ตอนที่ 133 – ความใจดีอันเลอะเลือน
ตอนที่ 133 – ความใจดีอันเลอะเลือน
เมืองภูเขาทมิฬมีความกว้างใหญ่กว่าเมืองเมฆาดาราอย่างมาก มีอีกอาคารสูงใหญ่ตั้งตระหง่านมากมายหนาแน่นราวกับป่าไผ่ ตามที่มู่เหลยได้บอกว่าเนื่องจากมันมีอสูรจิตวิญญาณดาราในพื้นที่มากมาย อาคารสูงทั้งหมดจะช่วยปกป้องอสูรจิตวิญญาณดาราได้ เหล่าทหารทั้งหมดต่างอยู่ในขั้นห้าอย่างต่ำ
เมื่อพูดเช่นนั้นก็หันไปมองดูถังเทียน
“ช่างน่าทึ่งนัก!” ถังเทียนอุทานขึ้นมา มิมีผู้ใดรู้เลยที่ว่าเขากำลังแสร้งกระทำ
มู่เหลยหดสายตาของเขากลับมา เขาเป็นเพียงมันมนุษย์จะอย่างไรมันก็ไม่ดีที่จะไปจ้องมองเขา เขาไม่ต้องการไปกระตุ้นถังเทียน ดังนั้นเขาจึงไม่ได้บอกกล่าวอันใดอีก เหล่าทหารทั้งหมดอย่างน้อยพวกเขาก็ต้องเปิดเส้นชีพจรโลหิตหนึ่งอย่างเป็นอย่างน้อย
ถังเทียนกลับคิดว่ามันน่าทึ่ง
อาคารสูงใหญ่หนาแน่นเต็มไปหมด แล้วมันจะต้องใช้ทหารมากมายเพียงใดกัน? ถ้าแต่ละคนอยู่ในขั้นห้าอย่างต่ำหรือเหนือกว่า ถ้างั้นมันก็คงจะปลอดภัยดีภายในเมืองภูเขาทมิฬสูงกว่ากลุ่มดาราอมตะ ถ้าหากตระกูลอวี๋จู่โจมถังเทียนผ่านอาคารสูงเหล่านี้ด้วยศรที่ยิงจากนักสู้ขั้นห้า ถังเทียนรู้เลยว่ามันจะมิอาจหลบเลี่ยงได้เลย
มันช่างทรงพลังนัก
นักสู้ที่แข็งแกร่งเช่นมู่เหลยดูแคลนเหล่าทหารธรรมดาพวกนี้ แต่ถังเทียนกลับมิได้คิดเช่นนั้น ทุกวัน เขาถูกตำหนิด่าว่าจากทหารอย่างมาก มันราวกับเขาเป็นมากกว่าทหารเกณฑ์ ภายในใจถังเทียน เหล่าทหารที่สามารถเป็นทหารใหม่ได้ต่างเป็นผู้เชี่ยวชาญ
กู่เสวี่ยผู้ที่กำลังหยอกเล่นกับหยาหยาพลันขมวดคิ้ว “ลุงมู่!”
