AST บทที่ 200 - สัตว์อสูรของชิงสุ่ย วิหคเพลิง
ฝากติดตามเพจด้วยนะครับ แฟนเพจ แจ้งเตือนก่อนใคร กดเลย
https://www.facebook.com/AncientStrengtheningTechnique
บทที่ 200 - สัตว์อสูรของชิงสุ่ย วิหคเพลิง
ชิงสุ่ยรับรู้ได้ถึงการเปลี่ยนแปลงของโชคชะตา แม้มันจะเป็นความปรารถนา และเขารู้ดีว่าความปรารถนาในการมีสัตว์อสูรบินได้นั้นมีความสำเร็จมากเพียงใด ซึ่งเขาเองก็วางแผนในระยะยาวเอาไว้แล้ว
ชิงสุ่ยยังคงสังเกตเห็นว่า ยังมีสิ่งของอีก 2 สิ่งที่ถูกระบุอยู่เบื้องล่าง!!
ได้รับงาม้วนอีก 1 ต้น ผลผลิต 100 ใบจะสามารถเก็บเกี่ยวได้ในทุกๆ 10 ปี!! รสชาติของมันจะทำให้ผู้ลิ้มรสมีความสดชื่น และสามารถนำมาเป็นซอสปรุงรส หรือปรุงเป็นน้ำซุป หรือทำสิ่งอื่นต่างๆนานา!!
ได้รับต้นโกฐจุฬาลัมพา 1 ต้น ผลผลิต 100 ใบ จะสามารถเก็บเกี่ยวได้ในทุก 10 ปี รสชาติของมันจะทำให้ผู้ลิ้มรสมีความสดชื่น และสามารถนำมาเป็นซอสปรุงรส หรือปรุงเป็นน้ำซุป หรือทำสิ่งอื่นต่างๆนานา!!
ในตอนนี้เขาเต็มเปี่ยมไปด้วยความรู้สึกปลื้มปิติ ชิงสุ่ยมองเห็นกองหญ้าขนาดใหญ่ที่อยู่ใกล้ๆต้นสุคนธ์มอมเมา ของทั้งสามอย่างนี้เป็นของที่มีค่าแม้ว่ามันจะตกอยู่ในยุคที่ทุกอย่างไว้ข้าก็ตาม ชิงสุ่ยรู้ดีว่าทั้ง 2 ส่วนผสมนี้เป็นสิ่งจำเป็นต่อการฝึกฝนเคล็ดวิชาในการปรุงอาหารเพื่อสร้างสรรค์น้ำซุปและเครื่องปรุงรสเลิศ
รางวัลที่ได้จากการพัฒนาเข้าสู่ระดับที่ 4 ของดินแดนหยกยุพราชอมตะบึงกาฬขยายพื้นดินเพิ่มขึ้นไปอีกกว่า 100 มู ชิงสุ่ยจึงเริ่มคิดว่าระดับที่ 4 จึงจะเป็นระดับที่มีความสำคัญอย่างยิ่งเพราะมันมอบของขวัญที่ยิ่งใหญ่
การก้าวขึ้นสู่ระดับที่ 4 นั้น ไม่เพียงแต่จะมอบตัวหอยหลอดเงินขาวพันปีให้กับเขา แต่มันยังมอบวิหคเพลิง ซึ่งเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งวิหคเพลิงตัวนี้ถือได้ว่าเป็นสัตว์ระดับอสูร และยังสามารถควบคุมมันเพื่อใช้ในการต่อสู้ได้อีกด้วย
การที่เขาได้รับสัตว์อสูรที่แข็งแกร่งมันคงทำให้เขาพึงพอใจอย่างยิ่ง
สายตาของเขานั้นเมื่อมองไปยังทะเลสาบเขาก็พบกับความประหลาดใจอีกครั้ง ในตอนนี้เต่ายาทองคำมีขนาดใหญ่ขึ้นเท่ากับอ่างล้างหน้า หอยหลอดเงินขาวพันปีที่ปรากฏขึ้นขนาดใหญ่เท่ากับถังเก็บน้ำตัวของมันหนาเท่ากับหัวเข่า มันสะบัดพริ้วและเปล่งแสงจ้าอยู่ด้านล่างของทะเลสาบ
หลังจากที่ ดินแดนหยกยุพราชอมตะบรรลุในระดับที่ 4 ทะเลสาบแห่งนี้ก็ขยายตัวอีกเกือบเท่าตัว ปลาสีดำและเต่าพบกระจายตัวได้มากยิ่งขึ้น ในตอนนี้ชิงสุ่ยจึงหันหน้ามุ่งตรงไปยังต้นไม้อูท่งที่มีขนาดใหญ่โตมโหฬาร ซึ่งเป็นสถานที่ที่วิหคเพลิงใช้อาศัย
ตั้งแต่ที่ชิงสุ่ยรับรู้ถึงการดำรงอยู่ของนกวิหคเพลิง เขารู้สึกบางอย่างที่ผิดแปลกอยู่ในใจ
"หวากกกกกกกก!!!"
