LSG-บทที่ 110 อยู่ในห้องกันสองคน
LSG บทที่ 110
แปลไทยโดย : SwordGod
อยู่ในห้องกันสองคน
ซูหยุนไม่ได้กลัว ศาลาใจทมิฬ พลังของพวกขเายังไม่เท่าสำนักกระบี่เซียนแล้วพวกเขายังเป็นสาวกภายในอีก มีอะไรที่ต้องกลัว?
หลังจากมันแลกกระบวนท่ากับศาลาใจทมิฬแล้วมันก็กลับห้อง หลังจากมันกินอาหารเสร็จมันก็รีบออกไปตลาดในเมองเพื่อซื้อของเตรียมไว้สำหรับวันพรุ่งนี้
มันทำสิ่งต่างๆเพียงคนเดียวไม่เคยไปยุ่งกับเหล่าคนในตระกูล ความสงสัยต่างเริ่มเกิดขึ้น
การเข้าร่วมชุมนุมล่ามัจฉามันเป็นแค่ฉากบังหน้า คนมากมายมาเพื่ออยากลองของเขตแดนดวงจิตวิญญาณขั้นที่8 แม้ว่าระดับเขตแดนดวงจิตวิญญาณขั้นที่8เพียงพอที่จะกวาดล้างบรรดายอดฝีมือจากสำนักต่างๆหลายสิบสำนักก็ตามที
แต่ถ้าพวกเขาเข้าร่วมภาระกิจชุมนุมมัจฉาครั้งนี้มันจะสร้างชื่อเสียงเข้าสู่สำนักและเหล่านิกาย ตระกูลต่างๆได้มากมายเลยทีเดียว มีข้อดีหลายประการ เนื่องจากมันมีประโยชน์มากมาก ทำไมถึงแค่แสดง? ยังไงก็ตาม มันก็ไม่มีอพไรจะเสีย
การที่จะได้จักษุศักดิ์เกล็ดสวรรค์นั้นมันไม่ง่ายเลย ราชามัจฉาสวรรค์นั้นระดับเขตแดนดวงจิตวิญญาณขั้นที่8 สัตว์ปีศาจบำเพ็ญได้สูงขนาดนี้ได้ยังไงกัน? ร่างกายทุกส่วนของมันคือสมบัตินิกายและสำนักต่างๆจะได้สิ่งเหล่านั้นเป็นค่าตอบแทน ดวงตาของมันคือสิ่งที่มีค่าที่สุดเหล่าขุมพลังต่างๆต้องการครอบครองมัน จะเห็นแล้วว่ามันยากเย็นขนาดไหน?
ซูหยุนวางแผนของมันไว้ในใจ
วุ่นวาย!
ด้วยระดับการบ่มเพาะของมันการที่จะได้สมบัติต้องอยู่ในช่วงที่วุ่นวายเท่านั้น
แล้วมันจะสร้างความวุ่นวายได้ยังไง?
