ตอนที่ 137 ย่างกราย
“พรึบพรับ พรึบพรับ...” เฉินตี้บินร่อนลงมาอย่างช้าๆ สายตาเริ่มกวาดมองดูศพของมนุษย์ที่โดดพิษสังหารเล่นงานจนตาย แผนทุกอย่างสำเร็จไปด้วยดี แววตาอันใสซื่อหันกลับมามองฉางหยางอีกครั้ง
“เพล้ง” ม่านพลังสีเหลืองพังกระจายลง หลังจากตรวจสอบวาพิษหายไปหมดแล้ว
ระหว่างที่ฉางหยางกำลังจะก้าวเท้าเดินไปตรวจสอบซากศพอยู่นั้น ความรู้สึกของเขามันบอกว่าเหมือนโดนจ้องด้วยสายตามาตลอด แต่พอหันหลังกลับไปก็พบเพียงแต่เฉินตี้เท่านั้นที่จ้องมาทางเขาอย่างไม่ลดละ
“อะไร? เจ้ามองข้าทำไม หรือว่าต้องการสมบัติ”
ไม่เพียงแต่เฉินตี้เท่านั้นที่มองมา แต่เขายังจับได้ว่าหย่าจิ้งก็ยังแอบมองมา แต่นางรีบหันหน้าหนีเสียก่อน นี่จึงทำให้เขาสายหน้าอย่างหมดหนทาง เพราะศพพวกนี้มันเต็มไปด้วยพิษ ถ้าหากเขาสัมผัสพวกมันคงโดนพิษและตายตามไอ้แก่พวกนี้ไปแน่
“ก็ได้ๆ หากต้องการรางวัล ข้าจะพาพวกเจ้าไปหาเอง” เมื่อได้ยินเช่นนั้นเฉินตี้รีบกระพือปีกอย่างดีใจ ส่วนหย่าจิ้งเองก็เผยรอยยิ้มออกมาทางใบหน้าเล็กน้อย ซึ่งคาดไม่ผิดเลยว่าสัตว์อสูรสองตัวนี้ ต้องเป็นตัวดูดกำลังทรัพของเขาไปมหาศาลแน่
ฉางหยางกระโดดขึ้นบนหัวเฉินตี้ทันใด เพียงแค่โบกสะบัดปีกครั้งเดียว ร่างของหย่าจิ้งและเฉินตี้ก็หายเข้ากลีบเมฆไปแล้ว ทิ้งไว้แต่ความว่างเปล่ากับอัปยศของประมุขนิกายเพลิงผลาญที่ตายอย่างไม่รู้ตัว
ทางด้านของศิษย์หญิงและเหล่าผู้อาวุโสสั่นสะท้านไปทั้งตัว เมื่อเห็นการต่อสู้จบลงภายในอึดใจ พวกนางไม่คิดเลยว่าเขาจะเป็นคนๆ เดียวกับเด็กหนุ่มปริศนาผู้นั้น แถมเขายังสังหารเหล่าผู้อาวุโส ประมุขนิกายทั้งหมดในรวดเดียว
“น...นี่เขาสังหารผู้ฝึกวรยุทธปราณก่อเกิดทั้งหมดด้วยตัวคนเดียวเลยรึ” รั่วซีหรี่สายตาลง ด้วยระยะทางที่ไกลจึงทำให้นางมองเห็นไม่ชัดว่าหนุ่มน้อยฉางหยางทำไมถึงสังหารผู้ฝึกวรยุทธได้ราวกับพลิกฝ่ามือเช่นนี้
เนื่องจากปกติแล้วการปะทะกันระหว่างผู้ฝึกวรยุทธด้วยกันจะรุนแรงและเสียงดัง แต่นี่กลับไม่มีเสียงปะทะกันของเคล็ดวิชาแม้แต่น้อย ทั้งที่ก่อนหน้านี้ต่างฝ่ายต่างเตรียมใช้เคล็ดวิชาอยู่แล้ว
