ตอนที่ 140 – พิโรธหลิงซู
ตอนที่ 140 – พิโรธหลิงซู
“นี่ สมองเจ้าคงมิได้ไหม้ไปแล้วหรอกน่ะ?” ถังเทียนกระซิบที่ข้างหูหลิงซู พูดอย่างระวัง “ถ้าเจ้าไม่ทำงานให้เขา จะเกิดอะไรขึ้นกับเบี้ยเลี้ยงของเจ้าเล่า? มิมีผู้ใดจะมอบเงินให้เจ้าหรอกนะ แล้วเจ้าจะเอาอะไรกินในอนาคต?”
หลิงซูที่กอดหอกเงินอยู่พลางเหลือบมองไปยังถังเทียนและบ่น “เจ้าจะกังวลอันใด?”
“ข้าแค่คิดเผื่อเจ้า มันยากนักที่จะหางานทำในตอนนี้!” ถังเทียนตำหนิราวกับคนแก่และด้วยน้ำเสียงเจ้ากี้เจ้าการกล่าวว่า “เจ้ายังเยาว์นัก ด้วยประสบการณ์อันน้อยนิดหรือไม่มีเลยของเจ้าต้องมาเผชิญหน้ากับโลกแห่งเป็นจริงที่โหดร้าย เจ้ายังถือว่าไม่ผ่านเกณฑ์...”
หลิงซูสบถด่าอย่างโมโห “หุบปาก!”
ถังเทียนรู้สึกลำบากใจและเขารู้สึกผิดเล็กน้อย เขามิได้ตั้งใจจะยั่วโมโห เขารู้สึกไม่ดีที่ทำให้ใครบางคนต้องสูญเสียงาน
หลิงซูที่กอดหอกนั่งอยู่มีท่าทางที่หดหู่และไม่เป็นมิตรราวกับเขาเป็นดั่งภูเขาไฟที่พร้อมจะปะทุได้ทุกเมื่อ
สัญชาตญาณของถังเทียนที่สัมผัสได้ถึงอันตรายมันมีความอ่อนไหวและปราดเปรียว เขารู้ได้ทันทีว่าเขาจะต้องไม่ยั่วโมโหเจ้าหนุ่มผู้นี้ในตอนนี้!
มันเป็นการดีกว่าที่จะไม่สร้างความรำคานให้เขา...
ถังเทียนเดินไปหากู่เสวี่ยอย่างเงียบๆ ชั่วครู่ต่อมา เขาก็อดกลั้นไม่ไหว “เจ้ามิคิดหรือว่ามันเป็นการตัดสินใจที่สิ้นคิดไป?”
ด้วยคำพูดนั้น หลิงซูก็พลันระเบิด เขากระเด้งตัวขึ้นมาและชี้หอกเงินพู่สีแดงไปยังถังเทียนและตะโกน “มาเถอะ! เจ้าตัวบัดซบ! ข้าจะสั่งสอนเจ้าเสียหน่อย!”
[คั่นหนังสือ : สำหรับท่านที่อ่านตอนที่แล้ว ที่ยังไม่ได้ทำการแก้ไข พลองพู่เปื่อยยุ่ย ก็คือ หอกเงินพู่แดง นะครับ พอดีแปลผิดเพราะรีบเร่งไปหน่อยครับ]
ช่างเป็นปราณสังหารที่รุนแรง
ถังเทียนพลันยิ้มอย่างขมขื่น เขายักไหล่แสดงท่าทางประมาณว่า ‘เจ้าไม่ควรที่จะต้องใส่ใจเลย’ และหัวร่อ “ฮ่าฮ่าฮ่า ข้าก็แค่เพียงถามไปอย่างนั้นเอง ก็แค่ทำเล่นๆ ถ้าเจ้าไม่อยากจะพูดถึงเรื่องนี้ ข้าก็จะไม่ถามแล้ว...”
มันราวกับว่าก้นของเขาฝังรากลงไปในพื้น เขายังคงนั่งอยู่
หลิงซูตกตะลึง แต่เวลาต่อมา เขาก็พุ่งไปเบื้องหน้าถังเทียนราวกับพยัคฆ์ที่ดุร้ายและคำรามดั่งลั่น น้ำลายของเขาสาดกระจายรดหน้าถังเทียน “เจ้าทำแบบนี้ได้เยี่ยงไรกัน? ทำได้เยี่ยงไร! เจ้ามันสารเลว เจ้ารู้จักใช้แต่เพียงวิธีที่ชั่วร้ายและน่ารังเกียจอย่างงั้นหรือ? มาสู้กับข้าอย่างมีเกียรติเถอะ...”
