LSG-บทที่ 82 เทพกระบี่ไร้สรรพสิ่ง (ตอนที่ 2) (อ่านฟรีวันที่13กันยา)
LSG บทที่ 82
แปลไทยโดย : SwordGod
เทพกระบี่ไร้สรรพสิ่ง (ตอนที่ 2)
(Limitless Sword Lord (Part 1) ตอนที่แล้วชื่อ ลอร์ดกระบี่ ก็นึกว่ามาที่สำนักนี้จะโกหกชื่ออีก พอมาตอนนี้ดันตั้ง Limitless Sword God(Part 2) เอาเป็นว่ายึดตามที่แปลมานาน เทพกระบี่ไร้สรรพสิ่ง
นายหญิงดาราม่วง!
ทุกคนตาค้าง
ที่ปรึกษาหลายคนวิ่งกูกันเข้าไปช่วย นายหญิงดาราม่วง ออกมา
แต่ใบหน้า นายหญิงดาราม่วง ขาวซีดเซียวมาก นัยน์ตาของนาง ซึ่งครั้งหนึ่งเคยมีชีวิตแวววาว ดุคล้ายดั่งคนตาย ไร้ชีวิตในตัวนาง ปราณวิญญาณ ของนางเริ่มอ่อนแรงลงกระอักเลือดออกมาคำโต
กลิ่นควันสีดำดำ พวงพุ่งออกมาจากหน้าอกของนาง
"พิษปีศาจ!"
ที่ปรึกษาเหลือบมองไปที่บาดแผลรู้ได้ทันที!
"อะไรกัน?"
ผู้คนตกตะลึง
นักเรียน จ้องมองเขม็งไปที่ นายหญิงดาราม่วง ต่างใจเต้นระรัวอกสั่นขวัญหาย
นายหญิงดาราม่วง เปรียบดั่งเสาหลักที่ค้ำจุนอยู่ครั้งที่นางยังมีชีวิต ถึงแม้ว่าพวกเขาจะหวาดกลัว แต่ก็ยังเชื่อในตัว นายหยิงดาราม่วง ว่านางสามารถจัดการกับปัญหานี้ได้ แต่ทว่า ... ขนาด นายหญิงดาราม่วงยังไม่สามารถต้านทานการโจมตีที่ซัดเข้ามานี้ได้ แล้วพวกเขาจะเหลือความหวังใดได้อีก ?
หมอกโลหิตทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆปิดผนึกสำนักวิชาทั้งหมด วิสัยทัศน์ของทุกคนไม่มีใครเลย ที่สามารถมองทะลุเข้าไปในหมอกโลหิตที่ปกคลุมสำนักวิชาได้
แต่ว่า
มีเสียงฝีเท้าหนึ่งดำมืดและหนักหน่วงดังออกมาแทน นอกจากนี้มันยังสามารถได้ยินจากทั่วทุกทิศทาง! การย่ำเท้าที่หนักหน่วงนี้!
มีคนเข้ามาใกล้
จะมีใครได้ยังไง?
ตาของพวกเขากระพริบไปมาสาดสายตาไปทั่วแต่ไม่สามารถมองเจาะทะลุหมอกเข้าไปได้
ความหวาดกลัวของการที่ได้ยินเสียงแต่ไม่อาจมองเห็นได้นี่ช่างทรมารจิตใจมนุษย์ยิ่งนักมันทำให้ปิดบังและกดดันการตัดสินใจที่ลังเลได้
"อึก?
อนิจจา นักเรียนคนหนึ่งไม่อาจทนแรงกดดันนี้ได้อีกต่อไป มันฟุ้งซ่านฟูมฟายและกรีดร้องอย่างโหยหวนวิ่งหน้าตั้งออกไปนอกสำนักวิชา
"กลับมา!"
ที่ปรึกษาคนหนึ่งตะโกน
แต่นักเรียนคนนั้นไม่ยอมฟังเสียง แล้วขณะนี้ มันกระชากความกล้าเฮือกสุดท้ายของมันเป็นไงเป็นกันวิ่งออกไปยังขอบเขตสำนักวิชา เหมือนหัวรถจักรความเร็วสูงที่ไม่อาจชลอตัว
หลังจากนั้นเพียงอึดใจ!
พลัน ปรากฏกรงเล็บอันแหลมคมคล้ายดั่งมีดโกนฉีกร่างของมันออกเป็นชิ้นๆเลือดพุ่งกระฉูดคล้ายกับตาน้ำพุโลหิต
นักเรียนคนนั้น สำลัก ก้อนเลือดคำใหญ่ออกมานัยน์ตาที่เคยแวววาวเลือนรางหายไปพร้อมกับเส้นใยชีวิตสุดท้าย เพียงพริบตาเดียวร่างทั้งร่างของมันหายไปพร้อมกับลมปราณอย่างไร้ร่องรอย
ทุกคนขวัญผวา นี่มันอะไรกัน?
