AST บทที่ 165 - ราชันย์สงครามแห่งนิกายกระบี่นภา กงซุน ซานเชียน
ฝากติดตามเพจด้วยนะครับ แฟนเพจ แจ้งเตือนก่อนใคร กดเลย
https://www.facebook.com/AncientStrengtheningTechnique
บทที่ 165 - ราชันย์สงครามแห่งนิกายกระบี่นภา กงซุน ซานเชียน
เมื่อเสียงที่นุ่มลึกดังขึ้น ชายหรือหญิงที่อยู่ในช่วงอายุวัยที่แตกต่างกันทั้ง 8 คนก็เดินตรงเข้ามาในห้อง แต่พวกเขาทั้งหมดล้วนปลดปล่อยพลัง อย่างน้อยก็ระดับเทวะเซียนเทียน
ผู้นำกลุ่มเป็นชายหนุ่มร่างสูง หล่อเหลา รูปร่างสมส่วน รอยยิ้มของเขาดุจรอยยิ้มเทวดาที่แสนศักดิ์สิทธิ์ และดึงดูดใจ แม้ว่าเส้นผมบังเขาจะเปลี่ยนเป็นสีเทา แต่มันกลับเพิ่มความมีเสน่ห์ในตัวของเขา อีกทั้งมันยังบ่งบอกถึงเรื่องราวว่าอย่างน้อยเขาก็ได้เผชิญมาหลากหลายสิ่งมากมาย ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นลักษณะที่น่าเกรงขาม
ในมวลหมู่ของพวกเขามีสตรีเป็นแค่คนเดียว แล้วเธอก็ยืนห่างออกจากทุกคนทั้งหมด ด้วยเหตุประการนี้ชิงสุ่ยจึงสังเกตเห็นเธอในทันที คุณลักษณะทั้งหมดของเธอนั้นเต็มไปด้วยเสน่ห์อันงดงาม ใบหน้าเล็ก รูปร่างที่บอกตัวตนอย่างชัดเจน หน้าอกที่อวบอิ่มและงดงาม เอวเรียวโค้ง ดวงตาคู่สวยที่กระพรืบพัดดุจขนนกหงส์เพลิง แม้กระทั่งวาจาที่สละสลวยและอากัปกิริยาที่ดูมีมารยาท
เธอคนนี้จะต้องเป็นน้าสาม จรู้ชิง อย่างแน่นอน อย่างไรก็ตาม เธอจะต้องดูแลร่างกายของตัวเองเป็นอย่างดีมากเพราะใบหน้าของเธอนั้นยังคงคล้ายหญิงสาวเพิ่งแต่งงานวัยไม่เกิน 30 ปี แม้เธอจะไม่สูงมากนักแต่ก็ถือได้ว่าน่ารักน่าชังอย่างยิ่ง รูปร่างที่ลงตัวสมบูรณ์แบบ มันยิ่งทำให้เธอดูนิ่มนวลและอ่อนโยน
ส่วนคนที่เหลือเป็นยอดปรมาจารย์ที่ล้วนแล้วอายุมากกว่าเธอทั้งนั้น แต่ยกเว้นคนๆนึงที่ยังคงดูอ่อนเยาว์ นอกเหนือจากอีเย่เจี้ยนเก้อ เธอคงเปรียบดังน้องเล็กสุดในหมู่คนทั้งหมด
"เจ้าจะต้องเป็นชิงสุ่ยอย่างแน่นอน จากข้อมูลทั้งหมดที่ข้าได้รับดูเหมือนว่าเจ้าจะเป็นคนรักษาพี่ใหญ่ของเราให้หายจากการบาดเจ็บ พวกเราทั้งหมดต่างรู้สึกเป็นเกียรติและขอขอบคุณเจ้ามาก และถ้าเป็นคนที่คิดอย่างไรก็ทำอย่างนั้น หวังว่าหลังจากนี้เจ้าจะเข้าใจ" ชายผู้มีผมสีขาวซึ่งอยู่ด้านหน้าสดกล่าวพร้อมรอยยิ้ม
"ชิงสุ่ย นี่คือท่านลุงสอง กงซุน ซานเชียน ผู้ซึ่งดำรงตำแหน่งเป็นราชันย์สงครามแห่งนิกายกระบี่นภา"อีเย่เจี้ยนเก้อยิ้มขนาดแนะนำเขาให้ชิงสุ่ยรับรู้
