เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 13 ป่าไผ่ภายใต้แสงจันทร์ (อ่านฟรี)
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 13 ป่าไผ่ภายใต้แสงจันทร์
แปลโดย iPAT
สามร้อยปีก่อน มีอัจฉริยะถือกำเนิดขึ้นในตระกูลแสงจันทร์ เขามีพรสวรรค์นภาที่หนึ่งและบรรลุเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับห้าตั้งแต่ยังเยาว์ เขามีอนาคตขที่สดใสและเป็นความหวังของตระกูล
ในประวัติศาสตร์ของตระกูลแสงจันทร์ เขาเป็นบุคคลที่ถูกกล่าวถึงมากที่สุด คนผู้นี้ก็คือผู้นำตระกูลแสงจันทร์รุ่นที่สี่
น่าเสียดายที่เขาสละชีวิตของตนเองเพื่อปกป้องหมู่บ้านตั้งแต่ยังเยาว์เช่นกัน เขาต่อสู้อย่างห้าวหาญกับผู้ใช้วิญญาณระดับห้านักบวชปีศาจสุราดอกไม้กระทั่งฝ่ายหลังต้องคุกเข่าร้องขอชีวิต
อย่างไรก็ตามด้วยความเมตตาของผู้นำตระกูลรุ่นที่สี่ มันทำให้นักบวชปีศาจสุราดอกไม้มีโอกาสลอบโจมตีเขา เมื่อเหตุการณ์พลิกผัน ผู้นำตระกูลรุ่นที่สี่จึงต้องสังหารนักบวชปีศาจสุราดอกไม้ แต่ถึงกระนั้นตัวเขาเองก็ได้รับบาดเจ็บสาหัสและจบชีวิตลงอย่างน่าเศร้าเช่นกัน
โศกนาฏกรรมครั้งนั้นถูกกล่าวขานมาจนถึงปัจจุบัน อย่างไรก็ตามฟางหยวนรู้สึกว่ามันยังมีช่องโหว่ขนาดใหญ่อยู่ในเรื่องนี้
ในชีวิตก่อนหน้าของเขา อีกหนึ่งเดือนหลังจากนี้บุรุษผู้พ่ายรักจะเมามายอยู่นอกหมู่บ้านกระทั่งกลิ่นสุราได้ดึงดูดวิญญาณสุราให้ปรากฏตัวออกมา
บุรุษผู้นั้นไล่ล่าวิญญาณสุราไปจนได้พบกับซากศพของนักบวชปีศาจสุราดอกไม้ที่อยู่ในถ้ำใต้ดินแห่งหนึ่ง เวลานั้นเขาได้รีบกลับไปแจ้งข่าวกับตระกูลและทำให้เรื่องนี้ถูกเปิดเผยออกมาในที่สุด
หลังจากความโกลาหลสงบลง เขาได้รับผลประโยชน์จากมันเช่นกัน เขาได้รับวิญญาณสุราและมันก็เป็นสาเหตุที่ทำให้การบ่มเพาะของเขายกระดับขึ้นอย่างรวดเร็ว สุดท้ายคนรักเก่าของเขาจึงกลับมาหา เรื่องนี้กลายเป็นหัวข้อสนทนาที่ร้อนแรงในช่วงเวลานั้น
เมื่อเรื่องราวถูกถ่ายทอดจากรุ่นสู่รุ่นเป็นเวลาหลายชั่วอายุคน มึนจึงค่อยๆถูกดัดแปลงไปตามกาลเวลา แต่จากความทรงจำของฟางหยวน เขาพบว่าเรื่องราวของบุรุษผู้พ่ายรักที่ค้นพบสมบัติยังมีความจริงบางอย่างถูกซุกซ่อนเอาไว้เบื้องหลัง
‘เดิมทีข้าไม่ได้คิดถึงสิ่งนี้ แต่หลังจากไตร่ตรองอยู่หลายวัน ข้าจึงรู้สึกว่ามีบางอย่างไม่ถูกต้อง’ ท่ามกลางความมืดมิดของค่ำคืน ฟางหยวนเดินไปยังป่าไผ่นอกหมู่บ้านและตรวจสอบเบาะแสที่เคลือบแคลงอยู่ภายในหัวใจของเขา
‘หากข้าค้นพบมรดกของนักบวชปีศาจสุราดอกไม้ ข้าจะกลับไปรายงานตระกูลหรือไม่? แน่นอนว่าไม่! ไม่ว่าผู้ใด ทุกคนย่อมมีสิ่งที่เรียกว่าความโลภอยู่ภายในหัวใจ แล้วสิ่งใดที่ทำให้ชายพ่ายรักทรยศต่อความโลภในใจของเขากระทั่งเต็มใจที่จะละทิ้งผลประโยชน์ทั้งหมดและรายงานเรื่องนี้กับผู้อาวุโสของตระกูล?’
