ตอนที่ 141 เจ้าสำนัก
หลังจากฉางหยางและเฉินเซียงเดินผ่านภาพมายาเข้ามา ข้างหน้าของพวกเขายังคงเป็นบ้านพักหลังเล็กหลังเดิม ซึ่งตั้งอยู่กลางสวนดอกไม้ แต่คราวนี้ผู้ที่ยืนรอพวกเขากลับไม่ได้เป็นหนูน้อยเจ้าสำนัก กลับเป็นหญิงสาวผู้หนึ่งยืนอยู่หน้าบ้านพัก
รูปร่างของนางนับว่าผอมแห้งอยู่บ้าง ผิวพรรณก็ขาวซีดเล็กน้อย แต่ความงดงามนับว่าเทียบเท่ากับหลางหลู่เออร์เลยก็ว่าได้
“นางรึ?” ฉางหยางลอบสังเกตหญิงสาวตรงหน้าสักพัก ออร่าที่แผ่ออกมาจากร่างของนางช่างคล้ายคลึงกับหญิงสาวลึกลับและหนูน้อยเจ้าสำนัก แต่กลับนิ่งสงบดูน่าสะพรึงยิ่งกว่า
“เฉินเซียงเจ้าออกไปก่อน” นางกล่าวออกมาด้วยเสียงอันแผ่วเบา
ฉางหยางได้ยินเสียงนี้ ร่างของเขาก็สั่นสะท้านอย่างรุนแรง นางไม่ใครอื่นนอกเสียจากเป็นหญิงสาวลึกลับเมื่อนั้น ระดับการบ่มเพาะของนางถึงกระโดดข้ามชั้นไปอยู่ปราณก่อเกิดได้อย่างไร
“ปะ...ปราณก่อเกิดขั้นสาม! จะ..เจ้าทำได้อย่างไร” เขาแทบไม่อยากเชื่อเลยว่านางจะตัดผ่านสองชั้นปราณได้ภายในไม่ถึงห้าวัน ความสงสัยและความตกตะลึงยังไม่หายแคลงใจ ทว่าเสียงของหญิงสาวลึกลับก็ดังขึ้นมาเสียก่อนที่เขาจะถามต่อ
“มันก็แค่ข้าได้ระดับการบ่มเพาะดั้งเดิมกลับมาเท่านั้นเอง” หญิงสาวกล่าวออกมา สายตาของนางทอดสายมองฉางหยางอย่างใคร่รู้ ภายในใจขบคิดถึงเหตุการณ์เมื่อไม่นานมานี้ ผู้ฝึกวรยุทธที่เด็กหนุ่มตรงหน้าสังหารโดนพิษทั้งหมด แถมความน่ากลัวของพิษก็ยากจะต้านทานอีกด้วย
“เจ้ามีปราณพิษรึ” สีหน้าสงสัยยังคงมองยังฉางหยางอย่างต่อเนื่อง
“ปราณพิษ? เจ้ากล่าวอะไร.. ข้าจะไปมีสิ่งนั้นได้อย่างไร พิษที่เจ้ากล่าวถึงมันคือพิษจากสายเลือดมรกตกลืนกินจากสัตว์อสูรพันธสัญญาของข้า” ฉางหยางโบกมืออย่างหมดหนทาง เขาไม่คิดเลยว่านางจะเรียกมาถามด้วยเรื่องแค่นี้
“มรกตกลืนกิน” ภายในใจลอบตื่นตระหนกอย่างช่วยไม่ได้ สัตว์อสูรสายเลือดโบราณมันอาจไม่อยู่แล้วบนโลกใบนี้ และอาจจะหายสาบสูญไปตั้งแต่ยุคบรรพกาลแน่แล้ว
“สรุปเจ้าเรียกข้ามาเพราะอยากถามเรื่องนี้เองรึ” ฉางหยางถามด้วยความมึนงง
“ข้าจะมอบสำนักให้แก่เจ้า”