ถังเทียนเงยหน้ามอง แต่เขามิมีทีท่าว่าจะลุกขึ้น กล่าวด้วยสีหน้าเฉยเมย “เชียนฮุ่ยเคยบอกข้าไว้ว่าอย่าได้สู้กับบุคคลที่สูญเสียงานของเขา ข้าคิดว่านางพูดถูก”
หลิงซูชะงักค้าง
กู่เสวี่ยตกใจกับสิ่งที่นางเพิ่งได้รู้เห็น มิใช่แค่เพียงนาง แม้กระทั่งปากของมู่เหลยก็อ้าค้าง ฉากเบื้องหน้าพวกเขาทำให้เขางุนงง
นางเริ่มสำรวจหลิงซูอย่างจริงจังเป็นคราแรก
หลิงซูเป็นบุรุษที่สูง แต่เขาผอมกว่าถังเทียนเล็กน้อย ผมของเขาเป็นสีทะเลที่พบเห็นได้ยาก เขานัยน์ตาสีส้ม มันราวกับเปลวเพลิงที่ลุกไหม้อยู่
นางเคยได้ยินนามของหลิงซูมาหลายครา หลิงซูได้ติดตามรับใช้ผู้อาวุโสสูงสุดเมื่อไม่นาน เขาปรากฏตัวมาเมื่อสองปีก่อน แต่ภายในสองปีนั้น เขากลายเป็นที่รู้จักดีในฐานะนักสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดคนหนึ่งในดาวเฟยหลิน
ทันใดนั้น กู่เสวี่ยก็จดกจำฉายาของหลิงซูได้
พิโรธหลิงซู
นักสู้ที่น่ากลัวผู้นี้เป็นบุคคลเจ้าอารมณ์ มีข่าวลือกล่าวว่าเขาเกลียดชังความชั่วร้ายเป็นดั่งเช่นศัตรูตัวฉกาจ หากพบเจอเขาจะลงมืออย่างไม่ปราณี
แต่… หลิงซูกลับกลายเป็นคนทรยศ...
เพราะเหตุใดกัน?
ทันใดนั้น ก็มีเสียงชราที่เคร่งขรึมดังให้ได้ยิน “หลิงซู เจ้าจะจากข้าไปงั้นหรือ?”
ผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลปรากฏตัวขึ้น เขาจ้องมองไปยังหลิงซูด้วยความโกรธ
หลิงซูชะงักและกลับสู่ท่าทางเช่นปกติของเขา เขากอดหอกเงินพู่แดงของเขาและหย่อนก้นนั่งลงพลางกล่าวอย่างเศร้าสร้อย “ใช่แล้วขอรับ”
บรรยากาศทั้วทั้งสถานที่เงียบกริบ การที่หลิงซูกล่าวยอมรับออกมาตามตรง มันทำให้ทุกคนต่างตกใจอย่างมาก สำหรับในอดีตสองปีที่ผ่านมา หลิงซูมีตำแหน่งที่สูงภายในตระกูลจากผลงานของเขา
สำรับตระกูลอื่นๆ ยามเมื่อผู้เชี่ยวชาญจากไป พวกเขาอาจจะกลายเป็นอันตรายและด้วยสาเหตุนี้ สถานะของผู้อาวุโสสูงสุดของเขาอาจจะร่วงหล่นเป็นพันจั้ง*
[คั่นหนังสือ *一落千丈 = ร่วงหล่นเป็นพันจั้ง เกี่ยวกับตำแหน่งหรือสถานการณ์และอารมณ์ความรู้สึกที่เสื่อมถอยลงอย่างรวดเร็วฮวบฮาบหรือตกอยู่ในที่นั่งลำบาก]
ปากถังเทียนอ้ากว้างเป็นรูป ‘O’ ขณะที่เขามองไปยังหลิงซูด้วยความตกใจ เจ้าหนุ่มผู้แท้จริงแล้ว...เขากระทำจริง
จากหางตาของเขา เขาเห็นท่าทางของถังเทียน ทันใดนั้น ท่าทางของหลิง
ท่าทางของหลิงซูดูดีขึ้นหลังจากที่เขาเหลือบมองเห็นท่าทางของถังเทียน
“เพราะเหตุใด?” ผู้อาวุโสสูงสุดถามเสียงสั่น
“เพราะเหตุใดงั้นหรือ?” หลิงซูผงะ เขามีฉายาค้ำหัวพลางขบคิด “ข้าไม่มีความสุข ถ้าหากข้าอยู่อย่างไม่มีความสุข ข้าก็คงต้องจากไป”
