ตอนที่แล้วเทพปีศาจหวนคืน บทที่ 11 เล่นกับไฟ (อ่านฟรี)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเทพปีศาจหวนคืน บทที่ 13 ป่าไผ่ภายใต้แสงจันทร์ (อ่านฟรี)

เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 12 สุราไผ่เขียว (อ่านฟรี)


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 12 สุราไผ่เขียว 

แปลโดย iPAT 

‘ตอนนี้ทุกสิ่งขึ้นอยู่กับมรดกของนักบวชปีศาจสุราดอกไม้ หากข้าพบมัน ปัญหาทุกอย่างของข้าจะได้รับการแก้ไข แต่หากไม่ การบ่มเพาะของข้าจะเชื่องช้าไปอีกมากและข้าจะถูกคนรุ่นเดียวกันทิ้งห่างอย่างรวดเร็ว ข้าไม่เข้าใจ! ข้าใช้เวลาตลอดสัปดาห์ล่อลวงวิญญาณสุราแต่เหตุใดมันจึงไม่ปรากฏตัว?’

ฟางหยวนขมวดคิ้ว มันเหมือนกับเขาตักอาหารเข้าปากแต่ไม่สามารถรับรู้รสชาติ

ทันใดนั้นเสียงของนักล่าทั้งหกก็ดังขึ้น ฟางหยวนหันหน้าไปทางคนเหล่านั้นและพบว่าพวกเขากำลังเมามายกันอย่างเต็มที่ บรรยากาศรอบตัวพวกเขาดูมีชีวิตชีวา ใบหน้าของพวกเขาเปลี่ยนเป็นสีแดงก่ำ

“น้องจาง มาดื่มกันอีกถ้วย”

“พี่หง ท่านจับหมูป่าผิวดำด้วยตัวท่านเพียงผู้เดียว! สุราถ้วยนี้ พวกเราขอดื่มให้กับความสามารถของท่าน!’

“พี่น้องของข้า ขอบคุณสำหรับน้ำใจ แต่ข้าไม่สามารถดื่มมากไปกว่านี้ได้อีกแล้ว”

“พี่หง บางทีท่านอาจไม่ชอบสุราชนิดนี้ เสี่ยวเอ้อ! เอาเหล้าชั้นดีมาเดี๋ยวนี้!”

เสียงดังโวยวายบ่งบอกว่าพวกเขากำลังเมาอย่างหนัก เสี่ยวเอ้อเร่งเดินเข้ามา “พวกเรามีสุราชั้นดีแต่ราคาของมันค่อนข้างแพง”

“เจ้าคิดว่าพวกเราไม่มีเงินจ่ายงั้นหรือ?” เมื่อได้ยินถ้อยคำของเสี่ยวเอ้อ พวกเขาก็ลุกขึ้นโวยวายทันที พวกเขามีร่างกายใหญ่โตที่ดูแข็งแกร่งและดุดันราวกับคนป่า

เมื่อสถานการณ์เป็นเช่นนี้เสี่ยวเอ้อจึงรีบขอโทษ “ผู้น้อยไม่กล้า แท้จริงแล้วสุราที่พวกเรามีอยู่สามารถซื้อได้ด้วยหินวิญญาณเพียงสองก้อนเท่านั้น”

กลุ่มนักล่ากลายเป็นตกตะลึงเมื่อได้ยินคำอธิบายของเสี่ยวเอ้อ หินวิญญาณสองก้อนไม่ใช่ราคาถูกๆ มันเป็นค่าใช้จ่ายทั้งหมดของครอบครัวมนุษย์ธรรมดาถึงสองเดือน แม้นักล่าจะมีรายได้มากกว่าคนทั่วไปเพราะการล่าสัตว์แต่พวกเขาก็ยังเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา หมูป่าผิวดำหนึ่งตัวที่พวกเขาล่าได้ มันมีค่าเทียบเท่ากับหินวิญญาณเพียงครึ่งก้อนเท่านั้น

สำหรับนักล่า การใช้หินวิญญาณสองก้อนไปกับการดื่มสุราถือเป็นเรื่องไม่เหมาะสมและไร้สาระอย่างที่สุด

“นี่มันไม่แพงเกินไปหน่อยงั้นหรือสำหรับสุราเพียงไหเดียว?”