ถ้าแค่สร้างความวุ่นวายเขตแดนผลิวิญญาณระดับต่ำก็แค่สะกดเวทมนต์พวกเขาเท่านั้น ถ้าพวกอยู่ขั้นที่5หรือสูงกว่านั้นเวทมนต์อาจจะไม่ได้ผล มันไม่แน่ใจว่าจะมีสาวกเขตแดนดวงจิตวิญญาณปรากฏตัวหรือเปล่า หากว่าเป็นอย่างนั้นการที่มันจะได้รับจักษุเกล็ดสวรรค์ก็จะเป็นเรื่องยากขึ้นไปอีก
ขระที่มันคิดมันก็ได้มาถึงตลาดแล้ว
หลังจากที่มันซื้อเสร็จมันก็กลับไปที่โรงเตี้ยม
ถึงแม้ว่าจะเข้าสู่กลางดึกแล้วแต่เหล่าสาวกศาลาใจทมิฬยังนั่งดื่มสุราจับกลุ่มนินทรากันอยู่ ไม่มีคนของตระกูลซูเลยราวกับว่าพวกเขาไม่อยากร่วมห้องด้วยพวกเขาเลยอยู่แต่ในห้องของตนเอง
ซูหยุนเดินผ่านห้องโถง ศาลาใจทมิฬทุกคนหยุดการพูดคุยกันแล้วมองไปทีมัน พวกเขามองอย่างกระอักกระอ่วนใจไม่มีใครกล้าพูดถึงสิ่งใดด้วยความกลัว
ซูหยุนรู้สึกขำในใจ แต่มันไม่ได้พูดอะไรและเดินกลับห้อง
เมื่อมันกลับไปการพูดคุยในห้องดถงเริ่มเสียงดังจอแจขึ้นอีกครั้ง
ภายในห้องซูหยุนหยิบวัตถุออกมาวางเรียงไว้บนเตียง พร้อใกับหยิบแผนที่ อารามไท่ฉิง
ที่มุมบนขวามือเป็นบริเวณที่ทำเครื่องหมายไว้ นั่นคือ ทะเลสาปไท่ฉิง ระยะทางจาก เมืองสเว๋ถัง ห่างจากทะสาปไท่ฉิงแค่เดินทางไม่กี่ชั่วยาม ในระหว่างนั้นเป็นภูเขามหึมาถัดไปเป็นพื้นที่โล่งกว้าง ตรงกลางคือ อารามไท่ฉิง
ซูหยุนศึกษาแผนที่อารามไท่ฉิงปราะมาณครึ่งชั่วยามก่อนจะเก็บ จากนั้นมันก็เตรียมส่วนผสมต่างๆที่มันซื้อมา
มีส่วนผสมหลายประเภท แต่พวกมันนั้นธรรมดาไม่ได้เลอเลศ ยกเว้น2อย่างที่เป็นเหมือนลักษณะผิดมนุษย์มนาและค่อนข้่งเป็นปัญหา
หนึ่งคือกะโหลกศีรษะของสัตว์อสูรเก้าเขี้ยวเดนนรก 'สัตว์อสูร9เขี้ยวเดนนรก' จัดได้ว่าเป็นปีศาจชั้นต่ำในทวีปปีศาจ พวกมันมีการบ่มเพาะอยู่เขตแดนแก่นแท้วิญญาณ มีอยู่หลายแห่ง แต่ไม่ค่อยได้เห็นใน ทวีปจอมยุทธฟ้า มันไม่ได้พบเห็นง่ายๆ
กะโหลกศีรษะของ สัตว์อสูร9เขี้ยวเดนนรก อยู่ในตลาดมืดมีราคาอยู่ที่23000เหริยญ
อีกอันหนึ่งคือ วานรปีศาจแห่งหุบเขาลึก มันเป็นสิ่งล้ำค่าและมันช้เหรียญวิญญาณ19000เหรียญ
เหรียญวิญญาณที่มันปล้นมาจากซูฮัวหยูหมดเกลี้ยงแล้ว
แต่หากว่ามันได้รับจักษุเกล็ดสวรรค์ในวันพรุ่งนี้ก็นับว่าคุ้มค่า
ของสองสิ่งนี้มีปราณปีศาจหนาแน่น มันสามารถใช้ตำรากระบี่ไร้สรรพสิ่งปกปิดได้ แม้ว่าผู้อาวุโสกระบี่จะไม่เต็มใจเขาบอกว่าลมปราณปีศาจมันแซกซึมเข้ามาแต่ว่าซูหยุนไม่ได้สนใจเขาเลยพูดอะไรไม่ออก
มันตัดสินใจพักส่วนผสมที่เหลือไว้
มันมองขึ้นไปบนท้องฟ้าด้านนอก มันมืดแล้ว แม้ว่าเมืองสเว๋ถังจะไม่เหมาะกับเมืองกลางคืนเพราะสำนักนักต่างๆได้หยูดพักผ่อน แต่ไกลจากที่นี่ มันยังคงมืด
1ชั่วยามผ่านไป
ส่วนผสมทั้งหมดได้ถูกเตรียม รวมทั้งสิ่งที่ต้องทำเพิ่มเติม มีลูกบอลสีดำเจ็ดลูกที่สร้างขึ้น
"เมื่อเวลานั้นมาถึงข้าต้องพึ่งเจ้าแล้ว!"