“ไม่มีความสุขงั้นหรือ?” น้ำเสียงผู้อาวุโสสูงสุดกลับมามั่นคง เขานึกย้อนกลับไป ยามปกติเขามิได้หว่านล้อมหลิงซูให้เพียงพอ เขาพยายามที่จะใช้น้ำเสียงจริงใจเท่าที่จะเป็นไปได้ “ข้ามิได้ดูแลเจ้าให้ดี ข้าหวังว่าเจ้าจะมอบโอกาสให้ข้าได้แก้ตัวอีกสักครา มิว่าเป็นสิ่งใดที่เจ้าต้องการ มิว่าความปรารถนาใดที่เจ้าใฝ่ฝัน ข้าจะช่วยเหลือเจ้า ตระกูลกู่จะช่วยเหลือเจ้าด้วยทุกอย่างที่มี เงินตรา ยันต์จิตวิญญาณขุนพล สมบัติดาราและเส้นชีพจรโลหิต เจ้าเพียงแค่บอกออกมา พวกเราจะมอบมันให้กับเจ้า”
ผู้อาวุโสสูงสุดให้คำมั่น เขาสังเกตว่าความผิดพลาดของเขาและแก้ไขมันด้วยความแน่วแน่ โดยไม่แหวกหญ้าให้งูตื่น หลายคนแอบชื่นชมการกระทำของผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูลอย่างลับๆ ผู้ที่ซึ่งมีความถ่อมตนอย่างยิ่งและรู้ถึงข้อผิดพลาดของตนเองและขอขมาในทันที เขาช่างเก่งกาจในการกระทำของเขา แต่อันที่จริง เขาเป็นเพียงคนที่หน้าด้านไร้อย่างอายผู้หนึ่ง
หลิงซูส่ายหัวพลางกล่าวอย่างเศร้าใจ “ข้ามิชอบรังแกคนที่อ่อนแอกว่า ข้าเบื่อหน่ายและเหนื่อยกับวิถีชีวิตนี้ อาจารย์ข้าเคยบอกว่าในฐานะนักสู้ พวกเราต้องสู้อย่างมีเกียรติและเห็นอกเห็นใจผู้อื่น ข้ามิเคยได้ทำตามคำของอาจารย์เลย แต่ข้าไม่อยากถลำลึกไปกว่านี้ มันก็เป็นเช่นนี้เอง! ทุกสิ่งอย่างที่ข้าได้กระทำให้ท่านมันเพียงพอที่ต่อเหรียญดาราทั้งหมดที่ท่านมอบให้มาแล้ว”
มิรู้สาเหตุใด ยามเมื่อหลิงซูกล่าวจบ เขาก็รู้สึกโล่งอก ในที่สุดก็ได้จบวิถีชีวิตอันยุ่งเหยิงนี้!
ผู้อาวุโสสูงสุดที่โกรธเกรี้ยวกลายเป็นหัวร่อ “หลิงซู เจ้าเป็นทารกหรือไร? เหตุใดเจ้าถึงได้กล่าวเรื่องไร้เดียงสาเช่นนี้ เจ้าทำให้ข้าผิดหวังนัก คิดว่าเงินที่ให้เจ้าได้บ่มเพาะมันมาจากที่ใด? ยันต์จิตวิญญาณของเจ้ามันมาจากที่ใด? แล้วสมบัติดาราของเจ้าล่ะ? หล่นมาจากฟ้าอย่างงั้นหรือ? ในตอนนี้ หากเจ้าพูดเช่นนั้นแล้ว ข้าก็คือคนที่ไร้เกียรติสินะ? ฮ่า!”
“อาจารย์ข้าเคยกล่าวไว้ว่า เหล่าสิ่งที่ทำให้เจ้าบรรลุไปถึงจุดสุดยอดได้มิใช่ยันต์จิตวิญญาณที่หายากหรือเหรียญดารา แต่มันเป็นความศรัทธาและความเพียรพยายาม!”
“พวกท่านทุกคนสังหารครอบครัวของนางเพียงเพื่อเงินและเพื่อผลประโยชน์ นั่นคือธุระของท่าน ข้ามิได้สนใจ แต่สมองอันต้อยต่ำของท่านกลับคิดจะลักพาตัวเด็กสาวผู้ที่เพิ่งจะสูญเสียครอบครัวไปเพื่อให้ไปเป็นแม่พันธุ์ของพวกท่านเพื่อนางจะได้มอบทายาทที่มีเส้นชีพจรโลหิตรุ้งหิมะให้” นัยน์สีส้มของหลิงซูลุกโชน เขาชี้ไปยังถังเทียนด้วยหอกพลางตวาดลั่น “แม้กระทั่งสารเลวผู้นี้มันยังรู้ว่าควรกระทำเช่นไร”
ถังเทียนเพิ่งจะฟื้นคืนสติ ทันใดนั้นก็ชะงักค้างไปอีกครา เจ้าชมข้า… หรือว่าด่าข้ากันแน่?
