เล่มที่ 2: บทที่ 3-2 (Alien)
เล่มที่ 2: บทที่ 3-2 แปลโดยกิลด์เทพอสูร
เจิ้งกวาดตามองทุกคน “ผมไม่รู้นะว่าทุกคนจะคิดยังไง จะพาเอเลี่ยนกลับไปที่โลกด้วยงั้นเหรอ? ถึงผมจะไม่ใช่คนของโลกใบนี้ ถึงผมจะมีโอกาสอยู่รอดได้อีก 2-3 ปี แต่ผมคงไม่ยอมให้ตัวเองทำเรื่องไร้มนุษยธรรมแบบนี้แน่ๆ ผมทำไม่ได้ ...”
จากนั้นเขาก็ลังเลเล็กน้อย เพราะเขาอยากจะพูดออกไปว่า ยังไงเขาก็จะสู้ ถึงจะเหลือแค่เขาเพียงคนเดียวก็ตาม แต่เขาไม่อาจหลุดคำพูดประโยคสุดท้ายนั้นออกมาได้ เพราะลึกๆ แล้วตัวเขาก็กลัวตายเหมือนกัน
ซวนพยักหน้า “นายอาจคิดว่าแผนที่สองมันคงดูบ้ามากสินะ ถึงแม้มันจะมีเงื่อนไขอยู่บ้าง แต่ผมกลับคิดว่าแผนสองคือแผนที่น่าเชื่อถือมากที่สุด แม้แผนนี้จะมีข้อบกพร่องอยู่ถึง 2 จุดก็ตาม และถ้าเราไม่สามารถแก้ไขจุดบกพร่องนี้ได้ มันก็เป็นไปได้ที่จะล้มเหลว จุดแรก คือ พล็อตเรื่องเปลี่ยน เนื่องจากเราไม่สามารถรับประกันได้ว่ารัฐบาลจะไม่ทำลายยานอวกาศนี้ก่อนที่มันจะถึงโลก ด้วยเทคโนโลยีของพวกเขานายคิดว่ารัฐบาลจะไม่มีอาวุธทำลายที่มีประสิทธิภาพสูงแบบนั้นงั้นเหรอ?”
“จุดที่สอง คือ ถ้ากับดักผนังเหล็กสามารถแยกเอเลี่ยนได้จริง แต่เนื่องจากเลือดของมันมีฤทธิ์เป็นกรดกัดกร่อนสูงมาก ในหนังภาคคืนชีพเอเลี่ยน พวกมันใช้เลือดของตัวเองหลบหนีออกจากคุก ถ้าพวกมันใช้กลยุทธ์เดียวกัน แล้วเอามาใช้ที่นี่ ผมคิดว่าทันทีพวกเราตื่นขึ้นจากการจำศีล สิ่งแรกที่เห็นคือพวกมันกำลังกระโดดเข้ามาที่หน้าของเรา.”
ซีโร่พูดขึ้นมาอย่างเย็นชาว่า “แล้วทำไมนายถึงแนะนำแผนที่มีจุดบกพร่องมากมายขนาดนี้?”
ซวนโบกมือ “ถึงจะมีจุดบกพร่อง แต่มันยังคงเป็นแผนที่ปลอดภัยสูง ถ้านายเลือกแผนแรก นายควรตระหนักไว้ข้อหนึ่งว่า นายจะต้องสู้แบบถวายหัวกับเอเลี่ยน แค่ผนังกั้นนั้นไม่อาจช่วยพวกเราได้ แต่ถ้าพวกเราล้มเหลว ความล้มเหลวนั้นมันจะหมายถึงว่าทุกคนต้องตาย นอกจากนั้นเราต้องเสี่ยงแบบนี้อีกหลายครั้ง นายมั่นใจรึเปล่าล่ะ ว่าสามารถมีชีวิตรอดจากบททดสอบเหล่านี้?”