เสียงที่แหลมสูงของวิหคดังขึ้น วิหคเพลิงขนาดมหึมาปรากฏขึ้นเหนือต้นไม้ต้นนั้นก่อนที่มันจะเริ่มบินโฉบลงมา มันเปรียบดังลูกบอลเพลิงขนาดยักษ์ที่แผดเผาอย่างดงามราวกับภาพความงามของพระเจ้า มันมีลักษณะคล้ายกับนกหงส์เพลิงในตำนวน มีเพียงคำสั้นๆที่สามารถอธิบายได้ นั่นก็คือ ราชันย์แห่งนกหงส์เพลิง
ชิงสุ่ยจ้องมองไปที่วิหคเพลิงโดยไม่แม้แต่กระพริบตา เมื่อปีกของมันเริ่มสลายออก ขนาดของมันกว้างมากกว่า 100 ตารางเมตรและแฝงไปด้วยกลิ่นอายเพลิงที่พร้อมแผดเผาทุกสรรพสิ่ง
"ดูเหมือนว่าต้องสัตว์อสูรตัวนี้จะแข็งแกร่งกว่ามากถ้าหากเปรียบเทียบกับนกกระเรียนหิมะขาว หรือแม้กระทั่งแร้งขนขาว" ในตอนนี้ชิงสุ่ยเปรียบเทียบมันเพราะเขาสัมผัสได้เพียงแค่กลิ่นอายที่แข็งแกร่งของมันเท่านั้น
ชิงสุ่ยกระโดดขึ้นไปด้านหลังของวิหคเพลิง เขารับรู้ได้ถึงความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ในที่สุดเขาก็สามารถครอบครองสัตว์อสูรที่แสนดุร้ายตัวนี้ได้ นอกจากนี้มันยังเป็นสัตว์อสูรแข็งแกร่งที่สามารถบินได้อีกด้วย
ชิงสุ่ยค่อยๆลูบขนของนกวิหคเพลิงที่แสนอบอุ่น และเขาก็หยุดลงในทันทีหลังจากที่เขาเห็นมันกินปลาสีดำนับ 10 ตัวรวมทั้งเต่า ซึ่งในทุกครั้งที่มันบินผ่านทะเลสาบ มันจะไปค่อยโฉบลงไปกินปลาสีดำและเต่าดำ มันจึงเป็นภาพที่ทำให้ชิงสุ่ยกลืนไม่เข้าคายไม่ออก เขาจึงทำได้เพียงแค่ถอนหายใจ เขากลัวว่าสักวันหนึ่งเจ้าวิหคเพลิงตัวนี้คงจะต้องกินเต่ายาทองคำรวมทั้งหอยหลอด 1000 ปีของเขาอย่างแน่นอน
"เจ้าวิหคน้อย………….ข้าขอห้ามมิให้เจ้ากินเต่าโบราณตัวนั้น และ หอยหลอด โบราณตัวนั้นเด็ดขาด เจ้าเข้าใจหรือไม่?"เขาไม่ได้คาดหวังว่าวิหคเพลิงตัวนี้จะร้องตอบกลับอย่างเช่นมนุษย์ แต่จากเสียงเสียงร้องของมัน ชิงสุ่ยก็เชื่อว่ามันจะต้องเข้าใจสิ่งที่เขาพูด
ดินแดนหยกยุพราชอมตะยังคงเล็กเกินไปจนสัตว์อสูรตัวนี้มิอาจทดสอบพลังความเร็วที่มันถือครองใด ดังนั้นชิงสุ่ยจึงคิดวางแผนที่จะนำมันออกไปทดสอบพลังและความเร็วภายนอกดินแดนห้วงมิติแห่งนี้ในภายภาคหน้า