“เดี๋ยวข้าไปตรวจสอบเอง” เฉินเซียงรีบเดินไปตรวจสอบทันใด ความสงสัยทุกอย่างมันเต็มอยู่ภายใจของนางยิ่งนัก ทั้งเคล็ดวิชาเมื่อครู่ ทั้งการตายของเหล่าผู้ฝึกวรยุทธปราณก่อเกิด
ข่าวเรื่องการสังหารประมุขเพลิงและเหล่าผู้อาวุโสระดับสูงแพร่กระจายไปทั่วสำนักดาราพิชิตภายในเวลาไม่นาน ศิษย์หญิงหลายคนต่างพากันสนทนาเรื่องในวันนี้ แล้วยังกล่าวชื่นชมฉางหยางไม่หยุดหย่อน แม้ว่าจะเป็นการสังหารด้วยพิษก็ตาม
ส่วนทางด้านหลวนเฟยกลับไร้หนทางที่จะไปต่อ นั่นเพราะว่าอยู่ดีๆ ก็มีนกเพลิงสีฟ้าโผล่ออกมาจากร่างของหลิ่งซู และมันยังลอบโจมตีเขาแบบไม่ทันตั้งตัวจนแขนขวาได้รับบาดเจ็บ ถึงขนาดต้องรีบปล่อยร่างของพวกนางทั้งสองลงกับพื้น เพื่อหลบการโจมตีครั้งต่อไปของมัน
“มันอะไรกัน ? ไอ้นกนรกนี่มันมาจากไหน”
สายตาของทั้งสองผสานกันไปมาระหว่างวิหคเพลิงราตรีและหลวนเฟย เพียงแค่ฝ่ายหนึ่งขยับอีกฝ่ายก็จะขยับตาม จนสุดท้ายหลวนเฟยต้องกัดฟัดพุ่งทะยานไปยังร่างของหลางหลู่เออร์ หลิ่งซู
“ถอยไปไอ้นกนรก ข้าไม่มีเวลามาเล่นกับแก!” หลวนเฟยคำรามดังลั่น มือทั้งสองข้างยื่นออกไปคว้าเอาร่างของพวกนางอย่างรวดเร็ว
“ตูม”
“อั๊ก”
วิหคเพลิงราตรีพุ่งชนหลังหลวนเฟยด้วยความเร็วสูง ส่งผลให้ร่างพุ่งกระเด็นไปหลายเมตรพร้อมกับกระอักเลือดออกมาเล็กน้อย ด้วยระดับการบ่มเพาะปราณนิมิตรขั้นห้า ไฉนเลยจะสามารถต่อกรกับสัตว์อสูรปราณบรรจบขั้นหกได้
หลวนเฟยลุกขึ้นอย่างยากลำบาก เขาค่อยๆ พยุงตัวเองไปยังโคนต้นไม้เพื่อพักรักษาตัวก่อน ดูท่าแล้วไอ้นกนรกตัวนี้ คงไม่ทางปล่อยให้เขาเอาตัวพวกนางไปแน่
“ไอ้นกนี่มันแสบไม่เบาเลย” หลวนเฟยกล่าวออกมาอย่างหมดหนทาง เขาไม่คาดคิดเลยว่าจะต้องมาเจอเหตุการณ์โชคร้ายแบบนี้ คงได้แต่ปล่อยให้พวกนางทั้งสองฟื้นมาเสียก่อนค่อยว่ากันใหม่อีกที
ทางด้านฉางหยางหลังจากเดินทางมาได้หนึ่งวันเต็ม ทั้งสามก็ได้มาถึงนิกายเพลิงผลาญ ข้างล่างเป็นมีภูเขาหลายลูกเรียงซ้อนกันอยู่ และตามภูเขามีบ้านพักอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่งไม่เหมือนกับสำนักดาราพิชิตของเขาที่มีบ้านพักสามสี่หลังต่อหนึ่งภูเขาเท่านั้น
