AST บทที่ 168 - ผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้น จึงมีสิทธิ์ที่จะหยิ่งยโส
ฝากติดตามเพจด้วยนะครับ แฟนเพจ แจ้งเตือนก่อนใคร กดเลย
https://www.facebook.com/AncientStrengtheningTechnique
บทที่ 168 - ผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้น จึงมีสิทธิ์ที่จะหยิ่งยโส
จินซูถึงกับยืนอึ้งอยู่กับที่ สาวกนิกายกระบี่นภาต่างเงียบลงไปทันที แม้แต่ตัวของผู้พิทักษ์เองและบรรดาผู้ติดตามต่างก็รู้สึกตกใจ
จินซูพยายามรวบรวมจิตใจอีกครั้ง ในตอนนี้โลหิตได้ไหลท่วมหน้าของเขา หรือว่าเขาจะประมาทเกินไป? แล้วจะประลองต่อได้อย่างไรในเมื่ออาวุธของเขานั้นได้ปลิวกระเด็นออกไป? นี่คือความอัปยศที่เขาจะได้รับจริงๆหรือ?
"เจ้าจงไปหยิบกระบี่ของเจ้าคืนมา และลองพยายามอีกครั้ง แต่ข้าหวังว่าครั้งนี้เจ้าจะระมัดระวังตัวมากยิ่งขึ้น"ชิงสุ่ยกล่าวพร้อมทั้งเผยรอยยิ้มออกมา แม้ว่าสายตาของเขาจะบ่งบอกอย่างชัดเจน แต่คำพูดของเขามันทำให้ทุกคนรู้สึกแปลกไป
จินซูกัดฟันและเดินไปหยิบกระบี่ขึ้นมาเพื่อเตรียมพร้อมจู่โจมชิงสุ่ยอีกครั้ง ในครั้งนี้เขาจำเป็นต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ แต่เมื่อเขาเคลื่อนไหวได้เพียงกระบวนท่าเดียว
เพล้ง!!!!
แคร๊กกกกกก!!!
………………………………..
ชิงสุ่ยกระแทกกระบี่ของเขาจนหลุดมือออกไปอีกครั้ง และครั้งนี้แขนทั้งสองข้างของเขาก็เกิดอาการชา!!!
เบื้องล่างของเวที ทุกสายตาต่างจับจ้องมาที่ชิงสุ่ยด้วยความมึนงง ไม่เพียงแต่ชิงสุ่ยจะไม่ได้ใช้พลังปราณเทวะเซียนเทียนเลยแม้แต่ครั้งเดียว เขายังไม่ได้ขยับขาแม้แต่ก้าวเดียวจากจุดที่เขายืนอยู่ตั้งแต่แรก
"นี่ข้าฝันไปใช่ไหม? นี่เขาสามารถเอาชนะจินซูโดยที่แทบไม่ต้องทำอะไรเลย?"เสียงอุทานดังขึ้นปลุกเร้าอารมณ์ของผู้ชมที่กำลังยืนอึ้งอยู่ด้านล่าง
"บุรุษผู้นี้ทั้งหล่อและแข็งแกร่งมาก" หญิงสาวกล่าวเรียกด้วยความพิศวาส
ชิงสุ่ยจ้องมองจินซูที่ล้มลงอยู่กลางเวทีประลอง เขาทำท่าทางราวกับเป็นคนใบ้ ในขณะที่เขาส่ายหน้าพร้อมกับถอนหายใจ จิตใจของเขาตอนนี้ไม่เด็ดเดี่ยวมากพอ ที่จะกลับลุกขึ้นไปต่อสู้อีกครั้ง เขาอยากจะอยู่นิ่งๆแบบนี้ไปตลอดกาล
คนเบื้องล่างเต็มไปด้วยคนทุกรูปแบบ บางคนพยายามเชิญชวนผู้อื่นให้ขึ้นไปประลอง เพื่อมองดูใบหน้าเที่ยวปาย บางคนหวังประโยชน์จากผู้อื่นเพียงเพื่อเหยียบย่ำให้พวกเขาตกต่ำลง มันยิ่งทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกหงุดหงิดอย่างยิ่ง
"ตัวข้า ชิงสุ่ย ในวันนี้ ทุกคนสามารถท้าประลองกับข้าได้ และถ้าจะยอมรับคำประลองที่ทุกคนท้าเข้ามา อย่างไรก็ตาม หลังจากวันนี้เป็นต้นไป ข้าหวังว่าจะไม่มีใครมาก่อความรำคาญให้แก่ข้าอีก มิฉะนั้นถ้าหากข้าพลั้งมือสังหารพวกเจ้าไป ก็ขอให้อย่าโทษข้า"เสียงของเขาเต็มไปด้วยความไม่แยแสกับการต่อสู้เช่นนี้ แต่เขาก็ไม่มีทางเลือก เนื่องจากคนเบื้องล่างกำลังจ้องมองเขาราวเป็นตัวตลก
"ไอ้คนหยิ่งยโส"
"ไอ้คนป่าเถื่อน"
"ไอ้คนอวดดี"
"ถึงแม้เขาจะเต็มไปด้วยความเห็นแก่ตัว แต่พี่สาวคนนี้กลับชอบเขา………."
