AST บทที่ 177 - ความอ้างว้างเปรียบดั่งดอกไม้ไฟ ที่สว่างสดใสเหนือใครๆแต่สุดท้ายทุกคนก็เดินจากไปปล่อยให้แสงสว่างค่อยๆมอดดับโรยรา
ฝากติดตามเพจด้วยนะครับ แฟนเพจ แจ้งเตือนก่อนใคร กดเลย
https://www.facebook.com/AncientStrengtheningTechnique
บทที่ 177 - ความอ้างว้างเปรียบดั่งดอกไม้ไฟ ที่สว่างสดใสเหนือใครๆแต่สุดท้ายทุกคนก็เดินจากไปปล่อยให้แสงสว่างค่อยๆมอดดับโรยรา
"ช่างเป็นวลีที่มีเกียรตินัก ดี ในวันนี้ข้าได้พบคนที่ยิ่งใหญ่!!"เสียงดังกึกก้องทำให้เกิดความเงียบสงัดขึ้นในทันที
ชิงสุ่ยกำลังพูดคุยกับอูซวงอย่างมีความสุขและไม่ได้ คาดคิดเลยว่าจะมีคนเข้ามาใกล้พวกเขา มันคงเป็นเพราะเขาประมาทเกินไป
เมื่อเขาเงยหน้าขึ้นเขาก็สังเกตเห็นรุ่นเยาว์ทั้งสามคน ซึ่งแต่ละคนดูเหมือนอายุจะน้อยกว่า 30 ปี พวกเขาทั้งหมดต่างดูภูมิฐานและได้รับการฝึกฝนที่ดียิ่ง โดยคนที่ตรงกลางนั้นเต็มไปด้วยความสงบ ดวงตาของเขาไม่เพียงแค่เฉียบแหลม แต่ยังแสดงออกถึงความมีสติปัญญา
ชิงสุ่ยเหลือบตามองดู ทั้งสามคนต่างแต่งกายด้วยเสื้อคลุมสีม่วงแบบเดียวกับผู้พิทักษ์ของนิกายกระบี่นภา นอกจากนี้กลิ่นอายที่ซับซ้อนยังแผ่ซ่านออกแสดงให้เห็นถึงความรู้สึกลึกลับ แม้แต่รองผู้อาวุโสห่าวหนานพี่เป็นตัวแทนเข้าชิงตำแหน่งสิบผู้อาวุโส ก็ไม่อาจเปรียบเทียบกับคนทั้งสามคนได้ หนึ่งในนั้นอาจเป็นไปได้ว่าจะต้องเป็นเฉียวชู ซึ่งเป็นอีกคนหนึ่งที่เป็นตัวแทนเข้าชิงตำแหน่งสิบอาวุโส
"ต้องขอโทษด้วย วันนี้ข้าเองยังไม่ว่าง พวกเจ้าสามารถมาเวลาอื่นได้ แต่จะต้องเป็นภายใน 3 วันหลังจากนี้ ถ้าไม่อย่างนั้น ข้าคงจะไม่ได่อยู่ที่นี่อีกแล้ว!!"ชิงสุ่ยจับมืออูซวงแล้วกล่าวมาเบาๆขณะที่เขากำลังก้าวขาเตรียมที่จะออกไป
แท้จริงแล้วทั้งสามคนต่างอยู่ในสามอันดับสูงสุดที่เข้าชิงตำแหน่งอาวุโสภายในนิกายกระบี่นภา ครั้งที่ชิงสุ่ยเดินทางมาที่แห่งนี้ทั้งสามคนก็ไม่มีใครอยู่เลย แต่เมื่อเขาได้ยินว่าชิงสุ่ยได้แสดงท่าทางหยิ่งยโสต่อหน้าผู้พิทักษ์ของนิกายกระบี่นภา มันยิ่งทำให้พวกเขารู้สึกโกรธแค้นเป็นอย่างมาก แต่โชคร้ายที่ชิงสุ่ยออกจากหุบเขาแห่งนี้ไปก่อนที่จะได้เจอกับพวกเขา
วันนี้เมื่อมีคนบอกว่าชิงสุ่ยกลับมาแล้ว ดังนั้นพวกเขาจึงต้องการที่จะแก้แค้นเพื่อทวงคืนศักดิ์ศรี แม้ว่าชิงสุ่ยเองจะกลายเป็นผู้พิทักษ์ของนิกายกระบี่นภาแล้วก็ตาม
"เจ้าจะเป็นคนที่หยิ่งยโสเพื่ออะไรกัน? ข้า ห่ายซิง ไม่ได้อยู่ที่นี้ในตอนนั้น ถ้าข้าอยู่ ข้าคงจะสามารถทดสอบทักษะอันอ่อนแอของเจ้าได้?" หนุ่มร่างผอมสูงที่อยู่ทางด้านซ้ายกล่าวมาด้วยความน่ารังเกียจ