หลิงซูเพียงรู้สึกราวกับบางอย่างพุ่งขึ้นมาจากหน้าอกของเขา เขารู้สึกถึงพลังที่เขามิเคยรู้สึกมาก่อน แม้ว่าเขาจะเผชิญหน้ากับความตาย เขาก็คงมิหวาดหวั่น
เพียงชั่วพริบตา เขาก็พลันเข้าใจ ใช่แล้ว! มันต้องเป็นเช่นนั้น เขาจะต้องมิสูญเสียศรัทธา!
ศรัทธาในตนเอง! กระทำสิ่งที่เขาคิดว่าถูก! มันคือพื้นฐานของวิถีจิต!
หลิงซูมองไปยังผู้อาวุโสตระกูลและกล่าว “ข้าขออภัยอย่างยิ่ง ที่ต้องถอนตัวออกมา”
ถังเทียนผู้ที่นั่งอยู่ด้านข้างด้วยใบหน้าที่เหลอหลา เขาพลางพึมพำ ข้ามิได้ทำอะไรทั้งนั้น… อ้า ค่าจ้างของเจ้านี้จะต้องมิสูงมากอย่างแน่นอน...
หลิงซูพลันเดินไปหาผู้อาวุโสสูงสุด
ท่าทางของผู้อาวุโสเปลี่ยนไป เขาถอยอย่างรวดเร็ว ในขณะที่ตื่นตระหนกเขาพลันตะโกน “หลิงซู เจ้าพยายามที่จะทำร้ายข้างั้นหรือ?”
หลิงซูมิได้สนใจ เขาเดินต่อไปอีกเจ็ดถึงแปดก้าวก่อนที่เขาจะหยุดฝีเท้าและแทงหอกของเขาลึกลงไปพื้นหินปูน จากนั้นก็ลากเป็นเส้นตรงลึกภายใต้เท้าของเขาไปตามทางจนถึงสุดทาง
“ผู้ใดก็ตามที่ก้าวข้ามเส้นนี้มาจะถูกสังหาร”
คำพูดอันเย็นชาของหลิงซูบอกให้ได้ยินขณะที่เขาสำรวจมองไปยังกลุ่มคน ทุกคนพลันสั่นสะท้าน
โดยไม่พูดแม้แต่คำเดียว เขาก็หันหลังเดินไปอยู่ใกล้กับถังเทียนเช่นเดิมและนั่งลงกอดหอกของเขาไว้
สีหน้าผู้อาวุโสสูงสุดเปลี่ยนเป็นแดงและกลายเป็นเขียว แต่เขายังคงนิ่งเงียบ เขารู้ถึงอารมณ์หลิงซูเป็นอย่างดี ถ้าเจ้าหนุ่มผู้นี้ต้องการทำอะไรแล้ว มิมีผู้ใดจะหยุดรั้งเขาได้...
แต่...ถ้าหากเขาคิดว่ามิมีผู้ใดจัดการเขาได้ล่ะก็ เขาคิดผิดเสียแล้ว...
ผู้อาวุโสสูงสุดจำเป็นต้องสังหารเขา ถ้าเขามิยอมกลับเนื้อกลับตัวสำหรับความผิดของเขา มันเหมือนกับสิ่งที่เขาได้ทะนุถนอมมาเป็นเวลามากกว่าสิบปีและมันกลับพังทลายลงไปหมด เขาคงไม่สามารถที่จะยอมรับมันได้
บรรยากาศที่นี้กลับกลายเป็นเงียบสงบอีกครา
ชื่อเสียงความดุร้ายของหลิงซูมิใช่บางสิ่งที่ถังเทียนจะลอกเลียนได้ ปีศาจหัวแข็งหลิง มิมีผู้ใดกล้าที่จะท้าทาย
ทั้งสี่นั่งล้อมวงปราศจากคำพูดจา
กู่เสวี่ยลังเลอยู่ชั่วครู่ก่อนที่นางจะกล่าวเบาๆ “ขอบคุณ!”