แคมปาพูดขึ้นมาว่า “ชาวจีนโบราณได้กล่าวว่า จงมีชีวิตอยู่เยี่ยงวีระบุรุษ ดีกว่าต้องตาย...เเล้วกลายเป็นแค่วิญญาณวีระชน ก็ประมาณนี้แหละ ฉันไม่อยากเอาชะตากรรมของตัวเองไปแขวนอยู่บนเส้นด้ายที่มีทั้งความเสี่ยง และ ความไม่แน่นอน จะเกิดอะไรขึ้นถ้าเราไม่สามารถตื่นขึ้นมาได้อีกครั้งในระหว่างที่จำศีล ถ้าเทียบกันแล้วฉันขอกำหนดอนาคตของตัวเองดีกว่า ถ้าฉันจะตายเพราะต่อสู้ ยังดีกว่าเสี่ยงดวงกับโชคชะตา” เขาพูดด้วยอารมณ์ฮึกเฮิมขณะที่พูด ประโยคสุดท้ายของเขายังคงออกมาเป็นภาษารัสเซีย จนซวนต้องเป็นล่ามแปลภา ษาให้กับเขา
เจี๋ยพยักหน้าทันที “ฉันก็คิดว่าพวกเราควรเลือกหนทางที่สามารถควบคุมได้ แม้ว่ามันจะเสี่ยงอันตราย แต่เราก็สามารถควบคุมสถานการณ์เองได้ โดยไม่ต้องพึ่งดวงว่าจะอยู่รอดรึเปล่า.”
คนอื่น ๆ พยักหน้าแต่ไม่พูดอะไรออกมา ซวนได้แต่ถอนหายใจ “ก็ดี เราจะโหวตกัน . ผมคิดว่านี่คือวิธีที่ยุติธรรมมากที่สุด”
ผลโหวตไม่เป็นอย่างที่คิด สำหรับแผนแรกผลโหวตมี 4 คนคือ ซีโร่ , แคมปา , เจิ้ง , เจี๋ย ส่วนคนที่เลือกโหวตแผนสองคือซวน , สั่วอี้ แม้แต่ หลาน ก็เลือกด้วยเช่นกัน
ซวนถอนหายใจออกมา “ถ้าพวกคุณตัดสินใจที่จะสู้ ผมก็เคารพการตัดสินใจของคุณแต่ก่อนที่เราจะเผชิญหน้ากับเอเลี่ยนอันดับแรกเราคงต้องขอให้เจิ้งหยิบอาหาร และ น้ำของเขาออกมาจากแหวนผมคิดว่าตอนนี้ทุกคนคงหิวกันแล้วใช่มั้ย?”
เจิ้งหัวเราะแล้วรีบเดินลมปราณของตัวเอง ผลจากการพักผ่อนทำให้ลมปราณของเขาเริ่มฟื้นคืนกลับมา ถึงแม้ว่ามันจะยังไม่เพียงพอสำหรับการต่อสู้
ไม่กี่วินาทีต่อมาก็มีกล่องขนมปังบิสกิตโผล่ขึ้นมา แล้วตามมาด้วย,ขนมปังกรอบ, ชีส, เนื้อแห้ง และ น้ำดื่ม หลังจากที่นำอาหารทุกอย่างออกมา ซวนเป็นคนแรกที่นั่งลงข้างๆ เขาเปิดกล่องแล้วนับจำ นวนของน้ำดื่มบรรจุขวด “ปริมาณของอาหารมีเพียงพอ ถ้าเราจัดสัดส่วนให้เหมาะสมตามจำนวนคน 7 คนก็น่าจะอยู่ได้ประ มาณ 1 สัปดาห์ ผมขอแนะนำให้เราแบ่งส่วนไว้ 3 วัน จากนั้นพลังงานของเราจะกลับมาสมบูรณ์ และ พร้อมต่อสู้”