"ฮ่าๆๆ ข้าไม่ได้มีความหยิ่งยโสเลย ข้าไม่คิดว่าความสามารถของข้านั้นจะทำให้ข้าพ่ายแพ้ผู้ใดอย่างน่าอับอาย ซึ่งหมัดของเจ้าเองก็คงไม่ได้มีค่าพอจะอวดอ้างมากขนาดนั้น"
"พรุ่งนี้ตอนเช้าเจอกันที่สนามประลอง ข้าต้องการที่จะต่อสู้กับเจ้าอย่างยุติธรรมแล้วตรงไปตรงมา"รุ่นเยาว์รูปร่างดีที่มีคิ้วและดวงตาอันใหญ่โตกล่าวขึ้นด้วยรอยยิ้ม ในขณะที่เขาพยายามระงับอารมณ์ของห่าวซิงที่กำลังจะระเบิดออกด้วยความโกรธ
"เอาล่ะ จริงๆแล้วพวกเจ้าก็ไม่จำเป็นต้องทำเช่นนี้!!"ชิงสุ่ยจับมือของอูซวงและกล่าวขึ้นขณะจากไป
"ในบางครั้ง บางสิ่งบางอย่างก็ต้องแม่นยำถึงแม้ว่าเขาจะรู้ว่าเป็นสิ่งที่ผิดก็ตาม" ชายที่ดูแข็งแกร่งกล่าวขึ้น
"ชิงสุ่ย เขาเป็นถึงคนที่อยู่ในอันดับแรกๆที่เข้าชิงตำแหน่งผู้อาวุโส เทียซ่งฉาน มีคนเคยกล่าวไว้ว่าเขาเป็นอีกคนหนึ่งที่อยู่ในระดับสูงสุดขั้นที่ 2 ของปราณเทวะเซียนเทียน และเป็นผู้แข็งแกร่งที่สุดในมวลหมู่ผู้ที่ถูกเสนอชื่อเข้าชิงตำแหน่งผู้อาวุโส"อูซวงกล่าวขณะที่เธอเดินเคียงข้างชิงสุ่ย
เธอไม่ค่อยกังวลในตัวของชิงสุ่ย เพราะเธอรู้ดีว่าชิงสุ่ยจะสามารถเอาชนะเขาได้ แต่อย่างไรก็ตามการรู้จักฝ่ายตรงข้ามย่อมต้องดีกว่าเสมอ!!
"ไม่ต้องเป็นห่วง ข้าสามารถที่จะประเมินพลังของเขาได้ ข้าเพียงแค่ไม่ต้องการทำตัวเป็นจุดเด่น มันฟังดูเหมือนเป็นไปไม่ได้เลยสินะ"ชิงสุ่ยกล่าวออกมาอย่างช่วยไม่ได้
"เออ เมื่อไหร่กันที่เจ้าเริ่มพยายามปกปิดจุดเด่นเหล่านี้?"เหวินเหรินอูซวงเต็มไปด้วยความรู้สึกสงสัย
ชิงสุ่ย "................"
"เจ้าควรจะรีบมุ่งหน้ากลับไป ก่อนที่เจ้าจะไม่สามารถกลับไปอีก"อูซวงยิ้มอย่างดงามคณะที่เธอพูดก่อนที่เธอจะเดินทางเข้าสู่หุบเขาจรู้ชิง
เมื่อชิงสุ่ยกลับมาถึงห้องโถงของหุบเขากระบี่นภา ทุกอย่างก็มืดลงแล้ว แม้ว่าจะมีแสงไฟขนาดใหญ่ที่ส่องสว่างขึ้นบริเวณโดยรอบ แต่เบื้องหน้าห้องโถงแห่งนี้กับเต็มไปด้วยความเงียบสงัด
ชิงสุ่ยมองเห็นหญิงสาวที่คุ้นเคยคนหนึ่งยืนอยู่ข้างหน้าความงามของเธอนั้นสามารถล่มสลายอาณาจักรต่างๆของได้อย่างง่ายดายเพียงแค่พลิกฝ่ามือ
"เธอเป็นหญิงสาวที่โดดเดี่ยว ความโดดเดี่ยวและความอ้างว้างเปรียบดั่งดอกไม้ไฟ ที่สว่างสดใสเหนือใครๆแต่สุดท้ายทุกคนก็เดินจากไปปล่อยให้แสงสว่างค่อยๆมอดดับโรยรา!!"นี่เป็นสิ่งที่ชิงสุ่ยกำลังรู้สึก
มันก็สายมากแล้ว ยังมีหญิงสาวโฉมงามคนนึงกำลังรอเขาอยู่ มันจะดีกว่านี้ถ้าหากเธอกลายมาเป็นภรรยาของเขา แต่มันแย่มากที่เธอนั้นเป็นดั่งอาจารย์ของเขา มันทำให้เขารู้สึกเห็นแก่ตัวเล็กน้อยถ้าหากได้สัมผัสเธอ
"ท่านอาจารย์!!"ชิงสุ่ยทำลายความคิดเกี่ยวกับอีเย่เจี้ยนเก้อ
อีเย่เจี้ยนเก้อหันหน้ามาทางเขาและยิ้มอย่างนุ่มนวลและค่อยๆกล่าวออกมาว่า "ในที่สุดเจ้ากลับมา!!"