ซูหยุนหยิบลูกบอลขึ้นมาตรวจเช็ค มันพูดพึมพำแล้วโยนใส่ไว้ในกระเป๋า
เมื่อทุกอย่างเตรียมพร้อมมันก็วางไว้บนเตียงแล้วนอนหลับพักผ่อน
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานแค่ไหนแล้ว ...
ปังๆๆๆ!
เสียงเคาะรัวออกมาเป็นชุดที่หน้าประตูห้องของมัน
ซูหยุนลืมตาขึ้นมาอย่างงัวเงีย"ใครกันมามาเอาป่านนี้?"
มันนึกขึ้นมาได้ก่อนที่จะเด้งขึ้นจากเตียง ฟิ้ว!
เขาเห็นชายคนหนึ่งสวมเสื้อสีเขียวยืนมองไปที่ซูหยุนด้วยท่าทางอ่อนโยนและพยักหน้าเล็กน้อย "ข้าเข้าไปได้มั้ย?"
"ข้ายังไม่ได้พักเลย!" ซูหยุนยังไม่ทันได้เชิญ ซูก้วนไห่ ก็เข้ามาในห้องของมันแล้ว "ท่านมาทำอะไรดึกๆดื่น?"
"ข้าอยากจะคุยกับเจ้าสักหน่อย!"
ซูก้วนไห่ยิ้มทื่อๆ"เจ้าจะรังเกียจมั้ย?"
ซูหยุน ผงกหัวของมันในความคิด หลังจากนั้นมันก็ผายมือเชิญซูก้วนไห่
เมื่อเขาอยู่ในห้องก็ยืดคอยาวโยกซ้ายขวาเหมือนงูเห่า แล้วเขาก็ถามว่า "นี่มันกลิ่นอะไร?"
"มันเป็นกลิ่นเท้าของข้าเองข้าเพิ่งล้างมัน!"
ซูหยุนตอบไปส่งๆแล้วเดินไปรินน้ำชาบนโต็ะ
ซูก้วนไห่รีบปิดจมูกของเขา
ซูหยุนยกน้ำชามาให้
“ขอบใจ!”
ซูหยุนไม่ดื่มชา มันเดินไปที่เตียงและนอนลงไปทันที ด้วย2มือหนุนหัวแล้วพูดว่า "หัวหน้าก้วนไห่ ท่านมีอะไรก็พูดมาตรงๆอย่าอ้อมค้อม คืนนี้ข้าต้องการพักผ่อน! "
ซูก้วนไห่ยังเงียบ ผ่านไปประมาณ40กว่าลมหายกว่าเขาจะพูดออกมา"ที่ข้ามาที่นี่ในคืนนี้ ข้าก็แค่อยากจะถามนายน้อยซูหยุนถึงเรื่องปัญญหาพรสวรรค์ของท่าน!"
“พรสวรรค์?” ซูหยุนตกใจมากแต่มันก็หัวเราะแทน "ฮ่าๆๆหัวหน้าก้วนไห่ ท่านสับสนสิ่งไดกัน ? ท่านกำลังถามขยะในตำนานอย่างข้าเรื่องพรสวรรค์? ฮ่า ๆ ท่านช่างน่ารักจรองๆ ... "
"ท่านฟื้นคืนพรสวรรค์ได้ตั้งแต่เมื่อไหร่?"
ซูก้วนไห่ถามขณะที่ที่ซูหยุนยังหัวเราะไม่จบ
ใจของซูหยุนหล่นวูบแล้วยิ้มออกมา
นัยตาของมันฉายแวววูบวาบ "มันไม่สำคัญหรอกน่า?"
"ข้าก็แค่อยากรู้
"สองปีที่แล้ว!"