เมื่อเห็นว่ามันใกล้เวลาแล้วที่เขาจะต้องถูกขับไล่ออกจากดินแดนห้วงมิติ ชิงสุ่ยจึงชำระล้างร่างกายเปลี่ยนชุดเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนที่เขาจะจากออกมา เขาได้เก็บหนังสือ กระดาษต่าง รวมทั้ง หน้ากระดาษของฝ่ามือพุทธองค์ทองคำเก้าสะท้าน และกำชับกับวิหคเพลิงว่ามันจะต้องห้ามสัมผัสกับต้นไม้หรือสิ่งของต่างๆ
แต่ถึงกระนั้นวิหคเพลิงก็ยังคงส่งเสียงร้องออกมาอย่างมีความสุข
และแล้วชิงสุ่ยก็ออกจากดินแดนหยกยุพราชอมตะด้วยความพึงพอใจ!!
เขาเดินตรงไปยังเตียงนอนและล้มตัวลงนอน เขาละทิ้งความคิดส่วนหนึ่งในการทดลองเกี่ยวกับตัวของวิหคเพลิงเนื่องจากมันจะต้องดึงดูดความสนใจของเราผู้เชี่ยวชาญจากนิกายกระบี่นภาจนทำให้เขายากที่จะต้องรับมือ
เมื่อยามเช้ามาถึง ชิงสุ่ยก็ลุกขึ้นตื่นอย่างรวดเร็ว เขาข้ามการฝึกฝนในตอนเช้าไป เพราะเขาต้องการที่จะเรียกวิหคเพลิงออกมา วิหคเพลิงตัวนี้ดูเหมือนจะตื่นเต้นอย่างมากเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่มันได้ออกมาเผชิญกับโลกกว้าง มันกรีดร้องด้วยเสียงที่ดูสนุกสนาน ยังคงปลดปล่อยกลิ่นอายที่แข็งแกร่งซึ่งมันยังคงเป็นสิ่งที่น่าประหลาดใจ
ชิงสุ่ยรับรู้ถึงกลิ่นอายที่ทรงพลังและแข็งแกร่ง ตั้งแต่เขาอยู่ในดินแดนหยกยุพราชอมตะแล้วแต่เขาไม่ได้คาดหวังว่า เมื่อมันออกจากดินแดนห้วงมิติและปรากฏตัวขึ้นในโลกแห่งความเป็นจริง มันจะสามารถปลดปล่อยกลิ่นอายที่คล้ายคลึงกับสัตว์อสูรที่สืบสายเลือดจากนกหงส์เพลิง
นี่ก็เป็นอีกครั้งหนึ่งที่ชิงสุ่ยกระโดดขึ้นไปบนหลังวิหค ก่อนที่เขาจะเริ่มเรียนรู้ วิหคเพลิงตัวนี้ก็แสดงความสามารถในการบิน ปีกขนาดใหญ่ที่กางออกบัตรผ่านอากาศด้วยความเร็วที่น่าเหลือเชื่อ ซึ่งในตอนนั้นเองอีเย่เจี้ยนเก้อก็บังเอิญมองเห็นชิงสุ่ยที่กำลังยืนอยู่บนหลังของวิหคเพลิง
ซึ่งเธอเองก็ไม่เคยคาดคิดเลยว่า ชิงสุ่ยที่เคยเดินทางบนแร้งขนขาวเมื่อวันก่อน ในตอนนี้เขาจะปรากฏตัวขึ้นบนหลังสัตว์อสูรขนาดใหญ่อีกตัวหนึ่ง และที่สำคัญกลิ่นอายของสัตว์อสูรตัวนี้นั้นรุนแรงและแข็งแกร่งเทียบเท่ากับสัตว์อสูรที่อยู่ใน อันดับ 2 ของผู้ฝึกสัตว์อสูรระดับผู้พิทักษ์แห่งนิกายกระบี่นภา