หมาป่าลำตัวขนาดมหึมาเยื้องย่างออกมาจากหมอกโลหิต
มันมี นัยน์ตาสีแดงฉาน เปล่งแสงวิ้ง ร่างกายอันมโหราฬ ขนดั่งเหล็กหล้าคมเขี้ยวแหลมคมและมีแตเขาสัตว์อยู่บนหัว
กรงเล็บหนึ่งที่ยังปักคาไปยังร่างนักเรียนคนนั้นมันใช้เคี้ยวง้าวอันแหลมคมของมันกัดกระชากร่างทั้งร่างขาดเป็นสองท่อนเคี้ยวกรุบๆต่อหน้าธารสายตาของผู้คนอย่างไม่สะทกสพท้าน
อวัยวะเครื่องในของนักเรียนคนนั้นหลุดรุ่ยออกมาจากการกระชากคมเคี้ยวของมัน ถูกฉีกออกเป็นชิ้น ๆ และมีอสูรกินซากศพผอมกะหร่องสวมชุดรบหนังโผล่ออกมาทันทีทั่วทุกทิศทาง
อสูรกินศพมีลักษณะเตี้ยผอมแห้งหัวล้าน ดวงตาของพวกมันเป็นสีม่วงลึกโบ๋ว เขี้ยวของมันสีดำแกมเขียวและแหลมงอกออกมาจากทั้งสองข้าง เป็นอสูรชั้นต่ำสุด
เมื่อได้เป็นพยานได้เห็นอสูรกินศพปรากฏขึ้นทำให้ทุกคนหวาดผวาแทบจะฉี่ราด นักเรียนหญิงบางคนหน้าซีดแทบไม่มีเลือดไหลเวียน
ไม่มีผู้ใดอีกแล้วที่จะคิดวิ่งออกไปจากจัสตุรัสทุกคนประจักษ์ได้แล้วว่า ได้ถูกล้อมแล้ว!
นักเรียนตัวแทนแต่ละนิกายรีบวิ่งไปเกาะกลุ่มกันกับยอดฝีมือทีมีการบ่มเพาะสูงๆเริ่มร้องของความช่วยเหลือจากคนภายนอก
ในเวลานี้กลุ่มของเงาแปลกๆพุ่งทะยานขึ้นสูงจากหมอกโลหิตภายนอกจัสตุรัส กลิ่นเหม็นอย่างรุนแรงเป็นสาเหตุหนึ่งที่พวกเขาไม่สามารถออกไปได้
เหล่าผู้คนมองไปยังเงาสีดำที่เรียงกันเป็นตับเห็นนักบ่มเพาะปีศาจที่ยืนเรียงรายผิวสีดำแดงสวมเกราะที่ย้อมไปด้วยสีดำในมือของพวกมันถือใบมีดและหอกที่ทำมาจากกระดูก
มีคนผู้หนึ่งสวมชุดคลุมสีแดงเลือดเดินจ้ำเข้ามายืนอยู่ด้านข้างของคนที่แต่ชุดหรูหรา
มันเลือนลางมากไม่สามารถระบุแน่ชัดได้เลยว่าภายใต้ชุดคลุมสีแดงเลือดนี้เป็นชายหรือหญิงดวงตาสีแดงก่ำเปล่งแสงวิ้งแวววาวออกมาเป็นสิ่งเดียวที่มองเห็นได้ภายใต้ชุดคลุมนี้
บุคคลๆนี้ดูเหมือนว่าจะเป็นผู้นำของนักบ่มเพาะปีศาจ แต่ทว่ามันก็ไม่ได้ดึงดูดความสนใจมากนัก เมื่อเทียบกับคนที่ยืนอยู่ข้างๆมันเรียกความสนใจที่มากเกินกว่า
"ท่านลอร์ด!"
นักเรียนสองสามคนเรียกออกมา
ใช่แล้วคนที่ยืนอยู่ข้างคนที่สวมเสื้อคลุมสีแดงคือ ลอร์ด แห่งเมืองธาตุไฟ โจวจื่อปู้!
"เป็นไปไม่ได้? ทำไม ท่านลอร์ด ถึงอยู่กับนักบ่มเพาะปีศาจละ? "
"ท่านลอร์ด นี่ท่านกำลังทำอะไร?"
"ท่านสมคบคิดกับนักบ่มเพาะปีศาจหรอ?"
