ตอนที่ 38 คำถามและคำตอบ
ธีโอได้เลือกหนังสือมาสองเล่มและวางไว้บนเตียงและเล็งมือซ้ายไปที่หนังสือ จากนั้นลิ้นที่หิวโหยก็ได้พุ่งไปพันรอบหนังสือดูดเข้ามาในฝ่ามือของเขาทันที
[‘อำนาจแห่งสายลมและทราย’ได้ถูกกินแล้ว ความเข้าใจของคุณสูงมาก]
[เวทย๋ขั้น4 ‘พายุทะเลทราย’ได้เรียนรู้แล้ว]
[‘การเอาตัวรอดในอากาศที่หนาวเย็น’ได้ถูกกินแล้ว ความเข้าใจของคุณสูงมาก]
[เวทย์ขั้น3 ‘ความต้านทานความเย็น’ได้เรียนรู้แล้ว]
หนังสือที่ความตะกละได้กินไปวันนี้คือหนังสือเวทย์ พายุทะเลทราย และความต้านทานความหนาวเย็น ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งในอากาศที่หนาวเย็น ความตะกละได้กินหนังสือไปสองเล่มและส่งความรู้ไปยังธีโอดอร์ทันที
“อึก....”
ความรู้เกี่ยวกับเวทมนต์ทั้งสองบทได้ไหลเข้าสู่สมองของเขาอย่างรวดเร็ว และข้อมูลของเวทย์ขั้น4นั้นค่อนข้างมาก ธีโอสูดหายใจลึกๆเพื่อสงบสติจากความเจ็บปวดและลืมตาขึ้น
ในเวลานั้นความตะกละก็ได้พูดขึ้น
-สองเล่ม ดูเหมือนว่าเจ้าจะมีคำถามในวันนี้
‘ทำไมถึงรู้สึกแปลกๆ?’ ธีโอดอร์สงสัยก่อนที่จะคิดได้ว่าเสียงของความตะกละนั้นเปลี่ยนไป
คำพูดที่ดูขาดๆหายๆของมันตอนนี้กลายเป็นเหมือนคนปกติ ธีโอจึงถามไปว่าทำไมมันถึงได้เปลี่ยนแปลงไป“แก...ทำไมถึงได้เปลี่ยนไป?”
-หืม?
“ก่อนหน้านี้.....แกยังพูดขาดๆหายๆอยู่เลย”
ความตะกละตอบกลับมาว่า
-เพราะเจ้าได้ให้อาหารแก่ข้าเป็นจำนวนมาก แม้มันจะไม่ได้มากพอที่จะปลดผนึกขั้นต่อไป แต่มันก็ได้ฟื้นฟูการพูดของข้ามา
“…มันเป็นฟังก์ชั่นของนายสินะ”
-มันเป็นเพียงสิ่งที่ข้ามีอยู่แล้ว หรือเจ้าคิดว่าข้านั้นพูดได้แค่นั้นในตอนแรก?
ตอนนี้เสียงของความตะกละได้กลับมาแล้ว ดังนั้นมันจึงพูดด้วยความภาคภูมิใจกว่าเดิม การให้หนังสือมันกินจะช่วยให้มันพัฒนาการได้เร็วขึ้นกว่าการให้กินอุปกรณ์เวทย์ราคาถูกๆ ถ้าเขายังคงฟังมันโม้ด้วยความภูมิใจต่อไปมันอาจจะใช้เวลาหลายวัน เขาจึงพูดขัดจังวะความตะกละ “เดี๋ยวก่อน ฉันมีอะไรอยากจะถามนายเรื่องหนึ่ง”
ความตะกละหยุดโม้แล้วถามขึ้น
-ช้าไปแล้ว
“หืม?”
-ข้าได้ตอบคำถามของเจ้าไปแล้ว ก็เจ้าได้ถามข้าว่าทำไมข้าถึงเปลี่ยนไปไม่ใช่หรอ?
ธีโอถึงกับเหวอ เขารอมาทั้งวัน เขาจึงรู้สึกหงุดหงิดเนื่องจากได้เตรียมการมาทั้งวัน
-มันคือเรื่องล้อเล่นหนะ
“….อะไร?”
-เจ้าไม่รู้จักงั้นหรอ?เรื่องล้อเล่น หมายถึงการทำให้เกิดความบันเทิง….
“ไม่ฉันรู้ว่าเรื่องตลกล้อเล่นคืออะไร!”
