ตอนที่ 149 – เคียวกางเขนมรกตผืนผ้าแดง
ตอนที่ 149 – เคียวกางเขนมรกตผืนผ้าแดง
เสียงร้องอู้อี้งัวเงียของถังเทียนดังให้ได้ยินเนื่องจากถูกปลุกโดยเสียงดังที่อยู่รอบๆ
เขาเปิดตาที่พร่ามัวขึ้นมาและตระหนักได้ว่านอนอยู่บนพื้น พื้นหินที่แข็งมันสั่นสะเทือนเล็กน้อย หื้ม? ถังเทียนสัมผัสมันได้ในทันที จากที่พื้นดินสั่นสะเทือนเช่นนี้ มันหมายความมีผู้คนมากมายที่วิ่งจนสั่นสะเทือน
เขาค่อยมองไล่ตามไปยังพื้นหินและขยายสายตามองออกไปไกล ร่างทองแดงขนาดใหญ่ปรากฏขึ้นภายในสายตาของเขา
ถังเทียนตกละลึง
นั่นมัน...พยัคฆ์เขี้ยวดาบหนิ!
“กองทัพกางเขนใต้ จู่โจม!”
เสียงของทหารตะโกนอย่างแหบแห้ง รอยอยู่ภายในอากาศ คล้ายว่าโดดเดี่ยวอยู่ท่ามกลางเสียงร้องคำรามและตะโกนอันมากมาย
ลุงทหาร... ถังเทียนจ้องมองไปที่ฉากนั่นอย่างงุนงง และภายในใจของเขาพลันบีบรัด
ทหารเหยียดขยายแขนทั้งสองของเขาออกกว้าง มันราวกับมิอาจปัดป้องได้และเปลี่ยนกระบวนท่าพุ่งตรงไปยังกลุ่มผู้คนอันล้นหลาม แต่ละคราที่เท้าของเขาเหยียบลงบนพื้น มันเต็มไปด้วยกำลัง และเพียงแค่ไม่กี่ก้าว ความเร็วของเขาก็เพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน จากนั้นร่างก็ดูเลือนราง
ฉึก ฉึก ฉึก!
กรงเล็บพยัคฆ์กรีดผ่านอากาศด้วยความเร็วสูงมันกลายเป็นแดงดั่งโลหิต จากนั้นมันลุกลามไปยังฝ่ามือและแผ่กระจายไปยังแขนทองแดงมากมายอย่างรวดเร็ว
ฉากเบื้องหน้าสายตาถังเทียนมันน่าตื่นตะลึงนัก เขาเห็นได้ชัดเจนว่าพยัคฆ์เขี้ยวด้าบพุ่งปะทะด้วยความเร็วขณะที่มันไม่สูญเสียสมดุลเลย ร่างของมันตรงราวกับกระบี่ แต่ทันใดนั้นเองเขาก็รู้สึกประหลาดใจ นั่นมันอะไรกัน?
ร่างของพยัคฆ์เขี้ยวดาบสว่างขึ้นไปด้วยประกายแสงสีเขียว และมันยิ่งเปล่งประกายสว่างขึ้นเรื่อยๆ
ทันใดนั้น พยัคฆ์เขี้ยวดาบกระทืบเท้าออกลงบนพื้นด้วยขาขวา ด้วยการกระทืบนี้มันจมลึกลงไปภายในพื้นหิน มันช่างเป็นพลังที่น่าตกใจนัก!
จากนั้นพยัคฆ์เขี้ยวดาบพลันสลายหายไปจากสายตา
ภายในสายตาถังเทียนมันมีรอยกางเขนที่ผิดปกติอยู่ซึ่งแนวด้านหนึ่งเป็นสีเขียวและอีกแนวด้านหนึ่งเป็นสีแดง!
เคียวกางเขนมรกตผืนผ้าแดง
มรกตผืนผ้าแดงโหมกระหน่ำราวกับห่าฝน
แคว้ก!