“ดะ..เดี๋ยวก่อน” ฉางหยางยื่นมือบอกให้นางหยุดกล่าวก่อน เขาเดินเข้าไปหานางอย่างช้าๆ ดวงตาไล่มองตั้งแต่เท้าจรดหัว และเอ่ยขึ้นในความไม่อยากเชื่อความคิดของตน
“อย่าบอกนะว่าเจ้าคือหนูน้อยเจ้าสำนักผู้นั้น”
หญิงสาวพยักหน้าเล็กน้อย สำนักดาราพิชิตมันถูกสร้างขึ้นก็เพราะนางต้องการอำพรางและหาวิธีรักษาผลึกทมิฬ แล้วตอนนี้ก็ไม่มีเหตุผลที่จะอยู่สำนักแห่งนี้อีกต่อไป
“แล้วเจ้าจะไปที่แห่งหนใดถึงได้มอบมันให้แก่ข้า” ใบหน้าอันเรียบนิ่งยังคงมองนางไม่เสื่อมคลาย เขาก็เคยสงสัยอยู่เช่นกันว่าหนูน้อยเจ้าสำนักต้องไม่ใช่คนของอาณาจักรชิน แต่ก็ไม่นึกเลยว่าพวานางทั้งสองจะเป็นคนๆเดียวกันได้
“ข้าต้องกลับไปยังสถานที่แห่งนั้นเพื่อกระทำการบางอย่าง” ดวงตาของนางเผยร่องรอยแห่งความเจ็บแค้นออกมา
เห็นจิตสังหารที่แผ่ออกมาเพียงชั่วครู่ เขาก็เข้าใจได้ทันทีว่า หากเป้าหมายไม่สำเร็จนางคงไม่กลับมาแน่แล้ว เสียงถอนหายใจยาวดังยาวออกมา
“เฮ้อ! เอาเถอะข้าจะดูแลสำนักแห่งนี้แทนเจ้าเอง.... เอ่อ..แล้วเจ้ามีนามว่ากระไรรึ” ฉางหยางเอ่ยถามขึ้น เผื่อวันข้างหน้าเขาอยากพบนางจะได้ออกตามหาได้ถูก
“ข้าเจียวเหม่ย” สิ้นเสียงของนาง มือเรียวยาวถูกขึ้นเหนือศีรษะ หมอกจำนวนมหาศาลไหลมารวบรวมอยู่บริเวณมืออย่างรวดเร็ว ภาพมายาค่อยๆเสื่อมคลายลง จนสุดท้ายเหลือเพียงแต่บ้านพักและดอกไม้ที่ไม่หายไป
เมื่อกระบวนการทุกอย่างเสร็จสิ้นแล้ว นางหันมามองฉางหยางเล็กน้อยก่อนจะเดินไปหาพวกของเฉินเซียงที่ยืนรออยู่ ทว่าเสียงสุดอ่อนหวานก็ดังออกมา
“ข้าเป็นหนี้เจ้า”
หมอกที่อัดแน่นรวมกันอยู่ในมือของเจียวเหม่ยกระจายตัวออกไปฉีกกระชากอากาศ จนเผยให้เห็นช่องว่างขนาดสี่เมตรพร้อมร่างของเหล่าผู้อาวุโสสำนักทั้งหมดและเจียวเหม่ยเดินหายเข้าไปในประตูมิติอย่างเงียบงัน
“ข้าจะทำเช่นไรดี” ฉางหยางสายหน้าเล็กน้อย ในสำนักดาราพิชิตตอนนี้แทบจะไม่มีผู้อาวุโสคนใดอยู่เลย อาจจะกล่าวได้ว่ามีเพียงเหล่าศิษย์เท่านั้น
หลังจากเหล่าผู้อาวุโสและเจียวเหม่ยจากไปแล้ว ฉางหยางได้เดินกลับมายังบ้านพักของเขา แต่ว่าสิ่งที่ตรงหน้ากลับทำให้เขาต้องหยุดชะงักลงชั่วครู่ เพราะมันคือเหล่าศิษย์ทั้งหมดของสำนัก พวกนางพร้อมใจมายืนรอตามคำบอกกล่าวของเหล่าผู้อาวุโส
