ตอนที่แล้วตอนที่ 136 – แท้จริงเขาเป็นผู้ใดกัน?
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 138 – หลิงซู

ตอนที่ 137 – ความจริงใจ


ตอนที่ 137 – ความจริงใจ

 

เมื่อเห็นผู้คนบาดเจ็บทั้งหมดอยู่บนพื้น ถังเทียนพลันรู้สึกพอใจ

เขามีความสุขอย่างมากกับการต่อสู้วันนี้ และจุดสำคัญคือเขาได้ต่อสู้อย่างสมใจและได้รับชัยชนะ มันช่างยอดเยี่ยมจริง! ในที่สุดเขาก็ได้เติมเต็มความพึงพอใจของตัวเองและเขาก็รู้สึกอิ่มเอมใจ ถังเทียนกอดอก เขายืนอย่างภูมิใจด้วยใบหน้าที่ดูสูงส่งและยิ่งใหญ่ท่ามกลางสนามรบ

หัวใจดวงเล็กๆแทบระเบิดไปด้วยความโอหัง

ถ้าเขาต้องพูดเรื่องที่น่าเสียดาย มันก็คงจะเป็นเรื่องที่เข้าไม่สามารถเข้าใจในกระบวนท่าสังหารของฝ่ามืออนุสรณ์

แต่ทั้งใจถังเทียนก็รู้สึกพอใจแล้ว เขาก็โยนเรื่องนี้ไปข้างหลังทันทีและปลาบปลื้มกับชัยชนะ

คนอื่นทั้งหมดต่างหวาดกลัวเขา แม้กระทั่งฉือหลานที่ได้ต่อสู้ตัวต่อตัว สายตาของทุกคนที่จ้องมองไปยังถังเทียนมันเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

ผู้เชี่ยวชาญผู้นี้มาจากที่ใดกัน?

ถังเทียนบิดขี้เกียจ ในเมื่อมิมีผู้ใดเข้ามาสู้กับเขาแล้ว ในที่สุดเขาก็หมดความอดทน สำหรับผู้ที่มีคุณสมบัติและประสบการณ์ในการเป็นเผด็จการภายในสถาบันและต้องมาพบเจอเหตุการณ์นี้ซึ่งเขาเคยชินแล้ว

“ทุกคนจงฟังข้า!” ถังเทียนชี้นิ้วหัวแม่มือไปที่ตัวเอง และด้วยสีหน้าที่ดุร้าย “ตั้งแต่นี้เป็นต้นไป กู่เสวี่ยอยู่ภายใต้การดูแลของข้า! ผู้ใดก็ตามที่ไม่ยอมรับ ข้าจะหักขามัน!”

ทุกสถาบันเหล่าเผด็จการจะต้องใช้ช่ำชองวลีเช่นนี้เสมอ

ประโยคที่รุนแรงและมีอำนาจ กับผู้คนทั้งหมดที่บาดเจ็บอยู่บนพื้น ภายใต้เสียงร่ำร้องทรมาน มันไม่ใช่เรื่องตลกเลย

มิมีผู้ใดกล้าที่จะหัวร่อ

หลังจากที่พูดประโยคนี้ ถังเทียนมิได้สนใจกลุ่มคนเหล่านี้อีก ท่าทางของกู่เสวี่ยและมู่เหลยแข็งค้างในสีหน้าที่แปลกประหลาด ในสีหน้าที่แปลกประหลาดนั้นมันเหมือนกับพวกเขาพบเจอภูติผี ขณะที่สายตาพวกเขาจับจ้องอยู่ที่ถังเทียน… พวกเขารู้สึกว่าได้เห็นภูติผีจริงๆ

ถังเทียนรู้สึกงุนงง “เหตุใดพวกเจ้าทั้งสองคนถึงมองข้าเช่นนั้นเล่า?”

แต่เพียงชั่วครู่เขาก็หัวร่อออกมาเสียงดัง “พวกเจ้าทั้งสองคงจะตกตะลึงกับบุรุษหนุ่มเทพผู้นี้ใช่ไหมล่ะ!”