"ข้าขอแสดงความเคารพต่อองค์ราชัน อันที่จริง ข้าอยากบอกว่าตัวข้านั้นชอบคนที่พูดตรงไปตรงมามากกว่าคนหน้าซื่อใจคด ข้าเกลียดคำดูถูกลับหลัง"ชิงสุ่ยโค้งคำนับและกล่าวออกมา
"ฮ่าๆๆ ดี ข้าชอบคนอย่างเจ้า ข้าได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับเจ้ามาจากพี่ใหญ่ของข้า ถ้าหากที่นี่ไม่ได้เต็มไปด้วยคนแปลกหน้า ข้าคงจะขอให้เจ้าเรียกข้าว่าท่านลุง"ชายที่สง่างามยิ้มและกล่าวด้วยความเต็มใจ
"นี่คือน้าสาม จรู้ชิง"
"และนี่คือท่านลุงสี่…………………"
……………………………………..………………………………………………………………………………………………………………………………
เมื่อจรู้ชิงแนะนำตัว ชิงสุ่ยก็ได้ยินเสียงที่หัวเราะออกมาจากหญิงสาวแสนสวยคนนี้ เสียงของเธอเต็มไปด้วยความไพเราะแม้ว่าจะซุกซ่อนความรู้สึกเยือกเย็นอยู่ภายใน เขารู้สึกว่ารอยยิ้มที่เธอมีนั้นช่างงดงาม นอกจากนั้นเธอยังมีดวงตาที่สดใสและฟันที่ขาวยามเมื่อเธอยิ้ม มันยิ่งเสริมสร้างทำให้เธอดูมีเสน่ห์มากยิ่งขึ้น
"จรู้ชิง เราจะยกให้อูซวงอยู่ใต้การดูแลของเจ้า เป็นข่าวดีจริงๆที่เจ้าได้มีศิษย์เพิ่มอีก 1 คน และนางยังอยู่ในสถานะผู้พิทักษ์อีกด้วย"ไป๋ลี่จิงเว่ยหัวเราะเสียงดัง
"อูซวงเจ้าช่างงดงามยิ่งนัก ข้าจรู้ชิง ดูเหมือนจะได้รับลูกศิษย์ที่ช่างอัศจรรย์ยิ่ง"จรู้ชิงจับมืออูซวงอย่างอบอุ่นพร้อมกล่าววาจาออกมา
"สาวกคนนี้ขอแสดงความนับถือท่านอาจารย์"อูซวงโค้งคำนับให้กับจรู้ชิง
"ฮ่าๆๆ จำเป็นต้องทำตามมารยาททั่วไปก็ได้ เพราะยิ่งไปกว่านั้นเจ้าเข้าร่วมนิกายเราหลังจากบรรลุเทวะเซียนเทียนอีกด้วย ในฐานะที่ข้าเป็นอาจารย์ ข้าก็มีของขวัญอันยิ่งใหญ่ที่จะมอบให้กับเจ้า"จรู้ชิงยิ้มและกล่าวออกมา
"เจี้ยนเก้อ สาวกรุ่นเยาว์ที่เจ้านำมา ช่างน่าสนใจเรื่องจริง หลังจากนี้อีก 2 ปี ท่านลุงสอง อาจจะไม่เข้มงวดกับเขาอีกก็เป็นได้"จรู้ชิงมองไปยังอีเย่เจี้ยนเกอและกล่าวอย่างชาญฉลาด
"อะแฮ่ม จรู้ชิง เจ้ากำลังพูดเรื่องอันใดกัน"ชายที่สง่างามกล่าวอย่างงุ่มง่าม มีข่าวลือมากมายว่าหญิงสาวจากยอดเขาจรู้ชิงได้รับความสนใจอย่างรับรับจากราชันที่แข็งแกร่งคนนี้
มันจึงทำให้จรู้ชิงมักจะล้อเลียนเขาด้วยเรื่องนี้
เมื่อมือค่ำมาถึง ทุกคนเขาแยกออกไปเข้าสู่นิกายของตัวเอง แต่ละคนกลับสู่ยอดเขาของนิกาย
"อูซวง หมั่นฝึกฝน และอย่าหลงคารมผู้อื่น มิฉะนั้น ข้าคงจะต้องไปแย่งชิงเจ้ากลับมาและสั่งสอนมันให้รู้ซึ้งถึงเภทภัย"ชิงสุ่ยกล่าวยังไม่เต็มใจก่อนที่เขาจะจากไป