เสียงคล้ายกับผ้าฉีกขาด มันได้ยินอย่างชัดเจนแม้ว่าจะมีเสียงรบกวนมากมาย
ถังเทียนจ้องมองอย่างงุนงงไปที่เบื้องหน้าสายตาของเขา มรกตผืนผ้าแดงมันราวกับเคียวกางเขนที่ทำลายทุกสิ่งที่มันพาดผ่านไป ราวกับค่อยๆกรีดผ่านเต้าหู้
มิว่าที่ใดที่คมดาบสีแดงและเขียวนี้ผ่านไป มันมิมีอะไรที่จะปัดป้องได้แม้แต่พริบตาเดียว เหมือนกับว่าพวกเขาตวัดผ่านอากาศธาตุ
ท่ามกลางเสียงคำรามและตะโกนด้วยความโกรธ มรกตผืนผ้าแดงนิ่งเงียบปราศจากเสียงอันใดทั้งสิ้น
มันค่อยๆกรีดผ่านไปทั่วถนนอย่างเงียบๆ และหยุดลงที่สุดปลายถนน
กางเขนที่ขยายยาวออกไปของพยัคฆ์เขี้ยวดาบเป็นสิ่งเตือนใจเหมือนดังเช่นสมัยอดีต!
ฉึก ฉึก ฉึก!
เบื้องหลังของเขา ทั่วทั้งถนนราวกับเป็นเส้นเลือด โลหิตมากมายกระจัดกระจายไปทั่ว กำแพงบ้านด้านล่างทั้งสองข้างต่างถูกกรีดตรงกลางอย่างราบเรียบ เสียงโหยหวนราวกับบทเพลงที่เศร้า และดังก้องท่ามกลางความวุ่นวายนี้
โลหิตมันหลั่งไหลราวกับสายน้พและศพก็กระจัดกระจายไปทั่ว
ภายในถนนทางยาวเส้นนี้ มิมีผู้ใดที่ยืนอยู่แม้แต่คนเดียว ภายในตรงกลางพื้นหินของถนน เกิดร่องรอยตรงลึกที่มาจากการที่พยัคฆ์เขี้ยวดาบพุ่งตัวออกไป ที่มันได้เหยียดขยายออกไปใต้เขาเมื่อครู่นี้
ทุกคนที่ได้เห็นการต่อสู้นี้ เหมือนกำลังประสบกับฝันร้ายที่ไม่อาจลืมเลือนภายในชีวิตพวกเขา
ตึง ตึง...
แต่ย่างก้าวที่หนักหน่วง เหยียบไปบนกองเลือดและเดินอย่างอิดโดยไปข้างหน้าอย่างช้าๆ
ผู้นำ...สิ่งที่ท่านให้สั่งสอนข้าเอาไว้ ข้ามิได้ลืมเลือนมันเลย...
ภายในพยัคฆ์เขี้ยวดาบทหารพลันหลั่งน้ำตาออกมา
※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※
การต่อสู้ภายในถนนนี้ มันสั่นสะเทือนดาวเฟยหลินได้เลย
พี่น้องฮวาซื่อ ห้าสิบอันดับแรกของดาวเฟยหลิน ต่างถูกสังหารโดยบุรุษหนุ่มไร้ชื่อเสียงสองคน และมันยังมีนักสู้ศาสตราวุธเครื่องกลไกที่โผล่ออกมาจัดการนักสู้ทั้งหมดสองร้อยหกสิบสองคนโดยตัวคนเดียว แสดงให้เห็นถึงฤทธิ์เดชของเขา
ผลของการต่อสู้เพียงคนเดียวในพวกเขาทั้งสาม มันก็เพียงพอที่จะสั่นสะเทือนดาวเฟยหลินแห่งนี้ หากเมื่อผลการต่อสู้ของทั้งสามรวมกัน มันอาจจะทำให้ดาวเฟยหลินระเบิดไปได้ในทันทีเลย มันปราศจากคำพูด พี่น้องฮวาซื่อมีชื่อเสียงมายาวนานและไม่สั่นคลอนกลับถูกสังหารหมดภายในการต่อสู้ ความสามารถของฝ่ายตรงข้ามสามารถที่จะเป็นห้าสิบอันดับแรกได้เลย
กำจัดนักสู้สองร้อยหกสิบสองคนทั้งหมดเพียงลำพัง นี่มันเป็นเพียงความสามารถของสุดยอดปรมาจารย์ผูเชี่ยวชาญของดาวเฟยหลินเท่านั้น นอกจากนี้มันยังเป็นนักสู้ศาสตราวุธเครื่องกลไกที่ไม่ค่อยจะได้พบเห็น
เมื่อข่าวแพร่กระจายออกไป เหล่านายช่างและนักสู้ศาสตราวุธเครื่องกลไกแห่งดาวเฟยหลินพลันโห่ร้องไปด้วยความปิติ ในที่สุดก็มีสุดยอดผู้เชี่ยวชาญที่เป็นนักสู้ศาสตราวุธเครื่องกลไก