ชิงสุ่ยมองดูหญิงสาวที่โดดเดี่ยว รอยยิ้มของเธอเหนือเกินกว่าโลกมนุษย์จะจินตนาการถึง เขาจึงรู้สึกหึงหวงอย่างมาก "ท่านอาจารย์ พวกเรากลับไปยังหุบเขาหมอกเมฆากันเถอะ ข้ารู้สึกคิดถึงที่นั้น"
ในชั่วพริบตานกกระเรียนหิมะขาวก็ปรากฏขึ้น ชิงสุ่ยและอีเย่เจี้ยนเก้อก็เริ่มเดินทางเข้าสู่หุบเขาหมอกเมฆาในทันที
"ชิงสุ่ย เจ้าเป็นอย่างไรบ้างกับหนึ่งเดือนที่ผ่านมาในโลกภายนอก?"อีเย่เจี้ยนเก้อเดินเคียงข้างชิงสุ่ยขณะที่กำลังเดินขึ้นบันไดสู่หุบเขาหมอกเมฆา
ซึ่งกันกระทำนี้เป็นสิ่งที่ชิงสุ่ยขอ มิฉะนั้นพวกเขาคงนั่งนกกระเรียนหิมะขาวขึ้นสู่ยอดภูเขาโดยตรงได้ทันที
"ฮ่าๆๆ มันก็รู้สึกดีนะ คงมีแต่ประสบการณ์จากโลกภายนอกเท่านั้นที่สอนให้จิตใจของเราเข้มแข็งขึ้น เมื่อจิตใจของคนเราไม่สงบ ท้ายที่สุดการฝึกฝนของเราก็จะติดเป็นอยู่เพียงแค่ส่วนท้ายของคอขวดเท่านั้นและคงไม่อาจก้าวหน้าได้อีกต่อไป ความมุ่งมั่นจึงเป็นตัวผลักดันอันแรงกล้าที่ทำให้จิตใจ เป็นอิสระ"
"เจ้ามีสิ่งใดที่ต้องการจะบอกข้าหรือเปล่า?"อีเย่เจี้ยนเก้อกล่าวถาม
"เออ…..ท่านอาจารย์ ข้าคิดว่าท่านจะสามารถบรรลุระดับเทวะเซียนเทียนขั้นที่ 4 ไปยังขั้นที่ 5 ได้ ถ้าหาก ท่านตกหลุมรักกับชายใดสักคน"ชิงสุ่ยกล่าวอย่างจริงจัง
อีเย่เจี้ยนเก้อ มองภาพลักษณ์ของชิงสุ่ยแปลกไป ในขณะที่เขาเองก็รู้สึกสับสน เขาคิดเพียงว่าวิธีการฝึกฝนเช่นนี้ อาจจะส่งผลคล้ายคลึงกับการฝึกฝนของผู้อื่น อย่างไรก็ตาม มันจะคุ้มค่าถ้าหากได้เสี่ยงที่จะลอง
ชิงสุ่ยรู้สึกว่าเทพธิดาอย่างอีเย่เจี้ยนเก้ออาจจะเกิดผลขนาดใหญ่ถ้าหากเธอจะตกหลุมรักใครสักคน
"ใครจะกล้ายืนยันเรื่องแบบนี้ได้? ไอ้คนเสเพล ดูเหมือนเจ้ากล้าที่จะหยอกล้ออาจารย์ของเจ้า" อีเย่เจี้ยนเก้อกล่าวพร้อมรอยยิ้ม สีหน้าของเธอยังคงไม่มีสิ่งใดเปลี่ยนแปลงไป
"เฮ้อ ข้าเองก็ไม่สามารถบังคับใครได้ ข้าเองก็ไม่อาจหาชายใดที่จะสามารถคู่ควรกับผู้อาวุโสอย่างท่าน นี่มันก็เป็นปัญหาใหญ่อีกอย่างหนึ่ง"ชิงสุ่ยกล่าวพร้อมกับยิ้มอย่างขมขื่น