หลิงซูแทบมิได้กระพริบตา กอดหอกของเขาพลางกล่าว “มิจำเป็นต้องขอบคุณข้า ข้ากระทำเพื่อตัวข้าเอง”
กู่เสวี่ยเข้าใจเพียงครึ่งเดียวพลางกล่าว “แต่ข้ายังคงต้องขอบคุณเจ้า”
หลิงซูไม่ได้พูดแม้แต่คำเดียว เขาแอบมองไปยังถังเทียนเห็นถังเทียนแสดงสีหน้าที่เขาต้องการจะพูดบางอย่าง เขาก็ร้องถามขึ้น “ถ้าเจ้าต้องการจะพูดอะไรก็พูดออกมาเถอะ!”
ถังเทียนร่าเริงทันที “ถ้างั้นข้าจะพูดตรงๆเลยนะ!”
“พูดมา” หลิงซูกล่าวอย่างหงุดหงิด
“เจ้าตระหนักรู้แจ้งเป็นเพราะข้าใช่หรือไม่? โอ้ เจ้าได้พบมโนธรรมของตัวเจ้าเองแล้วงั้นหรือ?” นัยน์ตาถังเทียนสว่างวาบ “มันต้องเป็นแบบนั้นแน่! มันต้องเป็นเช่นนั้น! ข้ามันสมกับเป็นบุรุษหนุ่มเทพเสียจริง! ว๊ะฮ่าฮ่า ข้ามันช่างเก่ง...”
กีก กึก กึก!
หลิงซูหันคอของเขาราวกับหุ่นเหล็ก ผมสีน้ำเงินของเขาชี้ตั้งด้วยความโกรธ สีหน้าของเขาซีดลงด้วยความโกรธ นัยน์ตาคู่สีส้มก็ลุกโชติ จากนั้นสีหน้าเขาก็ด่ำดิ่งกลายเป็นดำทะมึนราวกับมันมีเมฆดำที่หนาแน่นพร้อมกับอัสนีบาต
“เจ้าตัวบัดซบ! ข้าต้องสังหารเจ้า!”
หลิงซูกระโจนเข้าหาถังเทียนราวกับผู้ล่ากระโจนเข้าหาเหยื่อ
กู่เสวี่ยและมู่เหลยมีท่าทางเหมือนรู้ว่าการต่อสู้กำลังจะเริ่มขึ้น!
ทั้งสองต่างมองหน้ากันเอง พวกเขารู้สึกอธิบายไม่ถูก พวกเขามิสามารถที่จะเข้าใจในสิ่งที่พวกเขาทั้งสองคิดได้
หลังจากการต่อสู้ ทั้งสองคนต่างเละเทะ พวกเขาจ้องมองกันและกันโดยมิยอมถอย
“ข้าเป็นลูกพี่เจ้า เจ้ากล้าทำร้ายลูกพี่เจ้าได้เยี่ยงไร? เจ้ากำลังล่วงเกินลูกพี่ของเจ้าอยู่นะ!” ถังเทียนพลันโพล่งออกไป
“เพื่อความยุติธรรม ตัวบัดซบเช่นเจ้าจำเป็นต้องได้รับบทเรียน!” หลิงซูโต้เถียง
“ความยุติธรม? แล้วความเห็นอกเห็นใจเล่า?” ถังเทียนจ้องมองไปยังเขาด้วยความโกรธ
“สำหรับเจ้ามันจำเป็นต้องมีความเห็นอกเห็นใจให้ด้วยหรือ?” หลิงซูมีท่าทางขบขัน
“อ้า!” ถังเทียนกรีดร้องและหน้าทิ่มลงไปบนพื้น ร่างของเขาชักดิ้นเป็นจังหวะ เขามีอาการราวกับกำลังเจ็บปวด
“เห็นอกเห็นใจ… เห็นอกเห็นใจ...” ถังเทียนชักกระตุกบนพื้นราวกับเขาเป็นตระคริว เสียงกรีดร้องของถังเทียนดังเข้าไปภายในหูของหลิงซู
หลิงซูงุนงง ไม่นานเขาก็ตวาดขึ้น “เจ้าคิดว่าข้าโง่นักหรือ!”
เจ้าบัดซบตัวนี้ ช่างไร้สาระ! เขามิมีความกล้าหาญ! ช่างน่าขุ่นเคืองนัก… เจ้าคิดว่าข้าโง่เขลานักหรือ?
“ไอหย๋า เจ้าโง่นี้มิยักกะตกหลุมพราง? แปลกจริง...”
เสียงบ่นพึมพำของถังเทียนปรากฏออกมาจากเบื้องหลัง หลิงซูก็แทบจะหัวทิ่มกระแทกพื้น
***********************************************************
ติ ชม รับข่าวสารได้ที่ แฟนเพจ ได้เลย และกดไลค์เพื่อเป็นกำลังใจด้วยครับ