อย่างไรก็ตามในความเห็นของผู้คน พวกเขาต่างสนใจในตัวถังเทียนและหลิงซูมากกว่า
โดยเฉพาะถังเทียน
ฤทธิ์เดชและกำลังของฮวาซามันมากกว่าฮวาหรง เมื่อถังเทียนสามารถเอาชนะฮวาซาได้ ความสามารถของเขาในอนาคตเห็นได้ชัดเลยว่ามันเต็มไปด้วยความคาดหวังอย่างยิ่ง
ผู้คนส่วนมากมิได้ใส่ใจทหาร แม้ว่าเคียวกางเขนมรกตผืนผ้าแดงมันจะน่าตกใจ แต่นักสู้ศาสตราวุธเครื่องกลไกมันไม่เป็นที่นิยมอย่างมาก และมันมีข้อจำกัดของมาตรฐานศาสตราวุธเครื่องกลไกอยู่อีกด้วย การยกระดับของนักสู้ศาสตราวุธเครื่องกลไกเป็นสิ่งที่ยากลำบากอย่างยิ่ง ผู้คนต่างรู้สึกว่าถังเทียนและหลิงซูมีโอกาสที่จะพัฒนาขึ้นได้อย่างยิ่ง ดังนั้นพวกเขาจึงสนใจมากกว่า
การมีสุดยอดผู้เชี่ยวชาญสามคนปรากฏภายในเมืองภูเขาทมิฬในขณะนี้มันทำให้ชื่อเสียงตระกูลกู่เพิ่มขึ้นแทนอีกด้วย ทุกคนต่างรู้ว่าทั้งสามนี้มีความสัมพันธ์ระหว่างกู่เสวี่ย การกระทำของกู่อันสงและผู้อาวุโสสูงสุดมีเพียงทำให้ทั้งสองครอบครัวนี้ถูกกำจัดเท่านั้น แต่สำหรับตระกูลกู่ หากความสูญเสียดังกล่าวสามารถได้รับความช่วยเหลือจากสุดยอดผู้เชี่ยวชาญทั้งสามนี้ มันก็คุ้มค่าอย่างยิ่ง
โดยไร้ข้อกังขา ตระกูลสาขาอื่นๆต่างเลือกให้กู่เสวี่ยเป็นผู้นำตระกูลทันที และทุกคนต่างมอบอำนาจของพวกเขาทั้งหมดให้อย่างเชื่อฟัง
ด้วยการสนับสนุกของสุดยอดผู้เชี่ยวชาญสามคนนี้ มันทำให้ชื่อเสียงของตระกูลกู่พุ่งขึ้นสูง และกู่เสวี่ยยังมีเส้นชีพจรโลหิตรุ้งหิมะซ่อนเร้น ความเป็นไปได้ของนางที่จะกำเนิดทายาทที่มีเส้นชีพจรโลหิตรุ้งหิมะมีสูงอย่างยิ่ง ต่อไปนี้ผู้นำตระกูลก็จะได้นำเส้นชีพจรโลหิตรุ้งหิมะกลับคืนสู่ตระกูลกู่!
ช่างเป็นอนาคตที่สดใส ดังนั้นทุกคนจึงเลือกสนับสนุนกู่เสวี่ย
“โอ้!” ถังเทียนตกตะลึง “เจ้ายังคิดจะกระตุ้นเปิดเส้นชีพจรโลหิตอยู่อีกหรือ? เพราะเหตุใดกัน? มันอันตรายอย่างยิ่งนะ! เจ้าได้กลายเป็นผู้นำตระกูลแล้วอย่างงั้นหรือ?”
หลิงซูคล้ายเข้าใจพลางเหลือบมองไปยังกู่เสวี่ยและจากนั้นก็มองไปยังถังเทียน
“ถึงอย่างไรท้ายที่สุดพวกเจ้าก็ต้องจากไป” ใบหน้างดงามของกู่เสวี่ยยิ้มอย่างอ่อนโยน ราวกับว่ามันเป็นการตัดสินใจที่ถูกต้อง “หากข้ากระตุ้นเปิดเส้นชีพจรโลหิต ข้าจะสามารถปกป้องตัวข้าเองได้”
“ไม่ใช่ว่าพวกเขาบอกว่าถ้ากำเนิดบุตรก็จะมีเส้นชีพจรโลหิตรุ้งหิมะหรอกหรือ? ถ้างั้นเหตุใดถึงไม่ให้กำเนิดบุตรสักคนแล้วให้เขาปกป้องเจ้าเล่า!” ถังเทียนรู้ว่าความคิดของเขามันแปลกประหลาดพลางหัวร่อออกมาเสียงดัง “หลังจากการต่อสู้นี้ มันคงเป็นเวลาประมาณสิบปี ที่จะไม่มีผู้ใดกล้าจะมาสร้างปัญหาให้เจ้า สิบปีให้่หลังเขาก็คงจะเติบโตขึ้นแล้ว!”