"ดูเหมือนเจ้าอยากให้ข้าตีเจ้าอีกสักที? นี่เจ้ากล้าบอกให้อาจารย์ของเจ้าตามหาชายคนนั้นเพื่อแต่งงานอย่างนั้นหรือ?"มันเป็นเรื่องยากที่อีเย่เจี้ยนเก้อจะพูดออกมาด้วยเสียงที่เต็มไปด้วยมารยา
"ฮ่าๆๆ แท้จริงแล้ว ข้าเองหวังว่าฉันคงจะไม่มีวันแต่งงาน เพราะถ้าเป็นเช่นนั้นข้าจะได้มองดูผู้อาวุโสที่นับถือของข้าในทุกๆวัน แล้วจะอยู่เคียงข้างๆในทุกๆวัน และได้สั่งสอนค่าในทุกๆวัน และข้าอาจจะได้นวดผ่อนคลายให้กับผู้อาวุโสที่ยิ่งใหญ่ของข้าในทุกวัน"ชิงสุ่ยยิ้มกว้างออกมาพร้อมดวงตาที่ชัดเจน
"ไอ้เด็กเสเพล ข้าเคยบอกเจ้าแล้วใช่ไหมอย่าเรียกข้าว่าผู้โส ข้าพึ่งอายุไม่เท่าไหร่เอง?" อีเย่เจี้ยนเก้อพูดอย่างรื่นเริงในขณะที่มองหน้าอันมีเสน่ห์และสง่างามของชิงสุ่ย
สิ่งที่ชิงสุ่ยต้องการหรืออยากเห็นมากที่สุด คือการที่ทำให้เธอนั้นมีอารมณ์และมีความสุขจากใจจริง
เมื่อมองดูชิงสุ่ยที่กำลังยิ้มอย่างมีความสุข อีเย่เจี้ยนเก้อก็ยิ้มด้วยความโล่งอกโล่ง "ขอบคุณมาก ชิงสุ่ย ข้าตระหนักได้ว่าข้าเริ่มมีความสุขมากขึ้นนับตั้งแต่ได้พบกับเจ้า"
"ท่านอาจารย์ไม่ต้องเอ่ยปากขอบคุณข้าหรอก ข้ายินดีที่จะทำทุกอย่างเพื่อท่าน เพราะท่านคืออาจารย์ของข้า นอกเหนือจากผู้คนในสายเลือดของข้า ท่านถือได้ว่าเป็นคนที่ใกล้ชิดที่สุดของข้า ถ้าหากข้ามีปัญหาท่านอาจารย์เองก็คงไม่อาจเพิกเฉยได้ใช่ไหมล่ะ?"
"อาจารย์ของเจ้าอยู่อย่างโดดเดี่ยวมาตลอด นอกจากอาจารย์ของข้าที่ล่วงลับไปแล้วและพี่น้องที่รวมต่อสู้กันมา ข้าก็มีแค่เจ้าคนเดียวเท่านั้น!!"
ในที่สุดอีเย่เจี้ยนเก้อและชิงสุ่ยคนเดินทางมาถึงด้านหน้าห้องโถงของหุบเขาหมอกเมฆา
"ชิงสุ่ย เดี๋ยวข้าจะไปทำอาหารแล้วเรามารับประทานอาหารร่วมกัน ทักษะการทำอาหารของข้าก้าวหน้าขึ้นมากแล้ว"คำพูดของอีเย่เจี้ยนเก้อทำให้ชิงสุ่ยตกอยู่ในอาการงุนงง
ชิงสุ่ยแอบไปดูอีเย่เจี้ยนเก้อที่กำลังทำอาหาร ไม่ว่าเทพธิดาคนนี้จะทำสิ่งใด การกระทำของเธอนั้นช่างดูสง่างามในทุกอิริยาบถ
หลังจากเมื่อหารนั้นชิงสุ่ยก็ได้พักผ่อนเพื่อเตรียมที่จะออกเดินทางต่อ!
"ชิงสุ่ย พรุ่งนี้เจ้าอย่าทำร้ายพวกเขาให้บาดเจ็บมากเกินไปล่ะ"