ไม่ใช่แค่นักเรียนเท่านั้น แม้แต่ตัวแทนสำนักต่างๆก็ตั้งคำถามเช่นเดียวกัน
"แค่ก แค่ก แค่ก"
ขระนั้นเอง นายหญิงดาราม่วง ก็ฟื้นลุกขึ้นยืน
นางกลืนเม็ดยาสีทองเงา และดูเหมือนว่านางจะฟื้นตัวขึ้นมาได้เล็กน้อยขณะที่พิษปีศาจลดลงไปได้มากแล้ว
เสียงของนางอ่อนแอเมื่อตอบ ลอร์ดโจวจื่อปู้ "สำนักวิชาดาราม่วง ตั้งอยู่ภายในเมืองธาตุไฟ สำหรับปีศาจพวกนี้ที่แอบเข้ามาได้โดยไร้ซุ่มเสียง พวกมันต้องได้รับการช่วยเหลือจากใครบางคนเป็นแน่ ถ้าไม่อย่างนั้นแล้วมีรึ ที่มันจะลอบโจมตีแบบนี้ได้ ไม่ใช่เพียงแค่นั้น แต่ต้องเป็นบุคคลที่มีอำนาจสูงด้วย! ข้าเคยสงสัยว่าอาจจะเป็นผู้คุ้มกันประตูเมือง แต่นึกไม่ถึงเลยว่า จะเป็นท่าน ลอร์ดโจวจื่อปู้! "
ลอร์ดโจวจื่อปู้ ยังคงนิ่งเงียบไม่ทุกข์ร้อนใดๆ
"ผู้รับใช้นักบ่มเพาะปีศาจ? หากท่านจะคิดอย่างนั้นก็ตามแต่ท่าน ข้าไม่สนใจหรอก "
"ท่านลอร์ด! ทำไมท่านถึงทำอย่างนี้? "
นักเรียนที่เคยชื่นชม ท่านลอร์ด ร้องไห้ออกมา
แววตาแห่งความสงสัยสเดตกลงไปที่ตัวเขา
ท่านลอร์ด นิ่งเงียบอยู่ครู่หนึ่ง พร้อมด้วยเคราของเขาที่เต้นระบำไปกับสายลมแห่งชัยชนะ ดวงของเขาจมลงไปไปภายในใจสุดท้ายก้ตกลงไปที่นายหญิงดาราม่วง
"นายหยิงดาราม่วง ท่านยังจำลูกสาวของข้าอายุห้าขวบ โจวหมิ่น ได้มั้ย?"
เสียงของเขาเปลี่ยนไปมันแหบแห้งขณะที่เขาถาม
"หมิ่นเอ่อ?" นัยน์ของนายหญิงดาราม่วงเปล่งแสงจมลงไปกับความคิดที่ซับซ้อนอยู่ช่วงเวลาหนึ่งก่อนที่จะฟื้นกลับมาอย่างรวดเร็ว และด้วยริมฝีปากที่แห้งกรังเหมือนเปลือกต้นไม้เอ่ยมาว่า "ข้าจะลืมได้อย่างไร?"
"ทำไมท่านถึงไม่ช่วยนาง?" ลอร์อดเมืองถามด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง
"ตอนที่นางอยู่ในช่วงที่ไม่มีวันย้อนกลับมานั้น"
"ศาสตร์ดาราม่วงของท่าน สามารถนำคนตายกลับมาได้ ด้วยอำนาจนั้น ท่านช่วยนางมาไม่ได้หรอ? "
"อาการเจ็บป่วยของนางนั้นพิเศษอย่างมาก "ศาสตร์ดาราม่วง " ไม่สามารถรักษานางได้! หากว่าข้าฝืนมันจะทำให้นางตายเร็วขึ้น! " นายหญิงดาราม่วงตะโกนด้วยพลังทั้งหมดของนาง
แต่เห็นได้ชัดว่า โจวจื่อปู้ ไม่เชื่อ
"โอ้ ข้าคิดว่าท่านไม่อาจมีชีวิตอยู่ได้โดยที่ไม่มีมันมากกว่า ไม่เป็นไร.....ถึงยังไงซ่ะ ท่านก็ไม่เต็มใจที่จะช่วยข้าอยู่แล้วนิ ข้าเลยเชิญนักบ่มเพาะปีศาจ สหายของข้ามาช่วยยังไงล่ะ! พวกเขาให้สัญญาว่าเมือ่ไหร่ก้ตามที่ข้าให้ในสิ่งที่พวกเขาต้องการโดยการแอบเข้ามาในสำนักดาราม่วงเพื่อจับคนพวกนี้ได้พวกเขาจะนำ หมิ่นเอ๋อ กลับมา! "
โจวจื่อปู้ พูดออกมาขณะพับชายแขนเสื้อของเขา
นายหญิงดาราม่วงฟังแล้วโมโหเป็นอย่างมาก "โจวจื่อปู้ ท่านมันตาบอดไปแล้วหรอ? ท่านเชื่อเจ้าพวกปีศาจพวกนี้ได้ยังไง? พวกมันกำลังหรอกใช้ท่าน! เมื่อไหร่ท่านจะรู้สึกตัวซ่ะที! "
"พอได้แล้ว!"