กู่เสวี่ยและมู่เหลยจ้องมองอย่างงุนงง

“ข้าพูดถูกใช่ไหม ข้าพูดถูกใช่ไหม?” ถังเทียนขยับหน้าเข้ามาใกล้ ด้วยท่าทางที่คาดหวังกับมัน

“ใช่แล้ว พวกเราตกตะลึงจริงๆ” กู่เสวี่ยกลืนน้ำลายของนาง พยักหน้าและตอบอย่างไม่รู้ตัว

ถังเทียนฉีกยิ้มจนไปถึงใบหู เขาเท้าสะเอวและเงยหน้าจนจมูกชี้ฟ้า จากนั้นก็หัวร่อออกมาเสียงดัง “ความรู้ของเจ้ายังด้อยนัก แต่ไม่นานเจ้าทั้งสองจะเข้าใจในบุรุษหนุ่มเทพผู้นี้อีกครั้ง!”

ภายในใจกู่เสวี่ยรู้สึกแปลกประหลาดอย่างยิ่ง

บุรุษหนุ่มผู้นี้เขาเสแสร้งเมื่อก่อนหน้านี้งั้นหรือ...

นางมิมีความสามารถพอที่จะหยิบยกบุรุษที่ได้ช่วยชีวิตนางไว้เมื่อก่อนหน้านี้กับบุรุษหนุ่มที่หัวร่อเสียงดังในปัจจุบันนี้เข้าด้วยกันได้เลย

แม้ว่าเขาจะช่วยเธอไว้ก่อนหน้านี้...

กู่เสวี่ยมิรู้ว่าจะอธิบายความรู้สึกของนางในตอนนี้ได้อย่างไร

ถังเทียนผู้ที่ได้รับคำชมมีความสุขอย่างยิ่ง เขามองซ้ายและขวาและเห็นเหล่าผู้คนบาดเจ็บรอบๆก็ทำให้เขารู้สึกว่ามันไม่มีทางให้เขาเดินเลยและเขาก็กล่าวเสียงดัง “ขออภัยด้วย ข้าจะไปพักแล้ว ข้าจะส่งพวกเจ้าออกไปจากทาง”

เริ่มแรกเขาก็คว้าเอานักสู้สองคนบนพื้นขึ้นมาและโยนพวกเขาออกไปด้านข้าง

ปึก ปึก!

นักสู้ทั้งสองผู้ที่กระแทกไปบนพื้นก็สลบไปทันที ถังเทียนรวดเร็วอย่างยิ่ง มือของเขาราวกับสายลม และผู้คนเห็นเพียงแค่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยร่างคนที่กำลังลอยไป และด้วยความรวดเร็วลานสนามก็สะอาดหมดจด

มู่เหลยลอบทึ่งใจ ช่างเป็นกำลังแขนที่แข็งแกร่ง!

เพียงแค่มองคราเดียวเขาบอกได้เลยว่าถังเทียนใช้เพียงกำลังแขนเขาล้วนๆขณะที่โยนผู้คนออกไป นักสู้ที่มีน้ำหนักมากมายทั้งหมดเมื่อมาอยู่ภายในมือเขาแล้วมันราวกับน้ำหนักน้อยนิด จากนั้นก็ถูกโยนออกไปอย่างง่ายดายไกลกว่า 78 จั้ง

มิใช่เพียงแค่มู่เหลยที่ได้เป็นพยาน แต่เหล่านักสู้ทั้งหมดที่ถูกโยนออกไปก็รู้ได้เช่นกัน มันราวกับพวกเขาถูกน้ำเย็นสาดมาบนหัวของพวกเขา ขณะที่พวกเขาไม่กล้าจะกระทำอะไรโดยที่ไม่คิด

นั่นมันจะต้องใช้กำลังที่มากอย่างยิ่ง!