กู่เสวี่ยจับจ้องไปยังสีหน้ากราดเกรี้ยวของถังเทียน คล้ายมิอาจที่จะละสายตาของนางออกไปได้เลย นางพลันตระหนักได้ว่านางเผลอลืมตัวไปแล้ว และรีบเร่งก้มหัวทันทีและปกปิดความรู้สึกเปลี่ยนเป็นสีหน้าปกติของนางอย่างรวดเร็ว
นางเงยหน้าขึ้นอีกคราและยิ้มอย่างอ่อนโยน “มันเป็นท่าทางดีกว่าที่ข้าควรพึงพาตัวเอง”
“ไอหย๋า เหตุใดเจ้าถึงได้คิดโง่ๆเช่นนี้เล่า” ถังเทียนอดมิได้ตำหนิ พวกเขาผ่านพายุฝนมาด้วยกัน แน่นอนว่าความรู้สึกที่มีให้มันต่างจากก่อนหน้า ถังเทียนมองกู่เสวี่ยเป็นดั่งสหายของเขาและเริ่มเป็นห่วงเกี่ยวกับตัวนาง
“เจ้าตัวบัดซบ” หลิงซูอดมิได้ที่จะทนดูต่อไปได้ กรอกตาหนึ่งคราและหยิบเอาหอกพลางเดินออกไป
“อ้าว ผู้ใดที่เจ้ากำลังด่า? เจ้ากล้าที่จะหยาบคายกับลูกพี่เจ้าเช่นนี้ได้อย่างไร! เด็กน้อย เจ้าเหนื่อยที่จะมีชีวิตแล้วหรือ!” ถังเทียนเบิกตากว้างด้วยความโมโห
หลิงซูเมินเขาและทิ้งไว้เพียงแผ่นหลังให้เขาเห็น
กู่เสวี่ยรู้สึกอับอาย นางรู้ว่าความรู้สึกของนางถูกพบเห็นโดยหลิงซูและกลายเป็นตื่นเต้น อย่างไรก็ตามหลังจากที่ได้ยินถังเทียนก่นด่า นางก็อดมิได้ที่จะหัวร่อออกมา
“เจ้าหัวร่ออันใดกัน?” ถังเทียนหันมามองอย่างงุนงงง
กู่เสวี่ยปิดปากหัวร่อเบาๆ ไม่นานก็หยุดหัวร่อและเอ่ยปาก “อ้า ใช่แล้ว มันมีตำแหน่งว่างภายในตระกูลกู่ปีนี้ ข้าจะส่งชื่อพวกเจ้าทั้งสองให้ ด้วยความสามารถของพวกเจ้า เจ้าจะต้องสามารถมีใบผ่านประตูดาราแน่ และจากนั้นพวกเจ้าก็จะสามารถไปจากดาวเฟยหลินได้”
“อ้า! ยอดเยี่ยมยิ่ง” ถังเทียนมีความสุขมากและโห่ร้องด้วยความยินดี
มองไปยังท่าทางที่มีความสุขของถังเทียน กู่เสวี่ยก็ยกยิ้มขึ้นมาอย่างเงียบๆ
※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※
หลิงซูถือหอกสีเงินของเขาและมานั่งอยู่บนหลังคาพลางครุ่นคิด ดวงตะวันที่กำลังตกดินอยู่ห่างออกไปมันถูดบดบังโดยยอดภูเขาแล้ว
อาจารย์ ข้าทำสำเร็จแล้ว
ท่านเห็นหรือไม่?
ความปรารถนาราวกับสายน้ำที่มากมายพลันท่วมท้นภายในใจของหลิงซู ร่างบุรุษชายที่ซูมผอมปรากฏขึ้นภายในสายตาเขา ใบหน้าที่เข้มงวดและน่าเกรงขามที่ดูจริงใจ ช่างดูอบอุ่นนัก
อาจารย์ ข้าอยากให้ท่านตำหนิข้าอีกสักครา...
อาจารย์ ข้าคิดถึงท่าน...
สายตาหลิงซูพลันกลายเป็นพร่าเลือน
“นี่ เด็กน้อย พวกเรามาแบ่งสินสงครามกัน! ถ้าหากเจ้าไม่มา ข้าจะชิงส่วนแบ่งของเจ้าแล้วนะ!”