แถมยังมีศิษย์บุรุษ อิสตรีอีกจำนวนมากที่มั่นฝึกฝนวรยุทธของตนให้กล้าแกร่งขึ้น โดยเฉพาะลานประลองฝีมือมีอยู่ถึงห้าลานประลองด้วยกัน แล้วตอนนี้ก็มีการประชันฝีมือระหว่างศิษย์ภายในสำนักอยู่
“ลงไปตรงนั้น” ฉางหยางชี้บอกเฉินตี้ให้ร่อนลงไปอย่างไม่เกรงกลัว
ชายวัยกลางคนที่ยืนอยู่หน้าประตูทางเข้านิกายเห็นสัตว์อสูรสีทองบินลงมาจากฝากฟ้า ดวงตาของเขาเบิกกว้างขึ้นทันใด
เขาได้ยินมาว่าท่านประมุขและเหล่าผู้อาวุโสจำนวนหนึ่งเดินทางไปจัดการกับไอ้หนูผู้นี้ไม่ใช่รึ แล้วทำไมมันถึงยังรอดมาได้ทั้งที่มีแต่ผู้ฝึกวรยุทธปราณก่อเกิดเท่านั้น
“หรือว่ามันจะใช้สัตว์อสูรสีทองตัวนี้บินหนีมา” ความหวาดกลัวเริ่มกัดกินร่างกายของเขาเรื่อยๆ นั่นเพราะรอยยิ้มอันชั่วร้ายของมันที่ส่งมาให้เขานับว่าไม่ธรรมดาเลยทีเดียว
“โอ้! ดูท่าแล้วท่านคงจะเคยเห็นข้ามาแล้วสินะ” ฉางหยางกล่าวออกมาพร้อมรอยยิ้ม ข้างหลังของเขายังมีเฉินตี้และหย่าจิ้งตามมาติดๆ ถึงแม้จะไม่รู้ว่าชายคนนี้รู้จักเขาได้อย่างไร แต่ตอนนี้มันก็ไร้ความหมายไปแล้วสำหรับเขาที่จะปิดบังตัวตน
“กะ..กะ..แก..แกรอดมาได้อย่างไร” เสียงอันสั่นเครือค่อยๆ เปล่งออกมา ริมฝีปาดเริ่มแห้งเผือด เม็ดเหงื่อหลั่งไหลไม่หยุดหย่อน
“ฉัวะ” ศีรษะของชายวัยกลางคนขาดสะบั้นในพริบตา ก่อนที่ร่างจะล้มลงชักกระตุกแล้วจึงแน่นิ่งไป
“จะ..จะ..เจ้าทำอะไรหย่าจิ้ง” ฉางหยางถึงกับยืนอ้าปากค้าง เขาไม่เข้าใจทำไมนางถึงต้องสังหารชายผู้นี้โดยไม่บอกล่าวอะไรเลย
แต่ความเร็วของนางช่างน่าหวาดหวั่นยิ่งนัก ขนาดเขายืนอยู่ใกล้ๆ ยังไม่รู้ว่านางไปปรากฏตัวตรงนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่
“เจ้ามนุษย์ผู้นี้ มันกล่าววาจาดูหมิ่นนายท่าน” หย่าจิ้งตอบด้วยเสียงเย็นชา
“หา! เจ้าสังหารมันเพราะแค่กล่าวว่าจาดูหมิ่นข้า” ฉางหยางกล่าวพร้อมเซถลาไปสองก้าว เขากำลังจะสอบถามบางเรื่องจากชายวัยกลางผู้นี้พอดี แต่นางดันสังหารมันไปก่อน
“เอาล่ะ... ข้าจะไม่กล่าวโทษต่อเจ้า แล้วเลิกทำสีหน้าเศร้าหมองสักที แล้วก็ทีหลังหากข้าไม่ออกคำสั่งห้ามลงมือกับผู้ใดเป็นเด็ดขาด”
“หย่าจิ้งจะจดจำคำกล่าวของนายท่านไว้”