ยังไม่ทันที่นายหญิงดาราม่วงพูดจบประโยค โจวจื่อปู้ ก็หัเราะขึ้นมาด้วยใบหน้าที่แข็งกร้าว "หมิ่นเอ๋อ เป็นลูกสาวคนเดียวของข้า ข้าจะยอมปล่อยให้นางตายง่ายๆได้ยังไง ข้าต้องชุบชีวิตนาง! ท่านอย่ามาขวางทางข้า! "
"ท่าน…"
นายหญิงดาราม่วงจ้องมองอย่างสับสน หลังจากผ่านไปนานนางก็ถอนหายใจ สัมผัสได้ชัดเจนว่านางรู้สึกผิดหวัง
สำหรับลูกสาวของเขาแล้ว เขาได้แต่คิดลงโทษตัวเองมาหลายศตวรรษ
มันยากที่จะเกลียด โจวจื่อปู้ แต่ไม่ว่ายังไงก็ตามสิ่งที่เกิดขึ้นนี้ยืนยันแล้วว่าเขาอยู่ในฐาณะศัตรูของนางแล้ว
เหมือนจะมีบางคนกำลังจะพูดอะไรออกมาสักคำ ชายที่ใส่ชุดคลุมสีแดงดูเหมือนจะรำคาญ
มันยกมือขึ้นมาเผยให้เห็นเกล็ด สีแดงบนมือ
"ฆ่าพวกมันทั้งหมด แล้วจับตัว มู่เฟิง แห่ง สกุลมู่! เร็วเข้าเวลาของเรามีไม่มาก! "
โฮกกกกกก!!!
เสียงกรีดร้องแสบแก้วหูพุ่งผ่านไป
ตามคำพูดของชายที่สวมเสื้อคลุมสีแดงเลือดปีศาจหลายตัวก็โผล่ออกมามาจากหมอกสีแดงดูเหมือนจะหิวโหยพวกมันรีบวิ่งไปที่จัสตุรัสสำนักวิชาจับจ้องโดยเฉพาะคนที่อ่อนแอ
มู่เฟิง รู้สึกตกใจและสับสนมองชายที่สวมเสื้อคลุมสีแดงเลือดและถามว่า "ทำไมถึงอยากจะจับตัวข้า?"
"เพราะว่าพวกเราต้องการวิชา ศิลาวิญญาณ!"
คนที่สวมเสื้อคลุมสีแดงเลือด เปล่งเสียงหัวเราะทะลุออกมา
ทันทีที่สมาชิกของกลุ่ม สกุลมู่ ได้ยินพวกเขาก็รีบไปหา มู่เฟิง และล้อมรอบเขาไว้แม้แต่น้ำก็ยังไหลผ่านได้ยาก
ถ้าอย่างนั้น นักบ่มเพาะปีศาจ พวกนี้ได้วางแผนยืมมือคน เพื่อจะเอา วิชาศิลาวิญญาณ แม้ว่ากลุ่มนักบ่มเพาะปีศาจจะมีพลังมากแต่กลุ่มสกุลมู่ก็ยังไม่ได้เพลี่ยงพล้ำ หากพวกมันยังจะยืนกรานที่จะสู้กับ สกุลมู่ เพื่อเอา วิชาศิลาวิญญาณ พวกมันต้องเผชิญหน้ากับการต่อต้านอย่างหนักหน่วง มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลยที่จะเอาชนะ สกุลมู่ มันเป็นไปได้สูงมากที่จะดึงดูดความสนใจจากแคว้นเพื่อนบ้านอีกหลายแคว้นและโดนทำลายล้าง นี้มีความเสี่ยงมากเกินไปที่จะเอา
แต่ทว่าตอนนี้มันแตกต่างกัน สกุลมู่ ส่ว มู่เฟิง เข้าร่วมงานชุมนุนแข็งขันแลกเปลี่ยนเชิงวิชายุทธที่สำนักวิชาดาราม่วงในปีนี้ จึงทำให้นักบ่มเพาะปราณปีศาจใช้โอกาสวางแผนโจมตีนี้ขึ้นมา
มีนักบ่มเพาะปีศาจมากมาย อย่างน้อยๆพันกว่าคน คนที่มีพลังบ่มเพาะน้อยที่สุดคือขั้นที่ 10 ผลิวิญญาณ แล้วคนที่มีพลังบ่มเพาะมากที่สุดอยู่ที่ขั้นที่ 10 แก่นแท้วิญญาณ ไม่มีใครรู้ว่าชายเสื้อคลุมสีแดงเลือดมีพลังมากแค่ไหน แต่ไม่มีใครกล้าคิดว่าอ่อนแอ
"พวกเราถูกล้อม!"