ความจริงมักถูกซุกซ่อนไว้ในม่านหมอกแห่งประวัติศาสตร์เสมอ ฟางหยวนเค้นสมองไตร่ตรองสิ่งที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังของเรื่องนี้ อย่างไรก็ตามเขายังไม่สามารถคลี่คลายปัญหาเพราะเขามีเบาะแสน้อยเกินไป นอกจากนั้นหลายสิ่งอาจเป็นเรื่องเท็จ ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถพึ่งพามันได้อย่างเต็มที่
‘หลังจากซื้อสุราไผ่เขียว ข้าเหลือหินวิญญาณอยู่เพียงสองก้อน หากข้าไม่สามารถค้นหาสมบัติ ข้าจะประสบปัญหาร้ายแรงจริงๆ ดังนั้นนี่จึงเป็นการเดิมพันครั้งสุดท้ายของข้า’
หากเป็นผู้อื่น พวกเขาอาจวางตัวเองไว้ในจุดที่ปลอดภัยโดยการรักษาหินวิญญาณที่เหลือของพวกเขาเอาไว้ แต่สำหรับฟางหยวน เขาไม่มีหินวิญญาณเพียงพอที่จะปรับแต่งวิญญาณแสงจันทร์ตั้งแต่แรก ดังนั้นเขาจึงเลือกที่จะเดิมพันเพิ่มแสวงหาโอกาสที่ดีกว่า
อย่างไรก็ตามนี่เป็นเรื่องปกติสำหรับผู้คนที่เดินอยู่บนเส้นทางสายปีศาจ คนกลุ่มนี้จะแบกรับความเสี่ยงเพื่อแสวงหาผลประโยชน์ให้กับตนเอง
ค่ำคืนล่วงเลยมาถึงยามดึกสงัด
ม่านเมฆหมอกอันหนาทึบเก็บซ่อนดวงจันทร์เอาไว้เบื้องหลังทำให้สภาพแวดล้อมกลายเป็นยิ่งมืดมิด
เนื่องจากฝนที่ตกลงมาตลอดหลายวัน มันจึงลบล้างกลิ่นอายแปลกปลอมทั้งหมดออกไปและทิ้งไว้เพียงอากาศที่สดชื่นเท่านั้น อากาศบริสุทธิ์เหมือนกระดาษขาวที่สามารถเติมแต่งสีสันและกระจายกลิ่นของสุราไผ่เขียวออกไป นั่นเป็นเหตุผลประการแรกที่ทำให้ฟางหยวนรู้สึกมั่นใจ
การค้นหามาถึงเจ็ดวันทำให้ฟางหยวนแน่ใจว่าศพของนักบวชปีศาจสุราดอกไม้ไม่ได้อยู่ในบริเวณเหล่านั้น นี่เป็นเหตุผลประการที่สองสำหรับความมั่นใจของเขา
ในป่าไผ่เต็มไปด้วยต้นไผ่สีเขียวและยังคราคร่ำไปด้วยดอกไม้สีขาวบนพรมหญ้าที่ทอดตัวยาวออกไปราวกับไร้จุดสิ้นสุด
สุราไผ่เขียวถือเป็นสุราอันดับหนึ่งของหมู่บ้านแสงจันทร์บรรพกาล ดังนั้นมันจึงเป็นเหตุผลแห่งความมั่นใจประการที่สามของฟางหยวน และในเวลานี้เขาก็เปิดผนึกไหสุราออกมาแล้ว
‘ด้วยเหตุผลทั้งสามประการ หากข้าจะประสบความสำเร็จ มันก็ต้องสำเร็จในค่ำคืนนี้!’ ฟางหยวนให้กำลังใจตนเองก่อนจะค่อยๆเทสุราไผ่เขียวลงไปยังหินก้อนหนึ่ง หากกลุ่มนักล่าก่อนหน้ามาเห็นฉากนี้ พวกเขาคงจะรู้สึกเจ็บปวดหัวใจขึ้นมาทันที นี่คือสุราที่ต้องใช้หินวิญญาณถึงสองก้อนเพื่อแลกมันมา โอ้ สวรรค์ นี่เขาบ้าไปแล้ว
แต่แน่นอนว่าฟางหยวนไม่สนใจ
กลิ่นสุราลอยขึ้นสู่อากาศ ขณะที่สายลมอันแผ่วเบานำพากลิ่นหอมละมุนล่องลอยไปในป่าไผ่ที่กว้างใหญ่ ฟางหยวนยืนนิ่งอยู่ในตำแหน่งเดิม แต่หลังจากรออยู่ชั่วครู่ มันก็ยังไร้ซึ่งการตอบสนองใดๆ
อย่างไรก็ตามเขาไม่แปลกใจ เขาเดินต่อไปอีกประมาณหนึ่งร้อยเมตรก่อนจะเทสุราลงบนพื้นและรอคอยอีกครั้ง