“เสี่ยวเอ้อ เจ้ากล้าล้อเล่นกับพวกเรางั้นหรือ?”

กลุ่มนักล่าตะโกนโวยวายเสียงดัง แต่น้ำเสียงของพวกเขากลับแฝงไว้ด้วยความเขินอายเล็กน้อย

สำหรับเสี่ยวเอ้อ เขาทำได้เพียงปิดปากเงียบเท่านั้น

เป็นเพียงเวลานี้ที่นักล่าผู้หนึ่งเปิดปากกล่าว “พี่น้อง ไม่จำเป็นต้องจ่ายมากไปกว่านี้ ข้าดื่มไม่ไหวแล้ว พวกเราค่อยกลับมาดื่มอีกครั้งในคราวหน้าเถอะ”

“พี่ชาย อย่าได้กล่าวได้เช่นนั้น”

“นี่มัน...”

นักล่าบางคนยังตะโกนเสียงดังแต่บางคนเริ่มเงียบเสียงลงแล้ว ไม่นานหลังจากนั้นพวกเขาก็ค่อยๆนั่งลงทีละคน เมื่อเห็นเช่นนี้เสี่ยวเอ้อก็ตระหนักได้ทันทีว่าเขาคงไม่สามารถขายสุราได้แล้ว อย่างไรก็ตามเขาแปลกใจ

เพียงเมื่อเสี่ยวเอ้อกำลังจะล่าถอยกลับไป เสียงของชายหนุ่มผู้หนึ่งก็ดังมาจากโต๊ะที่อยู่ในมุมมืด “ฮ่าฮ่าฮ่า พวกเจ้าตะโกนเสียงดังแต่กลับไม่สามารถจ่ายค่าสุรา เช่นนั้นพวกเจ้าก็ควรจะหุบปากและกลับไปซะ!”

เมื่อกลุ่มนักล่าได้ยินเช่นนี้ มันจึงช่วยไม่ได้ที่พวกเขาจะโกรธและตอบโต้กลับไป “ผู้ใดบอกว่าพวกเราไม่สามารถจ่าย? เสี่ยวเอ้อ เอาเหล้ามา ข้าจะจ่ายด้วยหินวิญญาณสองก้อน!”

“โอ้ ข้าเข้าใจแล้ว โปรดรอสักครู่ขอรับ” เสี่ยวเอ้อไม่ได้คาดหวังว่าจะมีเรื่องเช่นนี้เกิดขึ้น เขารีบตอบรับและวิ่งเข้าไปหยิบไหสุราออกมาทันที มันดูเหมือนไหสุราทั่วไปแต่เมื่อมันถูกเปิดออก กลิ่นที่สดชื่นและกลมกล่อมของมันก็กระจายทั่วทั้งห้องอาหาร กระทั่งชายชราที่นั่งอยู่เพียงลำพังก็ยังต้องหันหน้ามาทางต้นกำเนิดของกลิ่นอันน่าหลงใหลนี้อย่างช่วยไม่ได้

นี่เป็นสุราชั้นเลิศอย่างไม่ต้องสงสัย

“นายท่าน นี่คือสุราที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเรา สุราไผ่เขียว ทั้งหมู่บ้านมีเพียงหนึ่งเดียวที่สามารถครอบครองมันซึ่งก็คือพวกเรา นายท่านโปรดสูดดมกลิ่นของมัน” เสี่ยวเอ้อสูดหายใจลึก เพียงแค่ได้กลิ่นของมัน ใบหน้าของเขาก็ยังเต็มไปด้วยความพึงพอใจ

ฟางหยวนส่ายศีรษะ ชัดเจนว่าเสี่ยวเอ้อของโรงเตี้ยมแห่งนี้กล่าวเกินจริง

ในหมู่บ้านมีโรงเตี้ยมสามแห่ง ทั้งสามขายสุราทั่วไปและฟางหยวนก็ซื้อสุราธรรมดาเหล่านั้นมาตลอดเจ็ดวันเพราะข้อจำกัดทางการเงิน