“ฉางหยางมันเกิดอะไรขึ้น ข้าได้ยินพวกนางบอกว่าเหล่าผู้อาวุโสออกจากสำนักไปแล้ว” หลวนเฟยเดินแทรกศิษย์หญิงออกมาด้วยความเร่งรีบ
“ตอนนี้ภายในสำนักมีแต่เหล่าศิษย์เท่านั้น ทั้งผู้อาวุโสและเจ้าสำนัก พวกนางออกเดินไปสถานที่อันห่างไกลแล้ว”
“เจ้าหมายความว่าอย่างไร ข้าไม่เข้าใจ” หลวนเฟยตีสีหน้าสงสัย
ฉางหยางหาได้ตอบหลวนเฟยไม่ เขามองไปยังเหล่าศิษย์สตรีแล้วเอ่ยออกมาอย่างเสียงดัง “สำนักดาราพิชิตแห่งนี้จะไม่มีเหล่าผู้อาวุโส หรือทรัพยากรในการบ่มเพาะที่เพียงพออีกต่อไป ต่อจากนี้ข้าคือเจ้าสำนักคนใหม่ หากมีศิษย์คนใดไม่อยากอยู่เป็นศิษย์สำนัก ข้าก็จะไม่ห้ามเชิญพวกเจ้าตัดสินใจกันเอาเอง”
เสียงสนทนาดังขึ้นระหว่างเหล่าศิษย์หญิง จนสุดท้ายพวกนางเกือบทั้งหมดพากันเดินจากไปด้วยใบหน้าเศร้าหมอง สำนักที่ไม่ทรัพยากรบ่มเพาะ ไม่มีผู้อาวุโสจะเป็นสำนักได้อย่างไร นี่ทำให้พวกนางต้องถอดใจเดินจากไป หลงเหลือเพียงไม่กี่คนเท่านั้น
เวลาผ่านไปไม่นาน เหล่าศิษย์หญิงที่เหลืออยู่ก็มีประมาณสิบกว่าคน ระดับการบ่มเพาะส่วนมากก็อยู่เพียงปราณนภา
ถึงอย่างไรสำนักแห่งนี้ก็ยังมีเคล็ดวิชาสำหรับพวกนางให้ฝึกปรือ และทรัพยากรบางส่วนที่เหลืออยู่ นี่จึงทำให้พวงนางตัดสินใจอยู่ต่อ
ฉางหยางพยักหน้าอย่างพอใจ สายตาของเขากวาดมองเหล่าศิษย์หญิงที่กำลังยืนอยู่ หนึ่งในนั้นเขาจำนางได้ ฉีหลินเป็นบุตรสาวของตระกูลชั้นสูงเช่นกัน แต่ก็ด้อยกว่าตระกูลหลางอยู่หลายขั้น ด้วยความร่ำรวยของตระกูลนางน่าจะเข้านิกายเมฆาสีหมอกได้อย่างสบายๆ แล้วทำไมนางถึงยังอยู่ในสำนักอันต้อยต่ำแห่งนี้
ฉางหยางเลิกขบคิดเรื่องดังกล่าว เขามองไปยังเหล่าศิษย์และเอ่ยขึ้นอย่างเสียงดัง “เอาล่ะ...ต่อไปนี้พวกเจ้าเป็นศิษย์ของสำนักข้าแล้ว ส่วนเรื่องทรัพยากรการบ่มเพาะเดินเข้าไปเลือกเอาที่บ้านน้ำแข็งนั่นได้เลย อาวุธและชุดเกราะพวกเจ้าสามารถเลือกเอาตั้งแต่ชั้นปราณผันผวนลงมาได้”
