ตอนที่ 121 ปราณปฐพี
ณ บ้านพักของหลิ่งซู ฉางหยางยังนั่งอยู่บนเตียงนอนคนเดียว เขานึกได้ว่ายังมีไข่สัตว์อสูรแปลกประหลาดอยู่ และก็ยังไม่รู้ว่ามันเผ่าพันธุ์อะไรกันแน่ ดังนั้นเวลานี้จึงเหมาะสำหรับการตรวจสอบมัน
“วูบบ”
ไข่สัตว์อสูรขนาดไม่ใหญ่มากหล่นลงมือของเขาอย่างแผ่วเบา ภายในใจครุ่นคิดถึงความเป็นได้ว่าทำไมมันถึงสามารถอยู่ผ่านกาลเวลามาได้ยาวขนาดนี้ จนสุดท้ายเขาก็ตัดสินใจลองอัดพลังลมปราณเข้าไปเพื่อทดสอบบางอย่าง
หลังจากที่ใช้พลังลมปราณไปจนหมดก็ไม่มีทีท่าว่ามันจะฟักของมาให้เห็นเลย มีแต่เพียงลวดลายสีฟ้าที่เพิ่มขึ้นเล็กน้อยเพียงเท่านั้น
อย่างไรก็ตามเขามั่นใจแล้วว่าสัตว์อสูรที่อยู่ในไข่ใบนี้ มันจะต้องเป็นตัวอันตรายอย่างแน่นอน ถึงขนาดกินพลังลมปราณผู้ฝึกวรยุทธชั้นปราณบรรจบเข้าไป ยังไม่มีแม้แต่จะเปลี่ยนแปลงเลย จนแล้วจนรอดเขาก็ได้ตัดใจเกี่ยวเรื่องมันไปก่อน และเก็บมันไว้ในแหวนมิติเช่นเดิม
“ทำไมพวกนางถึงไม่กลับมานะ”
ฉางหยางเอ่ยขึ้นด้วยความสงสัย เขาไม่เข้าใจเลยว่าหลางหลู่เออร์และหลิ่งซูหายไปไหน หรือว่าพวกนางจะอยู่ค้างคืนบ้านพักของหลางหลู่เออร์แล้ว
“เฮ้อ.. เอาเถอะ”
เขาได้แต่ถอนหายใจยาว แต่อย่างไรตอนนี้เขาต้องพักฟื้นพลังลมปราณก่อน ซึ่งในวันรุ่งขึ้นเขาจะต้องไปพบเจ้าสำนัก และก็อยากรู้ด้วยนางจะเป็นคนอย่างไรถึงได้มีสมบัติระดับสูงขนาดนั้นอยู่กับตัวมากมาย
กาลเวลาได้ล่วงเลยมาถึงยามรุ่งสาง ฉางหยางรีบตื่นตั้งแต่เช้าออกจากบ้านพักมุ่งหน้าไปทางภูเขาด้านทิศเหนือทันที ภายในใจครุ่นคิดถึงเรื่องที่นางจะให้เขาทำเพื่อแลกกับผลึกนภา
แต่เมื่อเดินมาถึงสีหน้าของเขาย่อมกลายเป็นมึนงงอยู่บ้าง เพราะข้างหน้าของเขาเป็นเพียงป่ารกทึบธรรมดาเท่านั้น และบริเวณโดยรอบก็ถูกปกคลุมไปด้วยไอน้ำจำนวนมาก คิ้วของเขาเริ่มขมวดหากันแน่น
ซึ่งเขาจำได้ว่าผู้อาวุโสเซียงบอกว่าจะสามารถสังเกตเห็นบางอย่างผิดปกติได้ แต่นี่ทำไมถึงกลายเป็นป่ารกทึบไร้หนทางให้ก้าวเดินต่อไป
ทว่าขณะนั้นเองเขาก็เอะใจขึ้นมาได้ ดวงตาสีทองเพ่งมองเข้าไปภายในป่ารกทึบอยู่นาน ก็ไม่พบอะไรผิดปกติ จนกระทั่งฉางหยางตัดสิ้นใจเดินเข้าไปใกล้ๆ แล้วเริ่มโคจรพลังลมปราณภายในร่างให้รวมอยู่ที่มือ
ภายในเวลาชั่วอึดใจ เปลวเพลิงสีทองลุกติดขึ้นมาอย่างโชติช่วง และจากนั้นเขาก็ค่อยๆ ยื่นมือเข้าไปหมอกไอน้ำที่ปกคลุมทางเข้าป่า พริบตานั้นเองหมอกไอน้ำก็เริ่มกระจายตัวออกอย่างช้าๆ จนเกิดเป็นช่องว่างพอเหมาะสำหรับเดินเข้าไปพอดี
ฉางหยางรีบเดินเข้าไปทันที เพียงแค่ก้าวแรกที่เขาเดินเข้ามา สีหน้าอันเรียบนิ่งกลับกลายเป็นตกตะลึงอย่างมากล้น