นางเป็นคนฉลาดและมีไหวพริบ นางสามารถเข้าใจได้ว่ามู่เหลยมีความคิดต่อเหล่าพวกอ่อนแอเหมือนพวกรากหญ้าจึงรู้สึกอึดอัดใจ แต่สำหรับถังเทียนที่นางรู้สึกด้วยมันแตกต่างออกไป ถังเทียนได้ช่วยชีวิตนางเอาไว้
ถ้าเป็นผู้อื่นประสบสถานการณ์เช่นนี้ก็คงเพ่นหนีไปแล้ว แต่ถังเทียนกลับเลือกที่จะช่วยเหลือนางแม้ว่ามันจะเป็นสถานการณ์อันตรายก็ตาม
ถังเทียนช่างเป็นบุรุษหนุ่มที่ดีและมีเกียรติ
นางรู้สึกเต็มไปด้วยความชื่นชม แต่นางเกี่ยวข้องอะไรกับถังเทียนกัน? ถังเทียนได้ช่วยชีวิตเธอไว้หนึ่งครั้ง เขาไม่ได้มีความจำเป็นที่จะต้องช่วยเหลืออะไรนางเลย
มู่เหลยเห็นใบหน้าที่แดงและสายตาของคุณหนู เขาก็รู้สึกตกใจ
“เข้าเมืองกันเถอะ” มู่เหลยกล่าวอย่างรวดเร็ว
ทหารยามของเมืองเป็นคนรู้จักของมู่เหลยและคนอื่น แต่เมื่อพวกเขาเห็นมู่เหลยมาเพียงผู้เดียว สีหน้าของพวกเขาก็มีท่าทางประหลาด
มู่เหลยมีประสบการณ์มากมาย เมื่อยามที่เขาเห็นสีหน้าของทหารยาม ภายในใจเขาก็หล่นวูบ เขารู้อย่างแน่ชัดว่ามันจะต้องมีอะไรเกิดขึ้น
“คุ้มกันคุณหนู” มู่เหลยกล่าวเสียงตำ ทหารยามที่เหลือพลันมีสีหน้าเคร่งขรึมราวกับพวกเขาพบเห็นศัตรูตัวฉกาจ
กู่เสวี่ยก้มหัวลงอยู่ นางเพียงสนใจหยอกล้อเล่นกับหยาหยา ซึ่งนางสงบอย่างมาก
แต่ทหารมิได้หยุดยั้งเขา เขาก็เข้าไปในเมืองอย่างเรียบง่าย แต่ถังเทียนสังเกตถึงเงาภายในความมืด คิ้วของถังเทียนขมวดมุ่นเล็กน้อย เขาพลางกระซิบบอกกู่เสวี่ย “ข้าได้กลิ่นถึงลางร้าย”
กู่เหวี่ยพลันหยุดสิ่งที่นางกำลังทำอยู่และเงยหน้านางขึ้น นางหันไปยิ้มให้ถังเทียน “มันไม่อาจหลีกเลี่ยงอันตรายได้หรอก”
นางวางหยาหยาที่หน้ากลมป่องกลับไปบนไหล่ถังเทียนอย่างเบาๆและกล่าวอย่างจริงจัง “เจ้าทางที่ดีจากไปเสียเถอะ หาที่พักและพักผ่อน ถ้าเจ้าต้องการที่จะออกจากดาวดวงนี้ มันค่อนข้างลำบาก แต่เจ้าจะต้องหาหนทางได้ไม่นานแน่และมันจะต้องมีหนทาง ข้าขอให้เจ้าโชคดีและขอบคุณที่ช่วยชีวิตข้าเอาไว้”
ถังเทียนเอียงหัวมองอย่างจริงจังไปที่กู่เสวี่ย ภายในดวงตาสีน้ำตาลของเขาเปล่งประกายไปด้วยความจริงใจ
“เจ้ากำลังมีปัญหาใหญ่อยู่สินะ?” ถังเทียนพลันถาม
“ข้ากำลังกลับบ้าน มันจะมีปัญหาที่บ้านได้เยี่ยงไร?” กู่เสวี่ยกระพริบตาให้ถังเทียนด้วยท่าทางที่มีเสน่ห์
ถังเทียนมองไปที่กู่เสวี่ยชั่วครู่ก่อนที่จะเกาหัวของเขาพลางยิ้ม “ก็จริง มันจะมีปัญหาอะไรในเมื่อเจ้ากำลังกลับบ้าน? ถ้างั้นข้าขอตัวก่อนแล้วกัน”
กู่เสวี่ยยิ้มบางเบา สายลมยามค่ำคืนพัดกระโปรงยาวสีน้ำเงินของนางปลิวไสวจนเสียรูปทรง แต่นางก็ยังคงดูอ่อนโยนและงดงามอยู่
ถังเทียนโบกมือให้นางพลางกล่าวเสียงดัง “งั้นข้าไปแล้วนะ”
เขาก็หันหลังจากไปบนถนน
กู่เสวี่ยยกยิ้มดั่งเช่นปกติพลางกล่าวเบาๆ “ไปกันเถอะ”
※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※
เมื่อถังเทียนเดินจนไปถึงมุมหนึ่ง เขาก็หยุดลง
“หื้ม? เจ้าต้องการช่วยเหลือความทุกข์ของหญิงพรหมจารีอย่างงั้นหรือ?” ทหารลอยออกมา น้ำเสียงของเขาเต็มไปด้วยความเยาะเย้ย
“นางเป็นคนดีมาก” ถังเทียนตอบไม่ตรงประเด็น เขาเงยหน้ามองไปบนท้องฟ้าพลางพึมพำกับตัวเอง “มันเป็นเรื่องน่าเศร้าหากคนเช่นนางต้องมาตาย”
“เจ้าคิดว่าเจ้าเป็นใครกัน?” ทหารต่อว่า “เจ้าเป็นพ่อพระ? หรือว่าวีรบุรุษผู้หญิงใหญ่? ขอเถอะอย่าได้คิดแค่ว่าเจ้าไร้เทียมทานแล้วเพียงเพราะแค่ผ่านตำหนักสิบแปดรูปปั้นทองสัมฤทธิ์ได้”
“มันไม่ใช่เช่นนั้น” ถังเทียนส่ายหัว สีหน้าดูสงบ “แต่ท่านไม่คิดหรือว่ามันดูน่าเศร้าเกินไป?”