ตั้งแต่หลานเลือกแผนสองเธอก็คอยหลบหน้าเจิ้งมาตลอด ในขณะเดียวกัน เธอกำลังยกมือขึ้นแตะหน้าผากตามปกติวิสัย เหมือนอย่างทุกครั้งในเวลาที่ต้องใช้ความคิด แต่เป็นเพราะหลุมบนหัวไหล่ของเธอ เธอลืมมันเสียสนิทเนื่องจากความกังวลใจ แต่ว่าความเจ็บปวดนั้นยังคงไม่หายไปแม้ว่าเธอจะอยู่เฉยๆ ก็ตามเธอสัมผัสหน้าผากของเธอด้วยมืออีกข้างที่เหลือ พร้อมกับพูดว่า “ทำไมไม่แบ่งอาหารให้ครบเจ็ดวันล่ะ? ถ้าเรารอให้เอเลี่ยนติดกับดักที่เราวางไว้ แล้วแยกพวกมันออกจากกัน แล้วเราก็กรุยทางไปที่ห้องครัวได้อย่างปลอดภัย และเมื่อถึงเวลานั้นพวกเราอาจจะไม่ต้องต่อสู้กับพวกเอเลี่ยนเลยก็ได้ แล้วปล่อยให้พวกมันอดตายไปเอง”
คนอื่น ๆ มองไปที่ซวนด้วยความสับสน เขายิ้มอย่างขมขื่น “อันที่จริงผมได้คิดเผื่อไว้แล้ว แต่เพราะเหตุผลบางอย่างผมเลยตัดทิ้งไปทันทีที่ผลโหวตของทุกคนออกมาว่าตกลงเลือกที่จะต่อสู้ ประการแรกเราไม่รู้โครงสร้างทางชีวภาพของเอเลี่ยนเลย แล้วจะเกิดอะไรขึ้นถ้าพวกมันมีความคล้ายคลึงกับสิ่งมีชีวิตในทะเลทรายที่อยู่บนโลกจริง เท่าที่รู้มามันสามารถจำศีลได้ทั้งวันโดยไม่มีทั้งอาหารและน้ำ? ถ้าเป็นอย่างนั้นพวกเราคงแข่งความอึดกับพวกมันได้นาน ซึ่งเป็นไปได้ว่าเมื่ออาหารกับน้ำของเราหมด พวกเราต่างหากที่จะเป็นคนที่ถูกขังและติดแหง็กอยู่ที่นี่ซะเอง”
“ประการที่สอง ที่นี่เรามีกันอยู่กี่คน? 7 คนใช่มั้ย ผมจำได้ว่าเราตื่นขึ้นมาในตอนแรกมีกันอยู่ทั้งหมด 15 คน แล้วอีก 8 คนล่ะ? หรือจะพูดให้ถูกต้องก็คือเนื้อทั้ง 8 คนจะไปอยู่ที่ไหน? ยิ่งถ้ารวมกับร่างกายของตัวละครในหนังเรื่องนี้ จำนวนของมันก็เพียงพอสำหรับเอเลี่ยนที่จะเก็บรักษาอาหารไว้ได้โดยไม่อดตาย.”
“ประการที่สาม ซึ่งถือได้ว่าเป็นส่วนที่สำคัญมากที่สุด ผมไม่ต้อง การกดดันให้เอเลี่ยนต้องใช้สัญชาตญาณเพื่อเอาตัวรอด เพราะถ้าเราต้องไปอยู่ที่ห้องนั้นจริงจนต้องติดแหง็กอยู่กับพวกมัน แล้วถ้าเกิดพวกมันหิวโซมาก ๆ เข้า พวกคุณมั่นใจได้ยังไงว่าพวกมันจะไม่ใช้เลือดกรดของตัวมันทำลายผนังออกมา แล้วโดดเข้ามากินพวกเรา? ดังนั้นผมจึงเลือกที่จะพักผ่อนฟื้นร่างกายให้กลับสมบูรณ์มากที่สุด แล้วเตรียมตัวต่อสู้ปิดฉากพวกมันให้โดยเร็ว นี่เป็นกลยุทธ์ที่ดีที่สุดที่ฉันสามารถคิดขึ้นมาได้ตอนนี้.”