อย่างไรก็ตามแม้นักล่าทุกคนจะรู้สึกพึงพอใจกับกลิ่นหอมของมันแต่ในเวลาเดียวกันพวกเขาก็รู้สึกสำนึกเสียใจที่ต้องสูญเสียหินวิญญาณไปถึงสองก้อน

‘ข้าซื้อสุราไหนี้อย่างหุนหัน แต่เสี่ยวเอ้อผู้นี้ก็เปิดผนึกมันแล้ว ข้าไม่สามารถกลับคำได้อีกต่อไป’ นักล่ารู้สึกเจ็บปวดเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ อย่างไรก็ตามการกระทำของเขากลับตรงข้ามกับความคิด เขาตบโต๊ะเสียงดังก่อนกล่าว “นี่เป็นสุราที่ดี พี่น้องเชิญดื่มตามที่พวกเจ้าต้องการ วันนี้ข้าจ่ายเอง!”

เป็นเพียงเวลานี้ที่เสียงของชายหนุ่มในมุมมืดดังขึ้นอีกครั้ง “ไหเล็กๆ มันจะสักเท่าใด หากแน่จริงก็สั่งอีกไห!”

นักล่าโกรธจัดเมื่อได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ เขาลุกขึ้นและมองไปที่ชายหนุ่มผู้นั้น “น้องชาย เจ้าจะพูดมากเกินไปแล้ว ยืนขึ้นและมาสู้กับข้า!”

“โอ้? เช่นนั้นข้าก็จะยืนขึ้น” ชายหนุ่มลุกขึ้นและเดินออกมาจากมุมมืด เขาเป็นชายผอมสูงที่มีผิวซีดขาว เขาแต่งตัวด้วยชุดสีขาวที่ดูสะอาดเรียบร้อย บนศีรษะของเขาคาดไว้ด้วยผ้าสีฟ้า รองเท้าของเขาเป็นรองเท้าไม้ที่มีเชือกผูกรัดเอาไว้

สิ่งที่โดดเด่นที่สุดคือเข็มขัดสีเขียวที่มีหัวเข็มขัดทำจากทองแดงและปรากฏตัวอักษรคำว่า หนึ่ง สลักอยู่

“ผู้ใช้วิญญาณระดับหนึ่ง?” กลุ่มนักล่าตระหนักดีว่าชุดที่ชายหนุ่มสวมใสอยู่หมายถึงสิ่งใด พวกเขาสูดหายใจลึกขณะที่ความโกรธบนใบหน้าของพวกเขาอันตรธานหายไปในทันที

“ไม่ใช่ว่าเจ้าต้องการต่อสู้กับข้าเช่นนั้นหรือ? มาสิ เข้ามาทุบตีข้า!” ชายหนุ่มเดินเข้าไปหากลุ่มนักล่าอย่างช้าๆพร้อมกับเผยรอยยิ้มยั่วยุ ด้านนักล่า ร่างกายของพวกเขากลายเป็นแข็งทื่อราวกับประติมากรรมน้ำแข็ง

“บางทีหากพวกเจ้าเข้ามาพร้อมกันอาจทำให้ข้าสนุกขึ้นเล็กน้อย” ชายหนุ่มยังเย้ยหยันต่อไป

การแสดงออกของกลุ่มนักล่าเปลี่ยนแปลงไปจากก่อนหน้าอย่างสิ้นเชิง แม้ใบหน้าของพวกเขาจะยังแดงก่ำจากฤทธิ์สุรา แต่บนหน้าผากของพวกเขากลับเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อและรู้สึกราวกับหายใจไม่ออก

ชายหนุ่มเดินเข้าไปหยิบไหสุราไผ่เขียวขึ้นมาและสูดดมก่อนจะกล่าวออกมาว่า “ยอดเยี่ยม สุราดี”

“หากนายท่านพึงพอใจ เชิญดื่มมันได้ตามต้องการ นี่ถือเป็นคำขอโทษที่พวกเราล่วงเกินนายท่าน” นักล่าที่ท้าทายชายหนุ่มก่อนหน้านี้เร่งกล่าวและเผยรอยยิ้มขอโทษ

การแสดงออกของชายหนุ่มเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน เขาโยนไหสุราลงบนพื้น “พวกเจ้าคิดว่ามีสิทธิขอโทษข้างั้นหรือ? เมื่อพวกเจ้าเป็นนักล่าก็คงร่ำรวยกว่าข้าและสามารถจ่ายค่าสุราได้ด้วยหินวิญญาณสองก้อนใช่หรือไม่? พวกเจ้ากล้าโอ้อวดต่อหน้าข้า คิดว่าตนเองคู่ควรงั้นหรือ?”