บนดาวเฟยหลินภายใต้การควบคุมของวิญญาณนิล อย่างไรก็ตาม กำลังที่น่าทึ่งเช่นนี้โดยที่ยังมิได้กระตุ้นเปิดเส้นชีพจนโลหิต มันพบเห็นได้ยากนัก

ในที่สุดถังเทียนก็รู้สึกเหนื่อยล้าเล็กน้อย

หลังจากที่เขาหาว หมอกอันพร่ามัวก็พลันปรากฏขึ้นภายในดวงตาของเขา ช่างง่วงนอนนัก!

มองไปยังกู่เสวี่ยที่นั่งอยู่และบุรุษเหล็กมู่เหลยเขาก็โบกมือ “ข้าจะไปนอนก่อนแล้วนะ ช่างเหนื่อยเหลินเกิน!”

เมื่อกล่าวจบ เขาก็เลือกหาที่ว่างๆด้านข้างกองไฟและเหลือท่อนไม้อันหนึ่งจากนั้นก็เอียงตัวลงนอน

เพียงแค่สิบวินาทีต่อมา เขาก็ค่อยๆกรนออกมาราวกับคลื่นยักษ์และดังขึ้นเรื่อยๆ

กู่เสวี่ยตกตะลึง ท่าทางของนางแข็งค้างขณะที่นางจ้องมองไปยังถังเทียนผู้นอนหลับไปแล้ว

มันยังคงมีศัตรูอยู่ด้านนอก...ที่นี่มิปลอดภัย...มันสามารถเกิดอันตรายยามใดก็ได้

แต่...

ถังเทียนหลับราวกับหมู

หลังจากชั่วครู่ ท่าทางของกู่เสวี่ยก็สลายหายไปและนางก็พลันหัวร่อ

เขาช่างเป็นคนที่แปลกประหลาดจริงๆ!

นางตรวจสอบใบหน้าของถังเทียนอย่างระวัง ถังเทียนผู้ที่ซึ่งหลับลึกอยู่ราวกับทารกน้อย ปากของเขาเปิดออกมองดูงี่เง่ามาก และมุมปากของเขาก็มีน้ำลายไหลออกมาเป็นประกาย นางหมกมุ่นกับการเฝ้ามองเขาและปากของนางก็ค่อยๆยกโค้งขึ้น

เพียงชั่วครู่ภาพของถังเทียนที่พุ่งไปหานางที่ธารหิมะก็ปรากฏขึ้นภายในใจกู่เสวี่ย

ถังเทียนในเวลานั้นราวกับอสูรที่ดุร้าย

กู่เสวี่ยพบเห็นคนหนุ่มสาวผู้ที่มีพรสวรรค์มามากมาย แต่ถังเทียนช่างแตกต่างจากพวกเขา

มันคือความบริสุทธิ์สินะ?

มู่เหลยกระแอมไอเพื่อปลุกกู่เสวี่ย กู่เสวี่ยพลันสังเกตเห็นมู่เหลยที่หน้าซีดเผือดและนางก็หน้าซีดด้วยความตกใจ “ลุงมู่ ท่านเป็นเช่นไรบ้าง?”

มู่เหลยพลันหัวร่อออกมาเสียงดัง “คุณหนูโปรดใจเย็น เหล่ามู่มิได้ตายง่ายดายนัก!”

เพลิงสวรรค์มรกตบนร่างของเขากำลังกัดกินบาดแผลสีน้ำเงินที่เอวของเขาอย่างต่อเนื่อง หลังจากที่เพลิงสวรรค์มรกตกัดกินส่วนสุดท้ายหมด มู่เหลยก็พ่นลมหายใจออกมาและรู้สึกผ่อนคลายและนั่งลงบนพื้น เส้นชีพจรโลหิตสวรรค์มรกตภายในร่างของเขาสามารถที่จะชำระล้างพิษได้

“ในวันนี้มันต้องขอบคุณเขาจริงๆ!” มู่เหลยกล่าวเบาๆ “ข้ามิคาดเลยว่าเขาจะเต็มใจช่วยพวกเรา”

“ใช่แล้ว!” น้ำเสียงกู่เสวี่ยเต็มไปด้วยความรู้สึกจริงใจ

มู่เหลยมีสีหน้าหมองอยู่ชั่วครู่และพลันกล่าว “คุณหนูพักผ่อนเถอะขอรับ เขาจะเฝ้ายามคืนนี้เอง”

กู่เสวี่ยรู้สึกกังวลเล็กน้อย “แล้วคนพวกนั้นเล่า?”