เจิ้งถอนหายใจออก “ถ้าเราสามารถรอดจากหนังเรื่องนี้ได้ ... นายจะได้เครดิตมากที่สุด มีอะไรอีกไหมที่นายคิด? เพียงแค่พูดออกมาให้หมด เพราะเราเป็นพวกเดียวกันแล้ว พวกเราไว้ใจนายทุกอย่าง”
ส่วนคนอื่น ๆ พยักหน้าอย่างเงียบ ๆ และมองไปที่ซวน ถึงแม้ว่าพวกเขาไม่อยากที่จะยอมรับมันก็ตาม แต่ภูมิปัญญาของเขาเหนือกว่าทุกคน พวกเขารู้ถึงความสำคัญในสถานการณ์นี้เป็นอย่างดี
ซวนยิ้ม “ขอพูดตรงๆ ผมได้ยินเจี๋ยบอกว่าจะมีผู้เล่นหน้าใหม่เข้าเรื่อยๆ ในหนังทุกๆ เรื่อง และก็ไม่สามารถรับประกันคุณภาพได้ พลังของคนเพียงคนเดียวนั้นยังมีข้อจำกัด ที่จะผ่านหนังสยองขวัญหลายๆ เรื่องได้ ถ้าเราสามารถรอดจากเรื่องนี้ไปได้ และต้องเจอกับหนังเรื่องต่อไปที่มีอันตรายมากขึ้น ผมจึงหวังว่าอย่างน้อยๆ ทีมของเราจะต้องมีความกล้าหาญ และ พลังที่จะมีชีวิตรอดต่อไป แล้วผมจะช่วยอย่างเต็มที่โดยใช้สมองทั้งหมดที่มีอย่างคุ้มค่า มิฉะนั้นทุกอย่างที่ทำไปคงไร้ความหมาย ใน 7 คนของพวกเราอย่างน้อย ก็มีอยู่ 6 คนอยู่ในระดับหัวกะทิ ผมพอใจกับทีมนี้มาก ผมหวังอย่างยิ่งว่าพวกเราทุกคนจะต้องรอดได้ ... อย่างน้อยก็มี 6 คนที่รอดได้แน่ๆ.”
ใบหน้าของสั่วอี้เริ่มเป็นสีแดงก่ำ เพราะเขาเป็นเพียงวัยรุ่นธรรมดาที่ไม่มีอะไรพิเศษ แน่นอนว่าเขาย่อมรู้ว่าซวนกำลังพูดถึงเขาอยู่ จากนั้นเจิ้งจึงตบที่ไหล่ของเขา “มั่นใจได้ ตราบใดนายยังรอด นายสามารถฝึกฝนตัวเองให้แข็งแกร่งขึ้นได้ อย่ายอมแพ้ล่ะ”
สั่วอี้มองไปที่เจิ้งอย่างซาบซึ้ง จากนั้นซวนก็พูดต่อว่า “ดังนั้นแผนที่จะแยกพวกมันก็คือ ... เหยื่อ! เปิดผนังบางส่วนออกแล้วล่อให้พวกเอเลี่ยนเข้าไปตามแผนที่เราวาง คนที่จะต้องเป็นเหยื่อล่อก็คือ หลี่สั่วอี้ !”
ติดตามข้อมูลข่าวสารนิยายเรื่องนี้ได้ก่อนใครที่ FB: www.facebook.com/IDTR8 หรือพิมพ์ค้นหา นิยายแปล: เกมส์สยองต้องไม่ตาย Blog: www.idtr8.wordpress.com
จากตอนปัจจุบันในเพจตอนนี้กลุ่มลับนำไปแล้ว 150+ ตอนน้ะค้า