เขาทำขั้นตอนนี้ซ้ำแล้วซ้ำอีกโดยย้ายสถานที่ไปในหลายๆตำแหน่ง ในที่สุดสุราไผ่เขียวก็กำลังจะหมดลง
“นี่เป็นครั้งสุดท้ายแล้ว” ฟางหยวนถอนหายใจก่อนจะเทสุราไผ่เขียวทั้งหมดลงบนพื้นหญ้าที่เต็มไปด้วยดอกไม้
ฟางหยวนยืนรอด้วยความคาดหวังพร้อมทั้งกวาดตามองไปรอบๆ
ท่ามกลางความมืดมิด เขายืนอยู่ท่ามกลางความเงียบที่สามารถได้ยินเสียงลมหายใจของตนเอง ขณะที่ความหวังเล็กๆของเขาค่อยๆมอดดับลงไปตามกาลเวลาที่ล่วงเลย
“มันล้มเหลว” ฟางหยวนพึมพำ “วันนี้ข้ามีข้อได้เปรียบสามประการ แต่ข้ายังล้มเหลว ข้าไม่แม้แต่จะได้เห็นเงาของวิญญาณสุรา นี่หมายความว่าในอนาคตโอกาสประสบความสำเร็จของข้าจะยิ่งน้อยลงไปอีก ตอนนี้ข้าเหลือหินวิญญาณเพียงสองก้อนเท่านั้นและข้ายังต้องปรับแต่งวิญญาณแสงจันทร์ ดังนั้นข้าจึงไม่สามารถทำเช่นนี้ได้อีก”
ในการเสี่ยงโชค แน่นอนว่ามันมีโอกาสล้มเหลวและบ่อยครั้งที่ผลลัพธ์มักจะไม่เป็นไปตามที่ผู้คนต้องการ ฟางหยวนชื่นชอบความเสี่ยง แต่เขาไม่ได้เสพติดมัน เขาไม่ใช่บางคนที่ยอมเสี่ยงกับเรื่องที่ต้องพ่ายแพ้อย่างแน่นอน เขาจะพิจารณาถึงความน่าจะเป็นโดยใช้สติปัญญาไตร่ตรองก่อนเสมอ เขามีขีดจำกัด และรู้จักความสามารถของตนเองเป็นอย่างดี
อย่างไรก็ตามตอนนี้ประสบการณ์ห้าร้อยปีของเขากำลังตะโกนบอกกับเขาว่าถึงเวลาหยุดแล้ว
บางครั้งชีวิตก็เป็นเช่นนี้ บ่อยครั้งที่เรื่องราวต่างๆดูสมบูรณ์แบบแต่สุดท้ายมันกลับล้มเหลวแม้จะใส่ความพยายามลงไปอย่างเต็มที่แล้วก็ตาม
“ไม่มีสิ่งใดสมบูรณ์แบบอย่างแท้จริง แต่นี่ก็คือเสน่ห์ของชีวิต” ฟางหยวนเผยรอยยยิ้มขมขื่นพร้อมกับส่ายศีรษะก่อนจะก้าวเท้ากลับไป
แต่ในจังหวะนี้...
สายลมพลันกรรโชกแรงและขับไล่กลุ่มเมฆหมอกออกไปจากท้องฟ้าในยามค่ำคืนและเผยให้เห็นจันทร์เสี้ยวที่ส่องแสงอันอ่อนโยนลงมาอาบย้อมร่างกายของฟางหยวนเอาไว้ทั้งหมด
ความมืดมิดหายไปในพริบตา ดอกไม้จำนวนมากส่องประกายขึ้นมาราวกับเกล็ดหิมะสีขาวบริสุทธิ์ ฝูงวิหคเริ่มส่งเสียงขับขานขณะที่จิ้งหรีดภูเขาก็ร่วมวงประสานเสียงกันอย่างมีชีวิตชีวา
ฝูงหิ่งห้อยบินอยู่กลางอากาศและปลดปล่อยแสงสีแดงขึ้นท่ามกลางป่าไผ่ภายใต้แสงจันทร์
ธรรมชาติอันงดงามและยิ่งใหญ่โอบกอดฟางหยวนเอาไว้อย่างแนบแน่น
ฟางหยวนหยุดเท้าของเขาและดื่มด่ำกับสรวงสวรรค์แห่งนี้โดยไม่รู้ตัว
ในเวลาเดียวกันกลิ่นหอมอ่อนๆของสุราไผ่เขียวก็ยังลอยล่องอยู่ในอากาศ เมื่อได้กลิ่นหอมอันน่าหลงใหลของมันอีกครั้ง ช่วยไม่ได้ที่ฟางหยวนจะหัวเราะออกมาเล็กน้อย
อย่างไรก็ตาม...
โดยไม่ได้ตั้งใจ เขาหันหน้าไปทางจุดแสงสีขาวที่อยู่เบื้องหน้า
ภายใต้แสงจันทร์ จุดแสงสีขาวที่ดูราวกับไข่มุกติดอยู่บนต้นไผ่สีเขียวที่อยู่ไม่ห่างจากเขามากนัก
ฟางหยวนกระพริบตาสองสามครั้งก่อนที่ร่างกายของเขาจะเริ่มสั่นสะท้านขึ้น
วิญญาณสุรา!