นางชี้ไปยังนักสู้ผู้คุ้มกันที่อยู่มุมถนน พวกเขาต่างจ้องมองมายังที่พวกเขา แม้ว่าพวกเขาจะคิดเคลื่อนไหวแต่พวกเขาก็ไม่กล้า...

“พวกเขาต่างกลัวจนหัวหด มันไม่จำเป็นต้องกลัว!” น้ำเสียงมู่เหลยเต็มไปด้วยความดูแคลน แต่ก็นึกถึงตัวเขาถ้าสู้กับถังเทียน มันก็คงจะกลายเป็นเช่นนี้เหมือนกัน ใบหน้าชราของเขาพลันแดงและกล่าวขึ้น “ข้าจะเฝ้าไว้เอง คุณหนูพักผ่อนเถอะขอรับ”

มู่เหลยมีประสบการณ์มากมายภายในการต่อสู้ สายตาของเขามีประสิทธิภาพและไร้ข้อกังขา เพียงแค่มองเขาก็เห็นได้ว่านักสู้เหล่านั้นไม่มีความคิดที่จะโจมตี พวกเขาสูญเสียความกล้าไปหมดแล้ว

การกระทำของถังเทียนทำให้ขนลุกชัน แม้กระทั่งมู่เหลย ยามเมื่อเขานึกย้อนกลับไป เขาก็อดมิได้ที่จะต้องส่ายหัว โชคดีสำหรับเขานักที่มิได้พบเจอคู่ต่อสู้ที่น่ากลัวเช่นนี้

มู่เหลยสลัดความคิดที่เสียสมาธิภายในหัว ลงนั่งขัดสมาธิและเริ่มโคจรปราณแท้จริงของเขา

เขารู้ว่าการต่อสู้ที่รุนแรงยังคงกำลังมาถึง เขาจำเป็นต้องฟื้นฟูให้รวดเร็วเท่าที่จะเป็นไปได้

แม้ว่าถังเทียนจะแข็งแกร่งแต่หนึ่งหมัดสู้กับสี่มือ มันยังคงยากลำบากและ...

รากฐานของตระกูลกู่มันลึกล้ำเกินกว่าที่คนนอกจะเข้าใจได้

※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※

ถังเทียนน่าจะเป็นเพียงผู้เดียวที่หลับสนิทภายในเมืองภูเขาทมิฬแห่งนี้

เขาได้ใช้พลังของเขาทั้งหมดเพื่อปกป้องและต่อต้านเหล่าการโจมตีจากตระกูลกู่ จำนวนนักสู้ที่ถูกเขาจัดการไปมันจะต้องทำให้ตระกูลกู่หมดหนทางอย่างไม่คาดฝัน

ทำให้ตกตะลึงทั้งเมืองภูเขาทมิฬ!

เมืองภูเขาทมิฬอยู่ภายใต้การดูแลของตระกูลกู่ ซึ่งตระกูลกู่มันเป็นตระกูลขนาดใหญ่ภายในเมืองภูเขาทมิฬ และอิทธิพลมันยั้งรากลึกไปภายในเมืองภูเขาทมิฬซึ่งมิมีผู้ใดจะสั่นคลอนได้

และนี่มันเป็นเรื่องของราวในตระกูลกู่!