เมื่อคิดว่าความตะกละสามารถพูดได้เหมือนคนปกติเช่นนี้...มันเป็นสิ่งมีชีวิตที่แปลกจริงๆ เรื่องสำคัญยังไม่ได้เริ่มขึ้นแต่ธีโอก็รู้สึกเหนื่อยใจแล้ว เขาถอนหายใจหลายครั้งก่อนจะเปิดปากขึ้น โชคดีที่คำถามก่อนหน้านี้ความตะกละไม่ถือว่ามันเป็นคำถามที่ต้องตอบ
“ฉันสามารถที่จะให้ผู้อื่นถามคำถามแทนฉันได้หรือไม่?”
ความตะกละพูดด้วยเสียงที่สนใจ
-ฮ่าๆ น่าสนใจมาก
ดวงตา ได้ปรากฏขึ้นบนหลุดในฝ่ามือของธีโอแทนลิ้น มันจ้องมองไปที่วินซ์ที่ยินข้างๆธีโอดอร์ แม้มันจะตอบว่าไม่ แต่ธีโอก็จะถามคำถามที่วินซ์จะถามและมาถามที่มัน
-ไม่มีปัญหา
“….ถามเลยครับ ศาสตราจารย์”
“ขอบคุณ”
วินซ์นั้นแตกต่างไปจากปกติเล็กน้อยเนื่องจากความตื่นเต้นที่จะได้สื่อสารกับหนังสือแห่งความโลภเล่มนี้ มันเป็นความรู้สึกของจอมเวทย์ที่บ้าในการวิจัย
วินซ์ถามด้วยเสียงสั่นๆว่า “ฉันสามารถเรียกคุณว่า ความตะกละ ได้หรือไม่?”
-เป็นชื่อที่ดี
วินซ์สูดหายใจเข้าลึกๆและทวนคำถามของเขาหลายครั้งและพูดว่า “ ฉันต้องการให้คุณสอนฉันเกี่ยวกัยความสัมพันธ์ระหว่างภาษาและเวทมนต์”
***
ในอดีตที่แสนยาวนานนั้นเวทมนต์มีอยู่มาตั้งแต่แรกก่อนที่มนุษย์จะใช้มันและตั้งชื่อให้แก่มัน
มังกรที่มีอายุเป็นพันปี เหล่าปีศาจที่ตกอยู่ในความมืดมิดอันเป็นนิรันดร์ และเผ่าพันธ์อื่นๆนับไม่ถ้วนต่างใช้พลังเวทย์ในชื่อเรียกที่ต่างกัน
และนอกจากนี้ เวทมนต์ของแต่ละเผ่าพันธ์นั้นยังแตกต่างกันอีกด้วย
เอลฟ์ผู้ที่เป็นมิตรกับธรรมชาติ คนแคระผู้ตีเหล็กด้วยไฟและดิน ปีศาจผู้ใช้พิธีกรรมแห่งความมืด และมังกรที่ทำให้โลกต้องสั่นสะเทือนด้วยการคำรามเพียงครั้งเดียว
มนุษย์นั้นเป็นเผ่าพันธ์เดียวที่เกิดมาโดยไม่มีพลังอำนาจเช่นนี้ พวกเขาขโมยเสียงเพลงของเอลฟ์ ฝึกตีอาวุธเช่นคนแคระ และบางครั้งก็เลียนแบบพิธีกรรมของเหล่าปีศาจ
จากนั้นมานับล้านปีก็ได้กำเนิดโลกของเหล่าผู้วิเศษขึ้นในเผ่าพันธ์มนุษย์
หลายพันปีผ่านไปตั้งแต่การวางรากฐานของเหล่าบรรพบุรุษ เผ่าพันธ์มนุษย์ก็ได้มีจอมเวทย์เกิดขึ้นมากมาย
-คำถามนั้นกว้างเกินไป เพื่อที่จะอธิบายความสัมพันธ์ระหว่างภาษาแล้วเวทมนต์นั้นต่อให้ใช้เวลาทั้งชีวิตของเจ้าก็ไม่สามารถเข้าใจมันได้หมด
“งั้น จะเป็นยังไงถ้ากำจัดมันแค่ให้อยู่ในภาษามนุษย์เท่านั้น?”