มือข้างขวาชี้ไปยังบ้านน้ำแข็งหลังหนึ่งตั้งอยู่ห่างจากบ้านพักของหลิ่งซูไปประมาณร้อยเมตร ก่อนจะเดินไปกับเฉินเซียงเขาได้บอกให้หย่าจิ้งสร้างคลังเก็บสมบัติขึ้นมา เพราะพื้นที่ในแหวนมิติของเขามันไม่เพียงพอ
ศิษย์หญิงทั้งหมดเดินตรงไปบ้านน้ำแข็ง พวกนางต่างก็สงสัยอยู่แล้วว่าข้างนั้นมันมีอะไรอยู่กันแน่ แล้วผู้ใดเป็นคนสร้างมันขึ้นมา
ทว่าเพียงก้าวเดินไปอยู่ข้างๆ เท่านั้น บ้านน้ำแข็งที่ปิดตายไม่มีทางเข้าออก กลับค่อยๆ สร้างช่องว่างขึ้นมา พลังลมปราณอันหนาแน่นและบริสุทธิ์เริ่มทะลักออกจากช่องประตู ทั้งที่ก่อนหน้านี้พวกนางไม่อาจสัมผัสมันได้เลยแท้ๆ
“ส..สมบัติมากขนาดนี้เลยรึ” หนึ่งในเหล่าศิษย์หญิงกล่าวออกมาด้วยความตกใจ ทรัพยากรบ่มเพาะขนาดนี้ มันสามารถเทียบเท่ากันนิกายอันดับต้นๆ ได้เลย
“จริงรึ ไหนๆ ให้ข้าได้ดูบ้าง” หนึ่งในศิษย์หญิงเดินแทรกผ่านเข้ามาดูพร้อมกับชี้ไปข้างหน้า
“กระบี่อันนั้นต้องเป็นของข้า”
เพียงแค่สิ้นเสียงในเสี้ยววิ ศิษย์หญิงทั้งสิบกว่าคนวิ่งกรูเข้าไปข้างในอย่างรวดเร็ว พร้อมกับหยิบอาวุธและชุดเกราะมาสวมใส่โดยไม่ไว้หน้าเจ้าสำนักคนใหม่เลยแม้แต่น้อย
“เจ้าเอาจริงรึ ที่จะให้สมบัติเหล่านั้นกับพวกนาง” หลวนเฟยหันไปถามสหายอีกครั้ง หลังจากเห็นอาวุธปราณและชุดเกราะปราณผันผวนบางชิ้นถูกหยิบไป
“เอาเถอะ.. ถึงอย่างไรพวกนางก็ตัดสินใจแล้ว แค่สมบัติปราณผันผวนสักชิ้นสองชิ้นต่อคนคงไม่เป็นไร” ฉางหยางเหลือบมองสหายผู้โลภมาก ขนาดทั้งตัวเต็มไปด้วยสมบัติปราณก่อเกิดยังต้องการสมบัติปราณผันผวนอีกรึ
“ข้าจะถามเจ้าอีกครั้ง เจ้าแน่รึที่จะให้สมบัติเหล่านั้นแก่พวกนาง” หลวนเฟยเอ่ยขึ้นอยากไม่เชื่อสายตาของตนเอง
“อะไรกัน.. ข้าบอกแล้วข้าแน่...จะ..ใจ...” ฉางหยางหันกลับกล่าวยังไม่ทันจบ ปากที่ปิดสนิทอยู่ก็อ้าออกกว้าง เม็ดเหงื่อแห่งความยากจนเริ่มไหลรินสมบัติที่พวกนางทั้งสิบกว่าคนเลือกนั้น มีแต่ชั้นปราณผันผวนทั้งหมด แถมยังครบชุดดั่งเช่นหลวนเฟยอีก
เขาไม่คิดเลยว่าพวกนางจะเลือกเอาสมบัติแบบไม่ไว้หน้าอย่างนี้ แม้กระทั่งฉีหลินเองก็เช่นกัน นางเป็นถึงบุตรสาวผู้มากมี ทำไมถึงหอบเอากองสมบัติเต็มอุ้มแขนอย่างนั้น นี่มันไม่ใช่ดั่งที่เขาคิดแล้ว.....