ซูหยุนตอบลวกๆเพราะตอนนี้เขาต้องระวังตัว
ดูเหมือนว่ามันจะเป็นจุดสนใจ หากเรื่องนี้เปิดเผยมากขึ้นมันจะตกเป็นเป้าสนใจ ดูเหมือนว่ามันต้องระวังตัวมากกว่านี้จะได้ไม่เป็นที่น่าสนใจ
"สองปีที่แล้ว?" ซูกว้นไห่ถามด้วยตกใจ "ท่านฟื้นฟูได้ยังไง?"
"ท่านรู้ใช่มั้ยว่าพรสวรรค์ของข้ามันลดลงเรื่อยๆ?"
“ท่านฟังน่ะ!
"ทำไมท่านถึงต้องการรู้ว่าข้าฟื้นฟูมันได้ยังไง?"
ซูก้วนไห่เงียบ
ความตั้งใจของซูหยุนเป็นเรื่องที่ชัดเจน ถ้าท่านไม่บอกว่ามาที่นี่ทำไมแล้วเรื่องอะไรมันต้องบอก?
มันดึงผ้าห่มคลุมหน้าและพูดว่า "หัวหน้าก้วนไห่หากไม่มีอะไรแล้วได้โปรดเชิญ ชายสองคนอยู่ในห้องเดียวกันตอนกลางคืนมันจะไม่ดี? โลกใบนี้มันทำให้เกิดความวุ่นวาย! "
"... "
ซูก้วนไห่มองไปที่ถ้วยน้ำชาแล้วขมวดคิ้วว่า "บอกตามตรงพรสวรรค์ของข้าได้รับบาดเจ็บ!"
"หืม? ซูหยุนเปิดผ้าห่มออกและจ้องมองเขาด้วยความสับสน
"เมื่อ7ปีที่แล้วเกิดอุบัติเหตุขึ้นแก่นแท้วิญญาณของข้าได้รับบาดเจ็บ ข้าดื้อด้านและไม่ใส่ใจ ข้ากินน้ำแกงดอกไม้ข่มต่อเนื่องกันมา80วันก่อนที่จะฟื้นตัว แต่ไม่ว่ายังไงพรสวรรค์ของข้าก็ไม่ฟื้นฟูได้เต็มที่ ข้าเคยเป็นหนึ่งในสาวกที่โดเด่นแห่งตระกูลซู แต่ว่าตอนนี้...ข้าไม่ต่างอะไรกับคนธรรมดา "
ซูหยุนพยักหน้าแล้วเข้าใจซูก้วนไห่ทันทีว่าทำไมเขามาเยี่ยมตอนดึกๆ
มันเป็นที่รู้จักกันในนามขยะ มันฝึกฝนมา7-8ปีแต่ไม่มีความก้าวหน้าใดๆแต่เมื่อไม่นานมานี้ความแข็งแกร่งของมันเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว มันจะไม่ได้รับความสนใจได้ยังไง?
"ข้าเข้าใจแล้ว แต่....ข้าคงช่วยอะไรท่านไม่ได้! ท่านน่าจะไปที่หุบเขาฮวาซินนะเผื่อท่านจะโชคดี! "
มันไม่ได้รู้จักนิสัยที่แท้จริงของซูก้วนไห่ดังนั้นมันจึงไม่ไว้วางใจเรื่องนี้อย่างเห็นได้ชัด
นอกจากนี้มันยังแตกต่างระหว่างอาการป่วยกับการได้รับบาดเจ็บของมัน วิธีของมันอาจจะไม่ได้ผลกับเขาก็ได้
ซูก้วนไห่ หัวเราะอย่างขมขื่น "ข้าเคยไปหุบเขาฮวาซินมาแล้วแต่อาการบาดเจ็บของข้ารุนแรงมากข้าต้องการให้จ้าวหุบเขามาช่วยรักษาข้าเกรงว่าแม้แต่ราชาเม็ดยาก็ไม่สามารถรักษาช้าได้ แล้วเจ้าหุบเขาจะมาช่วยบุคคลเล็กๆเช่นข้าหรอ? "
ซูหยุนเงียบ
ซูก้วนไห่ลุกขึ้นยืนมองไปบนเตียงโดยไม่ลังเลกำหมัดไว้แน่น "เมื่อนายน้อยซูหยุนหมดสิ้นหนทาง ถ้างั้นซูก้วนไห่ก็ขอตัวลา!"