การสนทนาและความดูหมิ่นดูถูกเหยียดหยาม ยังคงถูกพล่ามออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน แต่ชิงสุ่ยก็ไม่เก็บมันมาใส่ใจและเพิกเฉยต่อพวกเขา!!!
"ไอ้นักเลงบ้านนอก เจ้ายังไม่เคยเห็นโลกที่แท้จริง เดี๋ยววันนี้ข้าจะแสดงให้เจ้ารู้ว่ายังมีผู้ที่แข็งแกร่งกว่าเจ้า"น้ำเสียงที่ดูโกรธแค้นดังขึ้นพร้อมกับชายคนนึงที่ปรากฏขึ้นบนเวทีประลอง
ชิงสุ่ยมองดูสายที่ขึ้นมาบนเวที ชายคนนี้เป็นชายร่างสูงรูปร่างกำยำแขนและขาของเขานั้นใหญ่กว่าปกติ มันทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกสงสัยว่าเหตุใดคนที่มีรูปร่างกำยำเช่นนี้ถึงได้มีแต่คนโง่
เมื่อมองดูรูปลักษณ์ชิงสุ่ยก็ยอมรับว่าชายคนนี้มีความแข็งแกร่งอย่างมาก แต่เขาก็ไม่ได้กล่าววาจาใดๆออกมา ชิงสุ่ยยืนรอจนกระทั่งฝ่ายตรงข้ามส่งสัญญาณว่าพร้อมต่อสู้แล้ว ชิงสุ่ยจึงค่อยๆพุ่งตัวเข้าหาชายคนนั้น ความเร็วของเขานั้นไม่ได้เร็วเกินไป ชั้นทองคำบางๆก่อตัวขึ้นบนมือขวาของเขา
ในช่วงเวลานี้ เขาไม่คาดคิดเลยว่าเขาจะบรรลุระดับที่สองของฝ่ามือพุทธองค์ทองคำเก้าสะท้าน ช่างน่าเสียดายจริงๆ ที่เขาจะต้องแสดงความสามารถคลองเขาในครั้งแรกต่อหน้าชายรูปร่างกำยำแต่สมองกลวงคนนี้
ชายคนนั้นถูกซัดปลิวออกจากสนามประลองในทันที ในขณะที่ชายคนนั้นโดนกระแทกด้วยฝ่ามือเสียงของกระดูกที่หักดังออกมาจนทุกคนได้ยิน
"เพียงแค่กระบวนท่าเดียวอีกแล้ว"คนที่อยู่เบื้องล่างของลานประลองร้องตะโกนออกมา
ผู้ชมมากมายเงียบลงราวกับเป็นคนใบ้ แม้แต่ผู้ฝึกตนเทวะเซียนเทียนเองก็ถึงกับสูญสิ้นสติเมื่อเห็นกระบวนท่าเพียงกระบวนท่าเดียว……...
"ข้าจะรออีกเพียงแค่ครึ่งก้านธูปเท่านั้น ถ้ายังคงไร้ซึ่งผู้ท้าทายข้า ข้าคงต้องขอตัวลา เงื่อนไขที่ข้าได้บอกไป หวังว่าพวกเจ้าจะยังจำได้ หลังจากวันนี้ข้าหวังว่าจะไม่มีผู้ใดกล้าก่อความรำคาญแก่ข้าอีก"ชิงสุ่ยใช้น้ำเสียงที่ต่ำในการพูดออกไปอย่างไม่แยแส มันยิ่งแสดงถึงความอวดดีให้ทุกคนรับรู้
"ข้าตัดสินใจแล้ว ข้าจะยอมเป็นภรรยาของเขา เขาเป็นชายที่ดูดีที่สุดเท่าที่ข้าเคยพบเจอ"หญิงสาวที่หลงใหลในตัวของชิงสุ่ย กำลังจ้องมองเขาที่ยืนอยู่ท่ามกลางสนามประลอง
"ตักน้ำใส่กะโหลกชะโงกดูเงาตัวเองเสียบ้าง เจ้าไม่เห็นหรือไงผู้มีหญิงสาวที่งดงามยืนเคียงข้างกับเขาอยู่?"หญิงสาวอีกคนกระซิบบอกน้ำเสียงเต็มไปด้วยความดูถูกเหยียดหยาม
บนลานประลองยังคงเงียบสงัด!!