เนื่องจากข้างหน้าของเขาเป็นสวนดอกไม้กว้างไกลหลายร้อยตารางเมตร กลิ่นหอมของมันตลบอบอวลไปทั่วบริเวณ ตรงกลางสวนมีบ้านพักค่อนข้างหรูหราอยู่หลังหนึ่ง
เขากวาดสายตาไปรอบๆ ก็ไม่พบอะไรเลยแม้แต่น้อย จึงทำให้เขาต้องตัดสินใจเดินตามทางตัดผ่านสวนดอกไม้ไป เพื่อตรวจสอบดูบ้านพักหลังนั้นให้แน่ใจ
สักพักฉางหยางก็ได้เดินมาถึงบ้านพัก เขารีบกระจายสัมผัสเข้าไปตรวจข้างในทันที ทว่าสัมผัสของเขามันกลับถูกปิดกั้นโดยบางอย่างเอาไว้ จึงไม่สามารถรู้ได้ว่าข้างในมีเจ้าสำนักอยู่หรือไม่
“ท่านเจ้าสำนัก ข้ามาตามคำขอของผู้อาวุโสเซียงขอรับ” ฉางหยางเอ่ยถามขึ้น
หลังจากยืนรออยู่นานก็ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา แต่ว่าก่อนที่ฉางหยางจะก้าวเดินไปตรงประตู
“แอ๊ดดด”
เสียงประตูถูกเปิดออกมาอย่างช้าๆ ฉางหยางรีบเดินเข้ามาภายในห้องด้วยความสงสัย เขายิ่งอยากจะรู้นักว่าผู้ที่อ้างว่าเป็นเจ้าสำนักแห่งนี้จะมีวรยุทธสูงส่งขนาดไหน แม้เหล่าผู้อาวุโสเซียงจะมีระดับการบ่มเพาะปราณผันผวนขั้นกลางถึงขั้นสูง แต่เจ้าสำนักก็น่าจะมีระดับบ่มเพาะปราณก่อเกิดแน่นอน
“คารวะท่านเจ้าสำนัก ข้าน้อยมาตามคำชี้แนะของผู้อาวุโสเซียง”
เขารีบผสานมือกล่าวออกไปก่อนจะได้ทันมองเข้าไปข้างในบ้านพัก เสียงฝีเท้าเดินเข้ามาหาฉางหยางเรื่อยๆ ดวงตาสีทองแทบไม่กล้าเงยหน้าขึ้นมอง ด้วยที่ว่าเขาไม่รู้ว่านางเป็นคนอย่างไร แถมหากจะมีสมบัติระดับสูงมากมายขนาดนี้ ก็ย่อมต้องเป็นผู้ฝึกวรยุทธระดับสูงด้วยเช่นกัน
ระหว่างนั้นเองใบหน้าแลดูสดใสน่ารักก้มมองฉางหยางจากด้านใต้ ท่าทางที่นอบน้อมของเขาหายไปในบัดดล เมื่อเห็นหนูน้อยอายุประมาณเก้าถึงสิบปีก้มมองเขาอยู่
“เอ๊ะ!”
ฉางหยางรีบเงยหน้าขึ้นกวาดสายตาไปรอบๆห้องพัก เพื่อหาเจ้าสำนักดาราพิชิต แต่ว่าภายในห้องพักกลับมีแค่หนูน้อยผู้นี้เท่านั้น แววตาเริ่มเปล่งประกายสงสัยขึ้นมาก่อนจะเอ่ยถามออกไป
“หนูน้อย เจ้าเห็นหญิงวัยชราหรือหญิงวัยกลางคนที่อยู่บ้านพักหลังนี้ไหม”
ได้ยินเช่นนั้นคิ้วของนางก็กระตุกขึ้นพร้อมเงยหน้ามองฉางหยาง “หนูน้อย? เจ้าเรียกผู้ใดว่าหนูน้อยกัน”
“จะเป็นผู้ใดไปได้นอกเสียจากหนูน้อยผู้น่ารักอย่างเจ้าไง” ฉางหยางกล่าวด้วยรอยยิ้ม มือของเขายื่นไปลูบศีรษะนางอย่างแผ่วเบา
“เอามือออกไปศีรษะของข้า” เสียงอันไม่พอใจถูกเค้นขึ้นมา ใบหน้าเริ่มนิ่งสงบเยือกเย็นจ้องมองไปยังฉางหยาง
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า ก็ได้ๆ หากเจ้าไม่พอใจข้าจะตอบแทนเจ้าด้วยของเล่นชิ้นนี้ละกัน”
ฉางหยางหยิบเอาหน้ากากตอนที่ซื้อมาจากงานชุมนุมยื่นให้อย่างว่าง่าย ถึงแม้อารมณ์ของนางจะดูเย็นชาไปบ้าง แต่ก็ยังแลดูน่ารักและซุกซนเหมือนเยว่ฉานยิ่งนัก