-ก็เป็นเช่นเดิม ภาษาของมนุษย์นั้นมีมากกว่า 526 ภาษา ดังนั้นมันจึงเกินขีดจำกัด ที่อนุญาติสำหรับคำถาม1ข้อ
“อืม” เป็นสถานการณ์ที่ลำบากดังนั้นวินซ์จึงลูบคางขณะที่ขบคิด
ในหอคอยเวทมนต์ที่จอมเวทย์ทั้งทวีปได้มารวมตัวกันนั้น มีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ศึกษาเกี่ยวกับโบราณคดี มีโบราณสถานหลายพันแห่งถูกทำลายในช่วงสองศตวรรษที่ผ่านมาเนื่องจากสงครามที่ป่าเถื่อนก่อนหน้านี้
มันไม่ได้เป็นการพูดเกินจริงเลยที่จะบอกว่าไม่มีทางที่จะค้นคว้าสำรวจภาษาโบราณที่ถูกลืมในอดีตได้เลยเว้นแต่จะพบบางสิ่งที่โบราณเช่นหนังสือเล่มนี้ วินซ์ครุ่นคิดสักครู่ก่อนที่จะเปิดปากขึ้น “งั้นโปรดบอกฉันว่าทำไมการร่ายเวทย์ด้วยภาษาโบราณและภาษาสมัยนี้จึงก่อให้เกิดผลที่แตกต่างกัน”
เขาละทิ้งความโลภในการอยากรู้ของเขา และได้ถามคำถามที่เขาเผชิญหน้ามาเมื่อเร็วๆนี้ คำที่มีความหมายเหมือนกันมักถูกใช้แทนกัน เขาอยากจะรู้ว่าทำไมบางครั้งมันก็มีพลังมากขึ้นและบางครั้งก็อ่อนแอลง
-โอเคร
ความตะกละยอมรับคำถาม
-ข้าจะบอกไว้ก่อน ข้าไม่รู้ว่ามนุษย์คนใดเป็นผู้คิด แต่เวทมนต์คือการชักนำพลังเวทย์ในโลกให้มารวมกัน
“การชักนำ....นั้นฟังดูน่ามีเหตุผลมาก”
-ข้าจะพูดต่อนะ แนวคิด’ภาษา’ที่เจ้าถามนั้นเกี่ยวกับการชักนำ อธิบายๆง่ายๆก็คือโลกนั้นฟังเสียงของเหล่าจอมเวทย์
ทท่าทางของวินซ์เปลี่ยนไปเมื่อใดยินคำพูดนี้ แน่นอนว่าการร่ายเวทย์ด้วยภาษาโบราณนั้นมีพลังและมีประสิทธิภาพมากกว่าภาษาสมัยใหม่ นั่นคือจุดเริ่มต้นของการวิจัยของวินซ์
อย่างไรก็ตามเขาสามารถค้นพบมันได้เพียงน้อยนิด ดังนั้นมันจึงเป็นความท้าทายที่ยิ่งใหญ่สำหรับวินซ์ โชคดีที่ความตะกละได้อธิบายวินซ์อย่างละเอียด
-ภาษานั้นเป็นสื่อกลางที่ขัดแย้งกัน การลดจำนวนของผู้ใช้จะเพิ่มพลังของมันขึ้น แต่ในทางตรงกันข้าม ถ้ามีผู้ใช้มากขึ้นการดำรงอยู่ของมันจะกลายเป็นมั่นคงขึ้น หากมีผู้ใช้ลดน้อยหรือไม่มีเลยความหมายของภาษาโบราณก็จะกลายเป็นกำกวม
“ฉันคิดว่าฉันเข้าใจภาษาโบราณในฉบับของฉัน”
-นั่นไม่เพียงพอเมื่อเทียบกับเหล่าคนจากยุคโบราณที่แท้จริง ถ้าไม่สามารถที่จะเปลี่ยนชีวิตประจำวันของเจ้าด้วยภาษาโบราณ มันก็จะยากที่จะใช้ประโยชน์จากมันได้
แม้ว่าทักษะการวิจัยของวินซ์จะสมบูรณ์แบบแต่ทักษะด้านภาษาของเขานั้นต่ำกว่าคนที่อยู่ในสมัยนั้นมาก การร่ายเวทย์ง่ายๆด้วยภาษาโบราณนั้นเขาทำได้เนื่องจากมันพูดเพียงคำเดียวและผลที่ได้นั้นทำให้เวทย์นั้นรุนแรงมากขึ้น แต่หากเขาใช้เวทย์ระดับสูงๆนั้นหมายถึงเขาต้องพูดเป็นประโยคยาวๆ นั้นเป็นเหตุผลที่ทำให้เขาไม่สามารถร่ายเวทย์ขั้นสูงได้ด้วยภาษาโบราณ
วินซ์รู้สึกปวดใจและยอมรับมัน
-ชื่อของภาษาโบราณที่เจ้ากำลังวิจัยคืออะไร?