ตระกูลอื่นมิได้มีความคิดที่จะเข้าแทรกแซงแม้แต่นิด การปะทะภายในตระกูลกู่รุนแรงอย่างยิ่งและมิมีผู้ใดกล้าที่จะแทรกแซง

เรื่องเส้นชีพจรโลหิตรุ้งหิมะของกู่เสวี่ยแพร่กระจายไปทั่วเมืองภูเขาทมิฬแล้ว ทุกคนต่างรู้และตระกูลกู่จะไล่ล่านางเป็นแน่ ถ้าหากมีคนนอกที่กล้าจะสอดมือเข้ามายุ่งเกี่ยว พวกเขาจะต้องตายอย่างน่าอนาถ

ทุกคนสามารถคาดเดาได้เว่ากู่เสวี่ยได้มีผู้ช่วยอยู่ ในเวลานี้นางอาจจะต้องหาโอกาสที่จะกลับมา

เหล่าผู้คนระดับสุงของตระกูลกู่ได้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างรุนแรง ขณะที่เนื่องจากตระกูลกู่ของกู่เสวี่ยในครานี้ได้รับผลกระทบและประสบภัยพิบัติ

ควันลอยอ้อยอิงภายในที่ประชุมเหล่าผู้อาวุโส ผู้อาวุโสแต่ละคนต่างสูดควันนิ่งเงียบ

แสงตะวันยามเช้าส่องผ่านเข้ามาจากหน้าต่าง แต่มิสามารถส่องผ่านม่านหมอกหนาแน่นนี้ได้

ผู้ที่หน้าอยู่บนเก้าอี้ตัวแรกคือกู่อันสงซึ่งมีท่าทางมืดมน เขาเพิ่งจะได้เป็นผู้นำตระกูลกู่มาเมื่อสามวันเท่านั้นและกลับมีเรื่องราวต้องมาให้จัดการแล้ว กู่อู่ล้มเหลวในการลักพาตัว ความลับที่ว่ากู่เสวี่ยมีเส้นชีพจรโลหิตรุ้งหิมะต่างแพร่กระจายราวกับไฟลามทุ่ง

ผู้อาวุโสห้าก็มาถึงแล้ว

กู่อันสงดำรงตำแหน่งผู้นำตระกูลได้ก็เพราะมันมีผู้อาวุโสมากกว่าสามคนที่ได้สนับสนุนเขา แต่เรื่องเกี่ยวกับกู่เสวี่ยมิมีผู้อาวุโสคนใดที่จะสนับสนุนเลย

ถ้าเส้นชีพจรโลหิตของนางสามารถที่จะสืบทอดให้ลูกหลานมีเส้นชีพจรโลหิตรุ้งหิมะได้ ถ้างั้นเส้นชีพจรโลหิตของนางก็จะกลายเป็นเส้นชีพจรโลหิตอันดับหนึ่งของตระกูลกู่อย่างมิมีปัญหา

“มิว่ากู่เสวี่ยตระกูลสาขาท้ายที่สุดจะเลือกเช่นใด แต่สำหรับตระกูลกู่ของพวกเรา มันจะต้องห้ามเป้นการสูญเสีย” ผู้อาวุโสสูงสุดเปิดปากกล่าว “และไม่จำเป็นต้องสงสัยถึงความปลอดภัยของกู่เสวี่ยมันจะต้องไม่ทำให้ชื่อเสียงเสียหาย! เรื่องนี้มันเกี่ยวข้องกับชะตาตระกูลกู่ของพวกเราจากนี้เป็นต้นไป และด้วยเหตุนี้มันจะต้องใช้ทุกวิถีทาง”

กู่อันสงรู้ว่าที่ผู้อาวุโสพูดอยู่คือต้องการบอกให้เขาฟังว่า ตระกูลสาขาของกู่เสวี่ยที่ถูกทำลายมันเกี่ยวข้องกับเขาโดยตรง

โดยมิลังเลเขาก็กล่าว “ถูกต้องแล้ว! ตระกูลสาขาทั้งหมดมิอาจจะแซงหน้าเหนือตระกูลหลักไปได้”

ผู้อาวุโสตระกูลอื่นต่างเห็นด้วย

“ข้าได้ยินมาว่านางกำลังกลับมาที่บ้าน นางได้พบกับมือสังหารทมิฬฉีหยาลอบโจมตี! สวรรค์โปรดคุ้มครองตระกูลกู่ของข้า! เรื่องนี้มันไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน!” ผู้อาวุโสสามดวงตาปรากฏกลิ่นอายสังหาร “ดูเหมือนข้าจะต้องปลุกระดมผู้คน เฮอะ เมื่อใดกันที่ตระกูลกู่ของพวกเขากลายเป็นคนที่สามารถรังแกได้?”