อีเย่เจี้ยนเก้อสังเกตเห็นว่า นับตั้งแต่วันที่เธอได้รู้จักกับชิงสุ่ย เธอก็มักจะได้พบเจอกับสิ่งใหม่ๆที่ดีขึ้นเรื่อยๆเสมอ เธอจึงไม่ค่อยรู้สึกตกใจจนคิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเหล่านั้นกลายเป็นเรื่องปกติ
ชิงสุ่ยยังคงยืนอยู่บนหลังของวิหคเพลิง และกำลังสัมผัสประสบการณ์การบินที่รวดเร็วเกินคาดเดา
แรงลมที่พัดผ่านใบหน้าของเขานั้นทำให้เขารู้สึกถึงอารมณ์ที่ไร้ขีดจำกัดกำลังโผล่ขึ้นมาจากก้นบึ้งของหัวใจ เขามองไปทั่วแผ่นดินใหญ่รวมทั้งแม่น้ำสายหลักของมาทวีปที่อยู่เบื้องล่าง ความรู้สึกที่เขาได้รับนั้นแตกต่างไปจากความรู้สึกในตอนที่เขาอยู่บนหลังของกระเรียนหิมะขาว หรือแม้กระทั่งแร้งขนขาว
"ความเร็วในการเดินทางด้วยสัตว์อสูรบินได้คือสิ่งที่ดีที่สุด แม้ว่าข้าจะมุ่งหน้ากลับไปยังหมู่บ้านตระกูลชิงและเดินทางกลับมาที่แห่งนี้ ข้าก็คงใช้เวลามากสุดไม่เกิน 2 วัน"ชิงสุ่ยรู้สึกตื่นเต้นเพียงแค่เขาคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ เพราะการเดินทางของเขาที่เคยใช้เดินทางมาอาณาจักรชางหลางยาวนานมากถึง 2 เดือน
ชิงสุ่ยหยิบผลเสริมปราณและผลเสริมความว่องไว และโยนมันเข้าไปในปากของวิหคเพลิง เมื่อมันกินเข้าไปมันก็ส่งเสียงร้องอย่างมีความสุข ซึ่งตัวของชิงสุ่ยเองเขารู้สึกตื่นเต้นเมื่อได้ยินเสียงร้องของมัน
แต่โชคไม่ดีนะที่เขายังคงไร้ซึ่งยาเม็ดฟื้นฟูขนาดเล็ก มิเช่นนั้น มันคงจะต้องตื่นเต้นมากกว่านี้ที่ได้รับยาเหล่านั้นเพิ่ม
และโชคร้ายอีกอย่างหนึ่งก็คือ ผลเสริมปราการของเขานั้นหมดไปแล้ว ส่วนผลใหม่ก็ยังไม่สุก ซึ่งอีกไม่นานมันก็ใกล้จะสุกแล้ว ชิงสุ่ยตะหนักได้ว่าสิ่งสำคัญที่สุดของสัตว์อสูรเหล่านี้คือความอดทนในการเหาะเหินไปบนผืนฟ้า ซึ่งก่อนที่พวกมันจะกลายเป็นสัตว์อสูร พวกมันย่อมต้องเคยเป็นสัตว์ป่าหรือแม้กระทั่งสัตว์อสูรไร้แก่น ซึ่งในทุกๆขั้นนั้นมันจะมีการเพิ่มระดับความสามารถโดยขั้นที่ต่ำกว่าก็จะสามารถบินได้ในเวลาที่น้อยกว่า และถ้าหากพวกมันมีความอดทนมากยิ่งขึ้นพวกมันก็จะสามารถบินได้นานยิ่งขึ้นเช่นกัน