"โอ้ใช่!"
ทันใดนั้นซูหยุนก็ร้องตะโกน
"อะไร?"
"ข้าอยากถามอะไรสักอย่าง" ซูหยุนคิดครู่หนึ่งก่อนที่จะถามต่อ"ท่านเป็นใครในตระกูลซู? ทำไมข้าถึงไม่เคยได้ยินเรื่องของท่านมาก่อน? "
ในความทรงจำของมัน มันไม่เคยได้ยินเรื่องราวของซูก้วนไห่ มันเคยอยู่ในสำนักภายในมาก่อน มันก็ไม่เคยได้ยินชื่อ
ซูก้วนไห่ได้ยินเขาก็รู้สึกประหลาดใจ จากนั้นก็เผยรอยยิ้มอย่างอ่อนโยน "ข้าเป็นพี่เลี้ยงทายาทตระกูลซู ข้าเพิ่งกลับมาไม่กี่ปีให้หลังนี้ เป็นเรื่องธรรมดาที่นายน้อยซูหยุนจะไม่รู้จักข้า! "
"โอ้ ... " ซูหยุนไม่ได้พูดอะไร แต่คำถามในใจยังไม่ได้รับการตอบ
ซูก้วนไห่ไม่พูดสิ่งใดต่อแล้วจากไป
หลังจากซูก้วนไห่จากไปแล้วซูหยุนก็ไม่ได้คิดจะหลับ มันไม่อยากคิดถึงเรื่องซูก้วนไห่มันนั่งบนเตียงแล้วฟูมฟักลมปราณลึกล้ำแทน
เมื่อภารกิจเสร็จสิ้นมันมองเข้าไปในฝักกระบี่ไร้สรรพสิ่ง
ด้วยความคิดดังกล่าวซูหยุนรวบรวมทั้งหมดตั้งสมาธิ
สองชั่วยามถัดมาเป็นเวลายาม1 ซูหยุนยืนขึ้นทันทีสวมเสื้อผ้าสีขาวและสะพายกระบี่มรณะและฝักกระบี่ มันถอดป้ายสาวกตระกูลซูออกเก็บไว้ในแหวนแล้วออกจากโรงเตี้ยม
พวกสาวกศาลาใจทมิฬเพิ่งจะได้สติแล้วกลับเข้าห้องไปทีละคนปล่อยให้เสี่ยวเอ้อเก็บโต๊ะ
ซากปรักหักพังยังเหลืออยู่จากการต่อสู้วันก่อนๆแต่ตระกูลซูและศาลาใจทมิฬชดใช้ค่าเสียหายแล้ว เถ้าแก่ร้านยังยินดีที่จะให้บริการแขกกลุ่มนี้อยู่
“อ่า? ท่านลูกค้า ข้างนอกมันมืดแล้ว ท่านยังจะออกไปอีกรึ?”
แต่ซูหยุนออกไปอย่างรวดเร็วไม่ได้ตอบคำถามเขา
เมื่อมันออกมาจากโรงเตี้ยมแล้วมันก็ขี่ม้าวิญญาณที่มันซื้อมาเมื่อวานนี้ออกจากเมืองไป
ในขณะนี้ในเมือมีหลายสำนักพักอยู่จึงไม่ได้มีการปิดประตูเมือง เพื่อความสะดวกในการเข้าออกเมือง มันขี่ม้าตามแผนที่มา หลังจากผ่านไป1ชั่วยามมันก็มาถึงลานทะเลสาปไท่ฉิง
สายลมพัดชายเสื้อของมันปลิวไสว
ซูหยุนมองความกว้างของทะเลสาปไท่ฉิงเหมือนเป็นกระจกขนาดใหญ่ความสว่างไสวแต่งแต้มผ่านสายตาของมัน
แปลไทยโดย : SwordGod