ทั้งสามได้เดินผ่านประตูทางเข้านิกายไปเพียงไม่นาน ก็ต้องพบกับเหล่าศิษย์จำนวนมากที่จ้องมองมาอย่างกับว่าพวกเขาเป็นตัวประหลาดอย่างไรอย่างนั้น
ฉางหยางหันมองรอบๆ จนสายตาของเขาเหลือบไปเห็นหญิงสาวนางหนึ่งที่ยืนอยู่โดดเดียว สุดท้ายเขาตัดสินใจเดินเข้าไปหาพร้อมใบหน้าดูเป็นมิตร
“แม่นาง! ท่านพอรู้จักทางไปคลังเก็บสมบัติหรือไม่”
“อะ..อะ เอ๊ะ! ท่านกำลังถามข้าอยู่รึ” นางชี้กลับมาที่ตน บุรุษตรงหน้านี้นับว่าหล่อเหล่าเอาการเลยทีเดียว ทว่าความสนใจของนางทั้งหมดกลับถูกดึงดูดด้วยหย่าจิ้งและเฉินตี้ เนื่องจากรูปร่างของทั้งสองนับว่าแปลกตากว่าที่เคยเจอยิ่งนัก
“ใช่แล้ว..จะมีผู้ใดอื่นนอกจากแม่นางอีก”
“อะ..เอ่อ...ท่านแค่เดินตรงไปอีกไม่ไกลก็จะถึงแล้ว” นางรีบชี้ตรงไปยังคลังสมบัติทันที
“ขอบคุณแม่นางมาก”
หลังจากได้คำตอบแล้ว ทั้งสามก็เดินจากไปโดยไม่สนใจสายตาของเหล่าศิษย์นิกายเพลิงผลาญเลย นั่นเพราะว่าเป้าหมายของพวกเขามีเพียงสมบัติในคลังอย่างเดียว
ขณะที่ฉางหยางเดินผ่านไปได้สักพัก ปรากฏร่างอันบอบบางวิ่งมาแต่ไกล ก่อนจะมาหยุดตรงหน้าแล้วเอ่ยถามด้วยความเหนื่อยหอบ
“นี่! หยูเสวี่ย หนุ่มรูปงามคนนั้นเขามาสอบถามอะไรกับเจ้ารึ”
“เขาแค่สอบถามทางไปคลังสมบัติของนิกายของเรา อืม...แต่ทำไมข้าไม่เคยเห็นเขาเลยสักครั้ง หรือว่าจะเป็นศิษย์ที่เข้ามาใหม่” หยูเสวี่ยหยุดครุ่นคิดสักพัก
“จะอย่างไหนก็ช่างเถอะ....วันนี้เราจะเริ่มทำภารกิจเลยไหม”
“ก็ดีเหมือนกัน” หยูเสวี่ยพยักหน้าตอบรับ
ณ คลังสมบัติ
ชายชรารูปร่างอ้วนต้องคิ้วขมวดหากันแน่น เมื่อมีไอ้หนูที่ไหนไม่รู้เดินมา และข้างหลังน่าจะเป็นสัตว์อสูร แต่เขาก็ไม่เห็นสัตว์อสูรรูปร่างคล้ายคลึงมนุษย์แบบนี้มาก่อนเลย
แล้วที่น่าตกใจก็คือระดับการบ่มเพาะถึงขนาดอยู่ในชั้นปราณก่อเกิด และอีกอย่างมันก็น่าจะเป็นสัตว์อสูรพันธสัญญาของไอ้หนูผู้นี้อีกด้วย
“เจ้าเป็นผู้ใด ถึงริอาจย่างกราบเข้ามาในเขตหวงห้ามของนิกายเช่นนี้” ชายชรารูปร่างอ้วนแค้นเสียงไม่พอใจขึ้น
“ไม่มีอะไร ข้าแค่อยากได้สมบัติภายในนั้นติดมือกลับสำนักเท่านั้นเอง” ฉางหยางชี้ไปที่คลังสมบัติพร้อมกล่าวอย่างไม่ไว้หน้า