โดยเฉพาะเมื่อสัตว์เหล่านั้นเริ่มสร้างแก่นแท้ในใจกลางของตัวเองพวกมันจะมีความอดทนที่มากขึ้นดังนั้นพวกมันจึงสามารถบินได้ในระยะทางที่ไกล แก่นแท้ที่ปรากฏขึ้นคล้ายคลึงกับจุดตันเถียนของชาวมนุษย์ ยิ่งแก่นแท้ของสัตว์อสูรมีความแข็งแกร่งขึ้นเท่าใด สัตว์อสูรก็จะยิ่งเก่งขึ้นเท่านั้น
ชิงสุ่ยจ้องมองดูนกยักษ์ที่งดงามราวกับสัตว์ที่อยู่บนสรวงสวรรค์ จิตใจของเขานั้นเต็มเปี่ยมไปด้วยความพึงพอใจ มันเป็นความพึงพอใจที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อน เป็นเวลายาวนานมากแล้วที่เขาใฝ่ฝันว่าจะเดินทางไปไปทั่วโลกทั้ง 9 ทวีป แต่มันก็ไม่อาจเป็นจริงได้เพราะเขาไร้ซึ่งสัตว์อสูรบินได้ระดับเทวะเซียนเทียน ในตอนนี้สัตว์อสูรบินได้ได้อยู่ข้างกายของเขาแล้ว ดังนั้นแผนการที่จะเดินทางไปทั่วทั้งโลกก็สามารถขับเคลื่อนต่อไปได้
เขาบังคับวิหคเพลิงให้เดินทางกลับ ในเมื่อเขาเดินทางกลับสู่หุบเขาหมอกเมฆา อีเย่เจี้ยนเก้อและเด็กหญิงตัวน้อยก็กำลังยืนรออยู่
"อ้าา นกตัวใหญ่น่ารักจัง!!"เด็กหญิงตัวน้อยร้องตะโกนอย่างร่าเริง
ชิงสุ่ยกระโดดลงมาแล้วอุ้มเด็กหญิงตัวน้อยขึ้นไปเพื่อลูกขนนกสีเพลิงขณะที่เธอหัวเราะอย่างมีความสุข และชิงสุ่ยก็มองไปทางอีเย่เจี้ยนเก้อพร้อมกับรอยยิ้มที่อ่อนโยน
"ฮ่าๆๆๆๆๆ เออ…...ข้าเจอมันอยู่ที่ไหนสักแห่ง…….."
อีเย่เจี้ยนเก้อมองไปที่ชิงสุ่ยพร้อมทั้งแสดงรอยยิ้มที่แสนบริสุทธิ์บนใบหน้าของเธอ เธอยังคงเป็นเทพธิดาที่เต็มไปด้วยรอยยิ้มที่บริสุทธิ์และอบอุ่นโดยเฉพาะอย่างยิ่ง เมื่อเธอมองไปที่หลวนหลวน
"ท่านอาจารย์ ข้าอาจจะไม่อยู่ที่นี่สักพัก"ชิงสุ่ยอุ้มเด็กหญิงตัวน้อยพร้อมทั้งกล่าวออกมา
"อืม ข้ารู้ว่านิกายกระบี่นภาแห่งนี้คงไม่อาจกักเก็บตัวของเจ้าเอาไว้ได้ โลกที่แสนกว้างใหญ่กำลังรอเจ้าอยู่ ถ้าได้คุยเรื่องเหล่านี้กับพี่น้องของข้าแล้ว และพวกเขายอมให้เจ้าใช้ชื่อผู้อาวุโสของนิกายกระบี่นภา แต่เจ้าก็ยังคงความอิสระและสามารถเข้าร่วมนิกายอื่นๆได้ตามที่เจ้าปรารถนาในอนาคต" บางสิ่งบางอย่างปรากฏขึ้นภายในสายตาของอีเย่เจี้ยนเก้อมันทำให้ชิงสุ่ยรับรู้ได้ถึงความรู้สึกเศร้าหมอง
ชิงสุ่ยถอนหายใจ โดยที่อารมณ์ของเขาก็กำลังแปรปรวนเล็กน้อย
"แล้วเจ้าจะกลับมาเมื่อไหร่?" อีเย่เจี้ยนเก้อถาม