ทว่าสิ่งไม่คาดคิดก็ขึ้นภายในพริบตา เท้าน้อยๆของนางตวัดเตะเข้ากลางหน้าอกฉางหยางอย่างรุนแรง
“ตูม”
พลังดุจดั่งขุนเขานับพันลูก กระแทกร่างของฉางหยางปลิวกระเด็นออกจากประตูห้องพัก ลอยไปถึงสองร้อยเมตร ใบหน้าที่เคยยิ้มสดใสกลับกลายเป็นตื่นตะลึงด้วยความไม่อยากเชื่อเหตุการณ์นี้
เพราะมันจะเป็นไปได้อย่างไรที่พลังกายของหนูน้อยนั้นจะมากกว่าเขา และทำไมเขาไม่สามารถรับรู้เลยว่านางจะเป็นผู้ฝึกวรยุทธได้
“สัมผัสปราณบรรจบไม่สามารถรับรู้ถึงระดับบ่มเพาะของนางได้เลยรึ”
ฉางหยางรีบพยุ่งตัวขึ้น มือข้างหนึ่งกุมไปที่บริเวณหน้าอกของตนเอง ถึงเขาจะโดดลอบโจมตีอย่างไม่ทันตั้งตัว แต่เวลาเพียงเสี้ยววิเขาก็สามารถโคจรพลังลมปราณเสริมพลังกายให้ขึ้นไปอยู่ปราณผันผวนขึ้นสูงได้
“เจ้าเป็นผู้ใดกันแน่”
เสียงตะโกนถามดังขึ้นมา สัมผัสเริ่มกระจายออกไปตรวจนางอีกครั้ง ก็ยังคงเป็นเช่นเดิมสัมผัสของเขาไม่สามารถรับรู้ได้ว่านางมีระดับการบ่มเพะอยู่ชั้นใดกันแน่ และหากจะกล่าวได้ว่านางอาจจะเป็นผู้ฝึกวรุยทธที่เข้าสู่ปราณธรรมชาติแล้วก็เป็นได้
“ข้าเป็นผู้ใดไม่สำคัญ แต่เจ้าดูหมิ่นข้าและนี่คือบทเรียนสำหรับเจ้า”
ร่างอันบอบบางลอยออกจากตัวบ้านขึ้นสู่ท้องฟ้าสูงเรื่อยๆ ฉางหยางเบิกตากว้างพร้อมกับเผลอพึมพำออกมาอย่างลืมตัว
“นั้นมันเคล็ดวิชาเหาะได้”เขามั่นใจแล้วนางต้องเป็นผู้ฝึกวรยุทธที่เข้าสู่ปราณธรรมชาติแน่ และเมื่อครู่นี้นางคงออมมือให้เขาแน่นอน แต่แล้วทำไมอายุของนางกลับน้อยกว่าเขาอีก นี่มันมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นได้ด้วยรึ
ขณะที่ฉางหยางกำลังตื่นตระหนก พลังลมปราณชั้นปราณปฐพีแผ่กระจายกดดันเขาอย่างหนักหน่วง ออร่าสีดำทมิฬทะลักออกมาจนแทบจะปกคลุมไปทั่วท้องฟ้า
เม็ดเหงื่อแห่งรางร้ายไหลย้อยหยดลงบนพื้น ร่างกายก็เริ่มขยับลำบากมากขึ้น ฉางหยางรีบโคจรพลังลมปราณภายในร่างเพื่อลดทอนแรงกดดันที่กดทับเขาลงมาให้ได้ แต่ว่าก็สามารถลดได้เพียงบางส่วนเท่านั้น
“นี่คือบทเรียนสำหรับเจ้า”
“บัวทมิฬ”
ออร่าสีดำทมิฬถูกรวบรวมจนกลายเป็นดอกบัวสีดำขนาดใหญ่ภายในอึดใจ พุ่งตรงมาทางฉางหยางอย่างรวดเร็ว
“ครืนนนน”
ทางด้านฉางหยางสั่นสะท้านไปทั่ว เพราะดอกบัวสีดำขนาดใหญ่เกินกว่าสิบห้าเมตรอันนี้ มันจะเป็นไปได้อย่างไรที่เขาจะสามารถต่อกรกับมันได้
และจากที่ดูแล้วนางคงไม่ปล่อยเขาไปง่ายๆเป็นแน่ ซึ่งเขาจำเป็นจะต้องทิ้งไพ่ใบสุดท้ายเร็วขนาดนี้เลยรึ เคล็ดวิชาอสูรโลกันตร์อันใหม่มันจะสามารถทำลายดอกบัวสีดำนั้นได้หรือไม่
ความเหี้ยมหาญภายในใจถูกปลุกขึ้นอย่างชายชาตรี ความสนใจในการใช้ผ่านพลังสีเหลืองจากชุดจอมยุทธหายไปจากใจของเขาแล้ว กลับถูกแทนที่ด้วยเคล็ดวิชาอันใหม่นี้......