“ถูกต้อง!” ผู้อาวุโสสี่กล่าว “พวกเราจะต้องตอบโต้”

ผู้อาวุโสสูงสุดได้ตัดสินใจ “นั่นจะไม่เกิดขึ้น!”

“มันเหมือนว่าการนำกู่เสวี่ยกลับมาโดยตรงที่ตระกูลกู่จะเป็นการดีกว่า มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับชะตาของตระกูลกู่ พวกเรามิสามารถเสี่ยงได้” กู่อันสงพลันกล่าวถาม “มีผู้ใดรู้ความเป็นมาของเขาบ้าง?”

ผู้อาวุโสทั้งหมดต่างมองหน้ากันเอง ดูเหมือนจะมิมีผู้ใดรู้สักคน

“ในเมื่อความเป็นมาของเขามิชัดเจน แล้วพวกเราจะให้บุคคลเช่นนั้นอยู่ข้างกู่เสวี่ยได้เช่นไร?” กู่อันสงถาม

เหตุผลของเขาช่างสวยหรู และด้วยความเข้าใจต่อเหล่าผู้อาวุโสของตระกูล เหล่าผู้อาวุโสทั้งหมดจากตระกูลจะต้องไม่ปล่อยให้เส้นชีพจรโลหิตของตระกูลอู่ตกไปอยู่ในมือของผู้คนอื่นเป็นแน่

ตามที่คาดไว้ เหล่าผู้อาวุโสทั้งหมดต่างเห็นด้วย

ผู้อาวุโสสูงสุดก็กล่าวขึ้น “ในเมื่อมันเป็นเช่นนี้ หลิงซู เจ้าไปจัดการ!”

“ขอรับ!” บุรุษหนุ่มท่าทางธรรมดาก็ลุกขึ้นและหันจากไป

ปากกู่อันสงเปิดเผยถึงรอยยิ้มมิอาจลบเลือนได้ ในเมื่อหลิงซูออกโรงแล้ว บุรุษหนุ่มผู้ลึกลับผู้นั้นจะต้องตายตกอย่างแน่นอน!

กู่เสวี่ยผู้ที่มิมีไพ่ในมือเหลือ ก็จะต้องมิมีหนทางกลับมาได้แน่

แม้ตะขาบมันจะตายแต่มันก็ไม่ได้สิ้นลาย ตระกูลกู่ของกู่เสวี่ยถูกทำลายโดยพวกเขา แต่มิได้หมายความว่าตระกูลของกู่เสวี่ยจะถูกทำลายล้างสิ้นแล้ว ตระกูลสาขามันยังมีผู้คนอยู่อีกมามาย และนอกเหนือจากภายในเมืองภูเขาทมิฬมันก็มิได้เกิดอะไรขึ้น

มีเพียงเวลาเท่านั้น เขาจะต้องไม่มอบเวลาให้กับกู่เสวี่ยเพื่อรวบรวมผู้คน

ตราบเท่าที่กู่เสวี่ยแต่งงานกับตระกูลสาขาใด สาขานั้นจะต้องถูกกวาดล้างออกไปอย่างสิ้นเชิง

เมื่อถึงเวลานั้น เขาจะใช้กู่เสวี่ยเป็นเพียงแค่เครื่องมือกำเนิดทายาทเท่านั้น

***********************************************************

ติ ชม รับข่าวสารได้ที่ แฟนเพจ ได้เลย และกดไลค์เพื่อเป็นกำลังใจด้วยครับ

0 0 โหวต
Article Rating
2 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด