยวิธีแบบนี้? นายเก็บเอาไว้ใช้กับทีมของนายเถอะ แล้วถ้าทีมอยากให้นายเสียสละตัวเองล่ะ นายจะทำยังไง? นายได้คิดเผื่อไว้รึเปล่า นายคงอาจจะคิดถึงทุกคน แล้วก็ใช้ทุกวิถีทางเพื่อหาคนมาแทนนาย.”
ซวนยิ้ม “แล้วถ้าเป็นนายล่ะ นายจะทำยังไง?”
เจิ้งกำลังรวบรวมเก้าอี้ทั้งหมดที่อยู่ในห้องนี้ เขาตอบโดยไม่หันหน้ากลับไปมอง“ในตอนแรกฉันก็เห็นด้วยกับสิ่งที่นายพูด เรื่องที่สมาชิกทุกคนในทีมควรมีส่วนร่วม ซึ่งแม้แต่ตัวฉันเอง ก็ไม่เลือกปกป้องเจ้าสามอันธพาลนั่นเหมือนกัน ดังนั้นฉันจึงค่อนข้างระวังในการเลือกคบเพื่อน แต่เมื่อฉันยอมรับในตัวพวกเขาแล้ว ฉันจะไม่มีวันหมดศรัทธาในตัวพวกเขาอย่างเด็ดขาด มันคือวิธีเดียวในการมอบความไว้วางใจภายในทีม คนอย่างนายชอบใช้คนอื่นเป็นเครื่องมือ ถึงแม้เราจะมีชีวิตรอด แต่คงมีแค่นายเพียงคนเดียวที่ปลอดภัยอย่างสมบูรณ์โดยไร้ความเสี่ยงใดๆ ฉันเลยไม่คิดจะอยู่กับนายต่อ.”
แล้วทั้งสองก็ไม่พูดอะไรกันอีก ครึ่งชั่วโมงต่อมาซวน ซีโร่ และ แคมปา เดินออกจากห้องไปก่อน เจี๋ย และ หลานดูเจิ้งทำ ลายเก้าอี้เหล่านั้น
เจี๋ยจับตัวเขาไว้ “ทำให้เขาหายบ้าซะที คนอย่างเขาไม่น่าปล่อยตัวเองให้คลุ้มคลั่งแบบนี้.”
เจิ้งหัวเราะอย่างขมขื่น “ฉันไม่ได้บ้า ฉันแค่กำลังเตรียมอา วุธ นายพูดถูกเรื่องตังถ่วง ฉันก็เลยหาวิธีต่อสู้ในแบบของฉัน.”
เจี๋ยกับหลานต่างมองหน้ากัน หลังจากที่เจิ้งพังเก้าอี้เพื่อเอาท่อนเหล็ก เขาก็เริ่มบิดท่อนเหล็กจนกลายเป็นเกลียว
“รู้มั้ยว่าทำไม ฉันถึงอยากอยู่ให้ห่างจากพวกเขานัก?” จู่ๆเจิ้งก็พูดกับทั้งสองคนด้วยรอยยิ้ม “เพราะฉันรู้สึกสังหรณ์ไม่ดีถึง บางอย่างที่ซ่อนตัวอยู่ในห้องเบอร์ 15 รอให้เราได้เข้าใกล้มันอีกหน่อย แต่ฉันไม่บอกพวกนั้นหรอก ปล่อยให้พวกมันออกมาในเมื่อพวกนั้นคิดว่ามีอำนาจเหนือกว่าคนอื่นๆ ส่วนคนที่อ่อนแอ
ก็ต้องก้มหน้ายอมรับกับความพ่ายแพ้ไป
“ตอนอยู่ที่บริษัทฉันอยู่ในตำแหน่งผู้จัดการ ทำให้ฉันรู้ดีว่าการทำงานเป็นทีมมันสำคัญมากแค่ไหน ไม่มีใครที่ไร้ประ โยชน์อย่างแท้จริง พวกนายรู้มั้ย ว่าทำไมฉันถึงปกป้องสั่วอี้? เพราะผมอยากรับเขาเข้ากลุ่มของเรา ถ้าเขาได้เข้ากลุ่มของเรา แล้วเมื่อถึงสถานการณ์บีบคั้น ทีเขาต้องยอมสละชีวิตตัวเอง เขาจะทำเพื่อช่วยกลุ่ม เพื่อคนที่เขาไว้ใจ.”
หลังจากที่พูดจบ เจิ้งปาเเท่งเหล็กที่ถูกบิดเป็นเกลียว ไปที่ผนังมันเจาะทะลุเข้าไปในผนังจนเกือบมิดด้าม เหลือเพียงแค่ด้ามโผล่ออกมาให้เห็นนั้น มีความยาวเพียงแค่นิ้วก้อยให้เท่านั้น พลังนี้ทำให้ทั้งเจี๋ยย และ หลาน รู้สึกตะลึงกับมัน
เจิ้งดึงแท่งเหล็กออกจากผนัง แล้วเขาก็พูดต่อ “ฉันรู้ว่าวิธีของเขาอาจจะถูกต้อง ... แต่ถ้าเชื่อฉัน แล้วเผชิญหน้ากับหวาด กลัวนั้นด้วยกัน เขาก็มีวิธีของเขา ... และฉันก็มีวิธีสู้ในแบบของฉัน! ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น พวกเราทุกคนต้องรอด!”
ขณะที่พูดอยู่นั้น เขาปาแท่งเหล็กอีกครั้ง และในครั้งนี้ปรากฏเป็นรอยหลุมโบ๋อยู่บนผนัง
ติดตามข้อมูลข่าวสารนิยายเรื่องนี้ได้ก่อนใครที่ FB: www.facebook.com/IDTR8 หรือพิมพ์ค้นหา นิยายแปล: เกมส์สยองต้องไม่ตาย Blog: www.idtr8.wordpress.com
จากตอนปัจจุบันในเพจตอนนี้กลุ่มลับนำไปแล้ว 150+ ตอนน้ะค้า