“มันเกี่ยวข้องอะไรกับข้ากัน? ข้าเป็นเพียงแค่ครูฝึกทหาร” ทหารไม่แยแส
ถังเทียนมองค้อน “แต่ข้าไม่ต้องการให้นางตาย”
“ต่อให้ข้าบอกเจ้าก็เถอะงั้นหรือ?” ทหารรู้สึกไม่พอใจ
“นอกจากนี้ ถ้าพวกเราช่วยเหลือพวกเขา พวกเราอาจจะได้พบเจอฉีหยาอีกครั้ง ข้าต้องการที่จะประลองกับเขาสักครั้ง”
ถังเทียนพูดเสร็จเขาก็ทิ้งทหารเอาไว้พลางหายไป มุ่งหน้าไปยังทิศทางที่กู่เสวี่ยและคนอื่นหายไป
หลังจากที่ทหารได้ยินเช่นนั้น เขาก็ตกตะลึง แม้ว่าทหารจะได้ยินเรื่องบ้าบอมาจากถังเทียน แต่มันไม่เคยมีที่น่าตกใจอย่างมากเท่าครั้งนี้มาก่อน
ฉีหยาแข็งแกร่งอย่างมาก จากที่ทหารได้คาดไว้ เขาน่ากลัวอย่างยิ่ง และเขาไม่ใช่ผู้ใดที่ถังเทียนจะรับมือไหว แต่ยามเมื่อได้ยินถังเทียนกล่าวว่าต้องการที่จะประลองกับฉีหยา มันมีกำลังใจสู้อย่างยิ่งใหญ่ ทหารถึงกับผงะ
เขารู้จักถังเทียนดีซึ่งสิ่งที่เจ้าหนุ่มผู้นี้กล่าวมาเป็นเรื่องจริงจัง
บัดซบ!
ทหารก่นด่า เจ้าหนุ่มผู้นี้มันบ้าไปแล้วหรือไงกัน?
เขาไม่มีโอกาสที่จะชนะเลย มันกลับมีโอกาสถึงเก้าส่วนที่เขาจะต้องตายในการต่อสู้แทน แล้วมันจะมีค่ายังไงกัน?
ภายในความมืด เงาเบื้องหน้าเขานี้มันยิ่งดื้อรั้นมากขึ้นกว่าเดิม
※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※※
ยามเมื่อเห็นกู่เสวี่ยมองลานสนามอันพุผัง ใจนางก็รู้สึกเศร้า นี่มันเป็นบ้านของนาง มันมีความทรงจำที่มีค่า สายตาของมู่เหลยกราดเกรี้ยวมากจนพอที่จะสังหารคนได้เลย เขาพลันจดจำได้ว่า ยามเมื่อเขาเข้าประตูเมืองมา สีหน้าท่าทางของทหารยามมันแปลกประหลาด
“เก็บของเถอะ” กู่เสวี่ยที่สงบลงพลางกล่าวเบาๆ “จัดการเก็บกวาดและให้ทุกคนได้พักผ่อน”
มู่เหลยพยักหน้าและเริ่มทำความสะอาดอย่างเงียบๆ
พวกเขาคิดว่าสถานการณ์มันจะต้องเลวร้าย แต่พวกเขาก็มิเคยคิดว่ามันจะเลวร้ายเช่นนี้ ฝ่ายตรงข้ามทำลายสถานที่แห่งนี้อย่างโจ่งแจ้ง มันก็เพียงพอแล้วที่จะเห็นว่าโหดร้ายเพียงใด
พวกเขาคาดการณ์เอาไว้ว่าเมื่อวันพรุ่งนี้มาถึงมันจะต้องมีการโจมตีเป็นแน่ พวกเขาจะต้องถูกคุกคามภายใต้ภูเขานี้ สำหรับฝ่ายตรงข้ามที่ทำลายถึงขนาดนี้ นั้นหมายความว่าพวกเขาจะต้องมีความมั่นใจในตัวพวกเขาอย่างแน่นอน
โดยมิทราบผ่านไปเพียงใด หิมะมันก็เริ่มที่จะตกแล้ว
อาปี่ลี่มองหาท่อนไม้จากซากปรักหักพังและนำมาก่อกองไฟ ทุกคนต่างก็มารวมตัวกันที่กองไฟ เป็นบรรยากาศที่ดูเยือกเย็น
กู่เสวี่ยกลับเป็นตรงกันข้ามนางสงบนิ่งและสุขุมยิ่ง นางมองไปบนท้องฟ้าและยื่นแขนของนางออกไปคว้าเกล็ดหิมะพลางพึมพำ“ข้าจำได้ว่าตอนข้ายังเยาว์ บิดาจะคอยปั้นรูปปั้นหิมะกับข้าเมื่อตอนหิมะตก”
ดวงตาของมู่เหลยแดงก่ำพลางกำหมัดของเขาแน่น
กู่เสวี่ยปิดตาลงและนั่งลง แม้กระทั่งตอนนี้นางก็ไม่กล้าที่จะมองราวกับว่านางอยู่ในสภาพที่เศร้าโศก มันราวกับนางมิได้นั่งบนพื้นดินโคลนแต่นางได้นั่งอยู่บนเก้าอี้หนังที่นุ่มสบาย
กระโปรงยาวสีน้ำเงินและขาวมันราวกับท้องฟ้าและเมฆหมอกอันกว้างใหญ่
นางพลันก้มตัวลงทันทีและเริ่มคำนับอย่างจริงจัง “ข้าขอบคุณทุกคนสำหรับที่นำพาข้ามาที่นี้”
“พวกเจ้าทุกคนทำส่วนของพวกเจ้าเสร็จเรียบร้อยแล้ว โปรดจากไปเสียเถอะ” กู่เสวี่ยยังคงยิ้มอย่างร่าเริง “ข้ามิคิดว่ามันจะกลายเป็นเลวร้ายเช่นนี้ ความพยายามในตอนนี้มันไร้ค่าและไร้ความหมาย ข้าเป็นส่วนหนึ่งของตระกูลกู่ พวกเขาคงไม่สังหารข้า พวกเจ้าทุกคนมีครอบครัวของตัวเอง อย่าได้เสี่ยงตายอย่างไร้ความหมายเลย”
ข่งเหงกันไปแล้ว มันเหมือนข่มเหงให้ตายทั้งเป็น
แม้กระทั่งอาปี่ลี่ผู้มีชีวิตชีวาก็ยังขบริมฝีปากอย่างแน่นและกำหมัดแน่นยิ่งจนเปลี่ยนเป็นซีดขาว ผู้คุ้มกันที่เหลือต่างดูเศร้าโศกและโกรธเกรี้ยว นัยน์ตาพวกเขาทั้งหมดต่างเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา
“ได้โปรดจากไปเถอะ” กู่เสวี่ยอ้อนวอน “ได้โปรดอย่าได้ทำให้ข้ารู้สึกผิดไปตลอดชีวิตเลย”
ทุกคนต่างก้มหน้าของพวกเขาและยังคงนิ่งเงียบ
“ลุงมู่” กู่เสวี่ยหันไปยังมู่เหลย
ใบหน้ามู่เหลยที่เต็มไปด้วยแผล เขาที่อารมณ์เย็นชาราวกับรูปปั้นก็กลับมาเป็นปกติ “พวกเจ้าทุกคนจากไปซะ เรื่องนี้ต้องจบลงแล้ว อย่าได้นำชีวิตมาเสี่ยงเช่นนี้เลย”
อาปี่ลี่กัดฟันแน่นกล่าวอย่างโมโห “ข้าไม่ไป!”
“ข้าก็เหมือนกัน!” ซานเฉินส่ายหัว
“ข้าไม่ไป!”
“ข้าก็เช่นกัน!”
……
หลังจากที่ได้ยินทั้งหมดกล่าวเช่นนี้ มู่เหลยก็โกรธเกรี้ยวพลันตะวาน “ไสหัวออกไป! ผู้ใดก็ตามที่กล้าจะอยู่เบื้องหน้าข้า ข้าจะสังหารพวกมันให้หมดด้วยตัวเอง!”
“หัวหน้า...” อาปี่ลี่ร่ำไห้
ขณะที่เขายังกล่าวไม่จบ จู่ๆก็มีเงาดำปรากฏขึ้นมาและเขาก็ชะงัก ฟุบ หน้าของเขาก็จมลงไป มู่เหลยเคลื่อนไหวราวกับลม ยามเมื่อเขาเคลื่อนไหวมันก็ถูกต้องแม่นยำเสมอ และทุกคนก็ต่างหน้าทิ่มหมดสติกันทุกคนในทันที
ยกเว้นเพียงซานเฉิน
“พาพวกเขาไป” มู่เหลยมองไปยังซานเฉิน “ซานเฉิน เจ้าเป็นคนที่สุขุมและเยือกเย็น ข้าฝากพวกเขากับเจ้าด้วย ถ้าพวกเขาตาย จะเกิดอะไรขึ้นกับครอบครัวพวกเขา? ข้าอยู่มาเพียงพอแล้ว แล้วพวกเขาเล่า? อย่าได้มองแต่ตัวเอง แต่เจ้าจะต้องคิดถึงครอบครัวพวกเขาด้วย ออกไปในคืนนี้ซะ จดจำไว้อย่าได้หันกลับมา”
ซานเฉินขบฟันแน่น เขามิกล้าที่จะโต้เถียง เขากลัวว่าถ้าเขาพูดออกไปน้ำตาจะไหลออกมา
ตึง ตึง ตึง
เขาโขกศีรษะให้มู่เหลยและกู่เสวี่ยสามคราและแบกพวกที่เหลือและเริ่มเดินออกไป
น้ำตาเขาทำให้ภาพมันพร่ามัว น้ำตาร่วงหล่นจากใบหน้าของเขาราวกับไข่มุก
เขาขบฟันแน่น
ซานเฉินก็หายไปในความมืด ภาระสุดท้ายของมู่เหลยก็ถูกยกออกจากอกแล้ว เขาหยิบเอาขวดสุราและส่งมันให้กู่เสวี่ย “คุณหนู ดื่มสักอึกสองอึกเถอะขอรับมันจะช่วยให้ร่างกายอุ่นขึ้น”
กู่เสวี่ยหยิบขวดมาและเปิดฝา ปากเล็กๆของนางก็ดื่มมันทันที ใบหน้าอันอ่อนโยนของนางแดงเป็นลูกแอปเปิ้ล สุรานี้มันแรงเกินไปสำหรับนาง กู่เสวี่ยอดมิได้ที่จะรู้สึกมึนงง
มู่เหลยหัวร่อออกมาเสียงดัง เขาคว้าเอาขวดสุราออกมาและเริ่มดื่มลงไป สุราไหลล้นออกจากปากของเขาและชุ่มโชกชุด เขากลับไม่ใส่ใจ เพียงแค่ยกคราเดียวเขาก็ดื่มมันหมดทั้งขวด
หิมะเริ่มตกหนักแล้ว
ทันใดนั้น มันก็เกิดเสียงฝีเท้ามากมาย
***********************************************************
ติ ชม รับข่าวสารได้ที่ แฟนเพจ ได้เลย และกดไลค์เพื่อเป็นกำลังใจด้วยครับ