"ข้าคงไม่อาจปล่อยให้ผู้พิทักษ์ของนิกายกระบี่นภามาค่อยเหยียดยามจิตวิญญาณของพวกเจ้ารวมทั้งเหยียดหยามผู้ที่พ่ายแพ้ไปแล้ว ข้าไม่ต้องการให้คนอื่นเห็นว่าพวกเราเป็นเพียงแค่คนขี้ขลาด!!!" เสียงตะโกนให้ดังขึ้น มาพร้อมกับชายหนุ่มรูปร่างสูงใหญ่และแข็งแรง ส่วมชุดคลุมสีม่วงเดินขึ้นไปทางลานประลอง
"นั้นมันท่านรองผู้อาวุโส ห่าวหนาน เขาคือผู้ที่สามารถเอาชนะรองผู้ผู้สอนระดับที่ 10 ในการประลองเมื่อปีที่แล้ว ความแข็งแกร่งของเขาคือปราณเทวะเซียนเทียนขั้นที่ 2"เสียงของผู้คนที่อยู่ด้านล่างลานประลองอุทานออกมา
"มันช่างน่าสนใจเสียจริงๆ"
"มาดูกันเถอะว่าหลังจากที่ไอ้เด็กหยิ่งยโสถูกตีจะเป็นเช่นไร ข้าว่าเขาคงไม่กล้าอวดดีอีกแล้ว ฮ่าๆๆ"
……………………………………………………..
ชิงสุ่ยไม่ได้ใส่ใจกับคำวิจารณ์เหล่านั้น เขายังคงมองชายที่ขึ้นมาพร้อมกับแท่งเหล็กหนา ซึ่งเขาเองก็ได้ยินว่าชายคนนี้คืออรองผู้อาวุโสลำดับที่ 10
แต่ก็คงไม่ต่างอะไรกับผู้อื่น โดยทั่วไปเขาจะไม่ค่อยสนใจคนที่อยู่ระดับต่ำกว่าระดับเทวะเซียนเทียนขั้นที่ 2 เพราะในตอนนี้เขาสามารถสังหารผู้ฝึกตนระดับเทวะเซียนเทียนขั้นที่ 4 ได้อย่างง่ายดาย นอกจากนี้ เขายังได้เรียนรู้เคล็ดวิชาฝ่ามือพุทธองค์ทองคำเก้าสะท้านซึ่งมันยิ่งช่วยให้พลังความแข็งแกร่งในร่างกายของเขาเพิ่มขึ้นเป็นทวีคูณ
ชิงสุ่ยมองดูชายสูง ร่างกายดูมีความทนทาน แต่ช่างน่าเสียดายที่คนเหล่านี้ยังคงโง่ไม่เปลี่ยนแปลง แต่อย่างน้อยพวกเขาก็มีจิตใจที่แน่วแน่ๆ ชิงสุ่ยจึงไม่ต้องการตอบโต้กลับด้วยความรุนแรงเกินไป เขาเพียงแต่ต้องการข่มขู่ให้รุ่นเยาว์คนอื่นอื่นได้รับรู้
"ยอดเยี่ยมจริงๆ เจ้าถือได้ว่าเป็นลูกผู้ชายอย่างแท้จริง"ชิงสุ่ยหัวเราะขณะที่เขาบอกกล่าวถึงชายสูงร่างกายกำยำ คำพูดของชิงสุ่ยกระตุ้นความโกรธเคืองแก้เข้าฝูงชน มันทำให้ทุกคนที่อยู่เบื้องล่างเริ่มสาปแช่งชิงสุ่ยในใจ
"เข้ามา!!!"ห่าวหนานจับกระบองเหล็กในลักษณะแนวนอน
ชิงสุ่ยสายหน้าและเพิ่มความเร็วถึงขีดสุดในทันที กระบี่เงินในมือเขา ก็เริ่มผสานรวมกับเคล็ดวิชาพยัคฆ์ขย้ำ กระแทกเข้ากับกระบองเหล็กที่อยู่ในมืออย่างรุนแรง
ทุกคนในที่แห่งนี้ต่างได้ยินเสียงร้องคำรามและเสียงโลหะที่กระทบกันดังสนั่นไปทั่ว
"เพียงแค่กระบวนท่าเดียวอีกแล้ว!!!"ในตอนนี้เสียงของใครสักคนเริ่มดังขึ้น ผู้คนบริเวณรอบรอบตัวเขามองขึ้นไปบนลานประลองด้วยความตกใจ
"เขาจัดการคู่ต่อสู้จนหมดสติ"
ในตอนนี้ ก่อนที่ชิงสุ่ยจะกล่าวคำใดๆออกมา ผู้คนที่อยู่เบื้องล่างลานประลอง รีบขึ้นมาพาคนที่สลบจากไป และทุกคนก็เริ่มตีตัวออกห่างลานประลองแห่งนี้
เหลือทิ้งไว้เพียงแค่ชิงสุ่ยกับเหวินเหรินอูซวง………………..
การต่อสู้ของชิงสุ่ย ถูกกระจายข่าวอย่างรวดเร็วจนทุกคนในนิกายกระบี่นภารอบรู้เรื่องนี้ แม้แต่ผู้นำนิกาย และเหล่าผู้อาวุโสก็ทราบเรื่องนี้เช่นกัน พวกเขาทั้งหมดต่างรู้สึกประหลาดใจและมีความสุข สำหรับผู้ที่บาดเจ็บ มันเป็นเพราะว่าพวกเขาไปท้าทายชิงสุ่ย มันจะทำให้เรื่องการบาดเจ็บเป็นผลที่หลีกเลี่ยงไม่ได้จากการต่อสู้
ชิงสุ่ยยังคงพักอยู่ที่หุบเขากระบี่นภากับเหวินเหริยอูซวงจนกระทั่งเที่ยงวัน ถึงแม้ว่าผู้คนรอบข้างตัวเขายังคงจ้องมองเขาราวกับตัวประหลาด แต่ชิงสุ่ยก็ไม่ได้เก็บมันมาใส่ใจ!!
ในบ่ายวันนั้น เหวินเหรินอูซวงก็เดินทางกลับไปยังหุบเขาจรู้ชิง ส่วนชิงสุ่ย เขาไม่ได้มีสัตว์บินได้ และตอนนี้อาจารย์เทพธิดาของเขาก็ไม่มีอยู่ที่แห่งนี้ ชิงสุ่ยจึงทำได้เพียงเดินเล่นไปรอบๆหุบเขากระบี่นภาเท่านั้น เขาเองก็ค่อนข้างรู้สึกเบื่อที่มีสายตาคอยจับจ้องมองเขาราวกับตัวประหลาด ชิงสุ่ยจึงเลือกที่จะเดินออกไปในที่ห่างไกลเพื่อชมทิวทัศน์ของยอดหุบเขา
ภูเขาที่ยิ่งใหญ่ย่อมมีความงดงามเป็นของตัวเอง ผู้คนที่จ้องมองต่างรับรู้ได้ถึงความสง่างาม พลังแห่งขุนเขาย่อมดูยิ่งใหญ่เสมอ มีข่าวลือมากมายบอกเล่าเกี่ยวกับเทือกเขาต่างๆนานาวัวมักจะเป็นที่ซ่อนตัวของสุดยอดจอมยุทธซึ่งพวกเขามักจะซ่อนตัวอยู่ในหุบเขาที่สูงชัน ซึ่งเปรียบดังหุบเขาแห่งสรวงสวรรค์
หุบเขากระบี่นภา เป็นหุบเขาที่มีขนาดใหญ่ ซึ่งนิกายกระบี่นภา ครอบครองสถานที่แห่งนี้แค่เพียงส่วนเล็กๆเท่านั้น ดังนั้นยังมียอดเขาที่โลกลางยังไม่ได้ถูกค้นพบ แต่มันก็ยังไม่เป็นประโยชน์ใดๆสำหรับเขาในตอนนี้
ชิงสุ่ยยังคงปล่อยให้จินตนาการของเขาพุ่งพล่านออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน สถานที่ที่เขามาถึงนั้นมีความหนาวเย็นมากเกินไป ชิงสุ่ยจึงตัดสินใจที่จะกลับ ทันใดนั้นหูของเขาก็ได้ยินเสียงเล็กๆ แม้ว่าบรรยากาศโดยรอบยังเงียบสงัด แต่ชิงสุ่ยก็ได้ยินเสียงนี้อย่างชัดเจน
เสียงที่เขาได้ยินเป็นเสียงของหญิงสาว และเป็นเสียงครวญครางเหมือนเธอกำลังเล่นสนุกสนานกับชายคนหนึ่ง!!!
ชิงสุ่ยรู้สึกช่วยไม่ได้ แต่เขาเองก็อยากรู้ว่าใครกล้ามาทำอะไรกันที่นี่ ในตอนนี้พวกเขาควรจะอยู่ในนิกาย เหตุใดพวกเขาถึงมาทำในที่แห่งนี้