"อย่างเพิ่งกังวลไป ยังไงพวกเราก็มีมากกว่าพวกมัน ถ้าพวกเราร่วมมือกันพวกเราต้องจัดการมันได้! "
"แต่ ...แต่พวกมันโหดเหี้ยมมากฆ่าไม่เว้น ละ ...ละแล้วเราจะสู้กับมันได้ยังไง? "
"ข้ายังไม่อยากตาย ได้โปรดปล่อยข้าไปเถอะจะได้มั้ย?"
นักเรียนยืนอยู่ในความหวาดกลัวแม้ใบหน้าของที่ปรึกษาบางส่วนได้กลายเป็นซีดขาวแล้ว
ร้อยกว่าปีมาแล้ว ที่สำนักวิชาดาราม่วง ไม่เคยประสบปัญหาวุ่นวายขนาดนี้มาก่อน นักเรียนทุกคนได้บ่มเพาะปลูกฝังอบ่างสงบมาโดยตลอด พวกเขาจะเคยเห็นสงครามนองเลือดแบบนี้ได้อย่างไร? พวกเขาเคยจัดการกับปีศาจซะที่ไหน?
กลุ่มนักบ่มเพาะปราณปีศาจเริ่มไล่ล่าสังหารพวกเขาทุกคนตามทางเข้าออก ทุกคนเริ่มใช้วิชาสุดยอดของตัวเองเพื่อต้านทาน นักเรียนไม่มีความแข็งแกร่งพอที่จะสู้กับนักบ่มเพาะปรารปีศาจได้
"ไม่ต้องสนใจเรื่องอื่น ข้าจะจับตัว มู่เฟิง รีดเค้น วิชาศิลาวิญญาณ จากปากของมันเอง หากว่ามันไม่ยอม ข้าจะจับมันตรึงวิญญาณแล้วใช้มันแลกเปลี่ยน วิชาศิลาวิญญาณ จาก สกุลมู่ เอง! "
คนที่อยู่ในเสื้อคลุมสีแดงเลือดตะโกนดังขึ้น
นักบ่มเพาะปราณปีศาจ หยุดลงทันทีแล้วเบนเป้าหมายตรงไปด้านหน้าของมันที่ สกุลมู่
ใบหน้าของ มู่เฟิง กลับกลายเป็นสีขาวซีดและสายตาของเขาเต็มไปด้วยความกลัว
"ปกป้องนายน้อยด้วยชีวิตของเรา!"
สกุลมู่ ตะโกน
"ไม่ต้องกลัว นายน้อยเฟิง! ตระกูลหลิวของพวกเราอยู่ที่นี่จะช่วยท่านเอง! "
"ข้า ฉิงหงเหมิน จะไม่ยอมให้ นักบ่มเพาะปราณปีศาจ หน้าไหนทำสำเร็จ!"
"ทุกคนร่วมมือกัน!"
แต่ละฝ่ายกรีดร้องตะโกนก้าวไปข้างหน้าอย่างกล้าหาญ
ยังมีคนที่โล่งใจและกำลังวางแผนที่จะออกไป
พวกเขารวบรวมพรรคพวกของตัวเองและยืนอยู่ข้างๆพยายามหลีกเลี่ยงการต่อสู้ครั้งนี้ให้มากที่สุด เมื่อมีโอกาสเกิดขึ้นพวกเขาจะใช้ประโยชน์จากความสับสนวุ่นวายและหนีรอดไปพร้อมกับชีวิตของพวกเขา
ในความเป็นจริงส่วนใหญ่วางแผนที่จะทำเช่นนั้น
สำหรับตอนนี้ตระกูลซูยังไม่ได้ตัดสินใจ
พวกเขาน่าจะยอมเสียสละทุกอย่างและสู้จนตัวตาย?
หรือพวกเขาจะล้มเลิกทิ้ง มู่เฟิง แล้วหาโอกาสหลบหนี?
แปลไทยโดย : SwordGod