เสียงถังเทียนดังมาจากเบื้องล่าง หลิงซูพลันตื่นมาจากความคิดของเขา และระงับอารมณ์ของเขาปาดไปที่ดวงตาของเขา ควบคุมลมหายใจและกระโดดลงมาจากหลังคา
ถังเทียนอยู่ที่ลานสนาม กำลังแยกสินสงครามจากการต่อสู้
สิ่งของครานี้ช่างคุ้มค่านัก
สมกับเป็นสุดยอดผู้เชี่ยวชาญของดาวเฟยหลิน พี่น้องฮวาซื่อถือว่ามีของมีค่าอยู่บ้าง และค่าจ้างของผู้อาวุโสสูงสุดก่อนหน้านี้ก็กลายเป็นของถังเทียนและพรรคพวกเช่นกัน
หลิงซูที่ถือหอกสีเงินพลางนั่งลง แต่เขามิได้มีความสนใจในสิ่งของนี้
หยาหยากลับเป็นตรงกันข้าม ท่าทางที่หิวโหยในสิ่งของ มือน้อยๆของถูกันไปมาอยู่แถวอกเล็กๆน้อยมัน
ถังเทียนเลือกเอาแก่นจิตวิญญาณและโยนไปให้หยาหยา “เอ้า นี่ของเจ้า!”
นัยน์ตาหยาหยาพลันสว่างวาบและเปล่งประกายพลางกระโดดขึ้นในอากาศ มือทั้งสองของมันคว้าจับเอาไว้อย่างแน่น เมื่อลงมาที่พื้น หยาหยาคล้ายกับเมามย ดูเลอะเลือนและหัวร่ออย่างโง่งม
“อ้าอ้าอ้า เจ้าก็ได้ไปแล้วหนิ!” อย่างไรก็ตามประโยคต่อมาของถังเทียนก็กล่าวออกไปตรงๆทันที “ก็ได้ เจ้าสามารถไปกินของโปรดเจ้าได้”
หยาหยากอดแก่นจิตวิญญาณเดินไปด้านข้างอย่างตัวสั่นด้วยสีหน้าพึงพอใจ
ถังเทียนแบ่งสิ่งของ ส่วนใหญ่เป็นแก่นจิตวิญญาณและหินดารา เขาแบกออกเป็นสองกอง และผลักไปด้านหลิงซูครึ่งหนึ่ง “นี่ของเจ้า!”
หลิงซูเหลือบมองกองสิ่งของน้อยๆนี้พลางตอบ “โอ้ เจ้าช่วยเก็บมันเอาไว้ให้ข้าที”
ถังเทียนเห็นท่าทางของหลิงซูที่เห็นเงินทองเป็นสิ่งของสกปรกก็ตะลึง “เจ้าแน่ใจงั้นหรือ?”
หลิงซูกล่าวอย่างขึงขัง “อาจารย์ได้กล่าวไว้ว่าเงินทองเป็นต้นตอของปัญหาทั้งหมด!”
แต่ในทันทีเขาก็พึมพำ “ถึงอย่างไร ข้าจะขอจากเจ้าเองถ้าข้าต้องการ แบกสิ่งของมากมายมันหนักเกินไป มันเกะกะ”
เมื่อได้ยินเช่นนั้น ถังเทียนพลันกวาดทุกสิ่งเข้าไปภายในกระเป๋าของเขาอย่างไม่ลังเล เขามิได้สนใจว่ามันจะหนักแค่ไหน ถังเทียนกล่าวชอบธรรม “ในฐานะลูกพี่ ภาระนี้ ข้าขอแบกรับมันเอง!”
หลังจากการต่อสู้ครานี้ กระเป๋าของพวกเขาตุงขึ้นอย่างมาก นับเพียงแค่หินดาราอย่างเดียว พวกมันก็มีมากกว่าหนึ่งร้อยล้านเหรียญ อย่างอื่นก็แก่นจิตวิญญาณขั้นหกสามสิบลูกและหินดาราขั้นหกเจ็ดสิบก้อน
“ไม่มีของที่มีค่าหรือ?” หลิงซูพลันกล่าวถาม
“ฮ่าฮ่า มีสิ!” ถังเทียนรู้สึกตื่นเต้นทันที
เขาพลันหยิบของบางอย่างออกมา และในทันทีสายตาของหลิงซูก็ตะลึง
***********************************************************
ติ ชม รับข่าวสารได้ที่ แฟนเพจ ได้เลย และกดไลค์เพื่อเป็นกำลังใจด้วยครับ