“พวกเราไม่กล้า พวกเราไม่กล้า”

“การล่วงเกินนายท่านเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ของพวกเรา”

“พวกเราเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาที่ไม่สามารถเปรียบเทียบกับนายท่าน โปรดยกโทษให้กับความโง่เขลาของพวกเราด้วย”

กลุ่มนักล่าหยิบหินวิญญาณของพวกเขาออกมาและส่งให้แก่ชายหนุ่ม อย่างไรก็ตามพวกเขาเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดา หินวิญญาณที่พวกเขามีก็เป็นเพียงเศษหิน หินก้อนใหญ่ที่สุดของพวกเขามีขนาดเพียงหนึ่งในสี่ส่วนของหินวิญญาณเต็มก้อนเท่านั้น

ผู้ใช้วิญญาณหนุ่มไม่ได้รับหินวิญญาณเหล่านี้แต่เขายังไม่หยุดเย้ยหยัน เขาใช้ดวงตาที่แหลมคมเหมือนตาเหยี่ยวกวาดมองไปรอบๆห้องอาหาร แน่นอนว่าเหล่านักล่าต่างก้มศีรษะลง เช่นเดียวกับชายชราที่นั่งอยู่ริมหน้าต่าง เขาหันหน้าไปทางอื่นเพื่อหลีกเลี่ยงการปะทะสายตากับชายหนุ่มผู้นี้

มีเพียงฟางหยวนเท่านั้นที่เฝ้าดูอยู่อย่างเงียบๆ

ชุดที่ชายหนุ่มสวมใส่อยู่เป็นเครื่องแบบของผู้ใช้วิญญาณ สำหรับฟางหยวนเขายังไม่ได้รับชุดเช่นนี้จนกว่าจะจบการศึกษาจากสถานศึกษาของหมู่บ้าน

คำว่า หนึ่ง บนหัวเข็ดขัดหมายถึงระดับของผู้ใช้วิญญาณผู้นั้น อย่างไรก็ตามจากภาพลักษณ์ของเขา เขาดูมีอายุประมาณยี่สิบปีหรืออาจมากกว่านั้น

สำหรับผู้ใช้วิญญาณ พวกเขาจะเริ่มบ่มเพาะตั้งแต่อายุสิบห้า ดังนั้นการเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับที่หนึ่งในช่วงอายุยี่สิบปี มันก็หมายความว่าเขามีพรสวรรค์เพียงนภาที่สี่เท่านั้น มันเป็นระดับที่แย่ยิ่งกว่าฟางหยวน มีความเป็นไปได้สูงที่ชายผู้นี้จะเป็นเพียงผู้ใช้วิญญาณสายสนับสนุนและไม่ใช่ผู้ใช้วิญญาณสายต่อสู้

อย่างไรก็ตามแม้มันจะเป็นกรณีนั้น มันก็ยังมีช่องว่างขนาดใหญ่ระหว่างผู้ใช้วิญญาณกับมนุษย์ธรรมดา

‘หากมีอำนาจก็จะอยู่ด้านบน นี่คือธรรมชาติของโลกใบนี้และทุกใบ ปลาใหญ่กินปลาเล็กและปลาตัวเล็กก็จะกินกุ้งที่ตัวเล็กกว่า มันเป็นเพียงว่าโลกวิญญาณใบนี้สามารถมองเห็นสัจธรรมข้อนี้ได้ชัดเจนมากกว่าเท่านั้น’ ฟางหยวนพึมพำกับตนเองอยู่อย่างลับๆ

“เอาล่ะ เจียงหยา เจ้าได้สอนบทเรียนให้กับพวกเขาแล้ว เจ้าไม่จำเป็นต้องสร้างปัญหาให้กับมนุษย์ธรรมดาเหล่านี้มากนัก หากข่าวรั่วไหลออกไป แม้เจ้าจะไม่กลัวเสียหน้า แต่ข้ากลัว” เสียงของคนอีกผู้หนึ่งที่นั่งอยู่ในมุมมืดกล่าวออกมาอย่างกะทันหัน

เมื่อทุกคนได้ยินเสียงสายนี้ พวกเขาก็ตระหนักได้ทันทีว่ามันเป็นเสียงของหญิงสาว

ชายหนุ่มที่ถูกเรียกว่า เจียงหยา หยุดเย้ยหยันและหมุนตัวเดินกลับไปที่โต๊ะของเขา แต่ในขณะที่เขาเดินกลับ เขายังคงกล่าวออกมาอีกครั้ง “หากพวกเจ้าต้องการดื่มต่อ ก็จงดื่มสุราไผ่เขียวให้หมด”

นักล่าทุกคนลดศีรษะของพวกเขาลงและทำตัวราวกับเด็กน้อยที่เชื่อฟังผู้อาวุโสหลังจากถูกตำหนิ

กลิ่นสุราไผ่เขียวฟุ่งกระจายไปทั่วทั้งห้องอาหารและทำให้นักล่ายิ่งรู้สึกเสียใจที่สูญเสียหินวิญญาณไปถึงสองก้อน นอกจากนี้พวกเขาก็ยังไม่ได้ลิ้มรสสุราล้ำค่าเหล่านั้นแม้แต่น้อย

ฟางหยวนใช้ตะเกียบคีบอาหารเข้าปากอย่างสะดวกสบาย ขณะเดียวกันเมื่อเขาสูดกลิ่นหอมของสุราไผ่เขียวเข้าไป เขาก็หยิบหินสีเทาขาวสองก้อนออกมาวางลงบนโต๊ะ

“เสี่ยวเอ้อ เอาสุราไผ่เขียวมาให้ข้า” เขากล่าวออกมาอย่างไม่แยแส

ราวกับเวลาหยุดเดิน ทุกสิ่งภายในโรงเตี้ยมแห่งนั้นพลันหยุดนิ่ง

ชายหนุ่มที่ชื่อเจียงหยาหยุดเท้าของเขาทันทีพร้อมกับใบหน้าที่กระตุกอย่างไม่อาจควบคุม เขาพึ่งกล่าวตักเตือนกลุ่มนักล่า แต่ตอนนี้ฟางหยวนกลับต้องการซื้อสุราไผ่เขียว นี่ไม่ต่างจากการตบหน้าเขาอย่างรุนแรง

เขาหันหน้ากลับมาและหรี่ตามองฟางหยวน

ด้านฟางหยวน เขาส่งสายตาตอบกลับไปอย่างไม่แยแสและปราศจากความเกรงกลัวอย่างสิ้นเชิง

ดวงตาของเจียงหยากระตุกขณะที่ความเย็นชาในสายตาของเขาค่อยๆเลือนหายไป เขาสัมผัสได้ถึงทะเลวิญญาณที่อยู่ในร่างของฟางหยวน หลังจากนั้นรอยยิ้มจึงปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขาพร้อมกับคำกล่าวที่สุภาพและเป็นมิตร “เป็นน้องชายนี่เอง”

เห็นการแสดงออกที่เปลี่ยนแปลงไปอย่างชัดเจนของเจียงหยา ทุกคนตระหนักรู้ได้ในทันทีว่าเหตุใดฟางหยวนจึงไม่เกรงกลัวผู้ใช้วิญญาณหนุ่มผู้นั้นแม้แต่น้อย นั่นเป็นเพราะเขาก็เป็นผู้ใช้วิญญาณเช่นเดียวกัน แม้เขาจะยังศึกษาอยู่ในสถานศึกษา แต่สถานะของเขาก็แตกต่างจากมนุษย์ธรรมดอย่างไม่สามารถเปรียบเทียบ

“นายท่าน นี่คือสุราไผ่เขียวของนายท่านขอรับ” เสี่ยวเอ้อเผยรอยยิ้มกว้างขณะที่ฟางหยวนพยักหน้าให้กับผู้ใช้วิญญาณหนุ่มก่อนจะรับสุราไผ่เขียวจากมือของเสี่ยวเอ้อและเดินจากไปทันที