“มันชื่อวา บัลการ์ด”
-มันยังอยู่ในการบันทึกของข้า มันเป็นภาษาที่ใช้ในยุคของจักรวรรดิ บัลเคีย มันทรงพลังอย่างยิ่ง แต่นอกเหนือจากจักรวรรดินี้ไม่มีชนชาติใดที่สามารถออกเสียงได้สมบูรณ์แบบเช่นคนของบัลเคีย
วินซ์นั้นรู้สึกสับสนอย่างยิ่ง“…การออกเสียง?”
-เจ้าจะไม่สามารถรู้คุณค่าที่แท้จริงของภาษาบัลเคีย นอกจากจะออกเสียงได้อย่างสมบูรณ์แบบ
-มันเหมือนกับภาษาอื่นๆการออกเสียงให้ถูกต้องจะให้ผลที่ดีที่สุด
วินซ์นั้นไม่ได้ยินอะไรอีก
นี่เป็นปรากฏการณ์ที่เรียกว่าความรู้ความเข้าใจ วินซ์ได้ปิดกั้นการไหลของข้อมูลทั้งหมดเนื่องจากมันมากเกินกว่าที่เขาจะเข้าใจได้ เขารู้สึกว่าหัวของเขาในตอนนี้มันว่างเปล่า
วูบบบบ!
ทันใดนั้นเกิดคลื่นพลังเวทมนต์มหาศาลแผ่ออกมาจากตัวของวินซ์ มันกวาดสิ่งของในห้องกระจายไปหมด นี่เป็นปรากฏการณ์ที่ธีโอเคยเห็นมาก่อน ในระหว่างการประลองกับซิลเวีย และมันหมายถึงสิ่งนั้นเท่านั้น
“เขากำลังก้าวข้ามขอบเขต!” ธีโอรู้สึกตื่นเต้น เขามองดูวินซ์ด้วยความตื่นตระหนก
มันไม่มีอะไรอื่นเลยนอกจากสิ่งนี้ ดวงตาของธีโอจับจ้องไปที่วินซ์ที่กำลังก้าวข้ามไปขอบเขตของขั้น6 มีเพียงคนประมาณ100คนเท่านั้นที่สามารถก้าวสู่ขอบเขตของขั้นที่6ได้ในอาณาจักรเมลเทอร์ ดังนั้นเขาควรจะทำตัวกับวินซ์ยังไงดี?
อย่างไรก็ตามมีอยู่อย่างหนึ่งในห้องที่ไม่ได้เคลื่อนไหว
-เห้ ผู้ใช้
ธีโอมองตามไปที่เสียงนั้น
“อะไร? มันจบแล้วดังนั้นนายควรไปนอนได้แล้ว”
-ข้าเดาว่าเจ้ากำลังล้อเล่นอยู่ ปกติข้าจะนอนหลังตอบเสร็จ ดังนั้นข้าจึงเข้าใจ
“…แล้วมีอะไร?”
โดยปกติมันจะไม่พูดอะไรและหลับไป ธีโอได้ตระหนักถึงความแปลกประหลาดของมันในตอนนี้
ความตะกละนั้นกระอักกระอ่วนใจและลิ้นของมันได้โบไปมาราวกับมันเมา แต่อย่างไรก็ตามมันเกิดขึ้นเพียง1วินาทีเท่านั้น
-ข้ามีคำแนะนำสำหรับการพัฒนาที่รวดเร็ว ถ้าด้วยความเร็วเช่นนี้ เจ้าจะแก่ตายก่อนที่จะปลดล็อคผนึกของข้าหมด
“มันคืออะไร?”
-เจ้าอาจจะเดาได้ว่าข้ามีคุณสมบัติพิเศษซ่อนอยู่อีกนอกเหนือจาก การจดจำ มันแตกต่างจากการจดจำมันไม่ต้องปลดผนึกพวกมันด้วยเงื่อนไขที่พิเศษเช่นนั้น
ความตะกละพูดด้วยเสียงต่ำราวกับปีศาจที่กำลังล่อลวงเด็ก
-ข้าจะสอนเจ้าเกี่ยวกับคุณสมบัติที่ซ่อนอยู่ โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