"เจ้ากำลังพูดเรื่องอะไร? เข้าใจล่ะ เจ้าก็เช่นกัน"เหวินเหรินอูซวงกล่าวอย่างตื่นเต้น
"ชิงสุ่ยไปกันเถอะ อาจารย์จะพาเจ้ากลับไปยังหุบเขาหมอกเมฆา"อีเย่เจี้ยนเก้อกล่าวกับชิงสุ่ยขณะที่เดินออกจากห้องโถง
"ชิงสุ่ย ขึ้นมา"
ด้วยความสงสัย ชิงสุ่ยจึงหันไปดูก็พบกับนกกระเรียนหิมะซึ่งอีเย่เจี้ยนเก้ออยู่ข้างบนแล้วบอกให้เขาขึ้นมา
"หุบเขาหมอกเมฆาแตกต่างจากศูนย์ฯทั้งหมด มันเป็นยอดเขาสูงที่ถูกล้อมรอบด้วยหน้าผาลึก หากไร้ซึ่งสัตว์อสูรที่บินเหาะเหินเดินอากาศได้รู้ยังไม่บรรลุระดับปราณนักบุญพิโรธ การที่จะขึ้นไปสู่ยอดเขานี้ได้คงเป็นเพียงเรื่องแห่งความฝัน"อีเย่เจี้ยนเก้อจับหลังของนกกระเรียนขณะที่อธิบายให้ชิงสุ่ยฟัง
ชิงสุ่ยและอีเย่เจี้ยนเก้อยืนอยู่เคียงข้างกันบนหลังของกระเรียนหิมะขาว รอบตัวของพวกเขาถูกล้อมรอบไปด้วยเมฆและหมอก เมื่อมองไปบนท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดาวฤกษ์มากมายและไกลสุดลูกหูลูกตาราวกับไร้จุดสิ้นสุด มันทำให้รู้สึกว่า มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่อ่อนแอยิ่งนัก
มันอาจเป็นเพราะนี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้นั่งสัตว์บินได้มันถึงทำให้ชิงสุ่ยรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างยิ่ง แผ่นหลังของกระเรียนหิมะขาวกว้างมากจนเกือบเทียบเท่ากับลานกว้างขนาดย่อมๆ ขนสีขาวขุ่นที่ดูนิ่มนวลแต่กลับแข็งแรงดุจเหล็กกล้า
ในที่สุดพวกเขาก็เดินทางมาถึงหุบเขาหมอกเมฆา สิ่งแรกที่ชิงสุ่ยมองเห็นคือยอดเขาแห่งนี้ถูกปกคลุมไปด้วยเมฆและหมอกที่หนากว่าสถานที่แห่งอื่นอย่างชัดเจน
"ท่านอาจารย์ ท่านอาศัยอยู่บนหุบเขาหมอกเมฆาแห่งนี้คนเดียวมาตลอดหลายปีจริงๆหรือ?"ชิงสุ่ยมองดูหุบเขาที่เงียบสงบและรู้สึกถึงความรกร้าง เขาสามารถมองเห็นชั้นของวัชพืชที่หนาแน่นได้จากระยะไกล แม้กระทั่งเสียงร้องอันก้องกังวาลของสัตว์ต่างๆ
"แน่นอน แต่หลังจากนี้มันจะกลายเป็น 2 คน"อีเย่เจี้ยนเก้อยิ้มและพูดขณะที่เธอลงจากนกกระเรียนหิมะขาว
หลังจากที่อีเย่เจี้ยนเก้อตบตัวของนกกระเรียนหิมะขาวเบาๆ มันก็ส่งเสียงร้องออกมาก่อนที่จะบินจากไป
"ไปกันเถอะ ข้าจะพาเจ้าไปดูรอบรอบหุบเขาหมอกเมฆา อย่างที่ข้าเคยบอก ข้าไม่เคยรับสิทธิ์คนใดมาตั้งแต่แรกดังนั้นตัวข้าจึงมีเพียงแค่นกกระเรียนหิมะขาว และหุบเขาหมอกเมฆาที่ข้าได้รับ และข้าก็ไม่ได้คาดหวังว่าจะพาเจ้ามาที่แห่งนี้เพื่ออยู่โดดเดี่ยวและเดียวดาย ดูเหมือนว่าข้ายังคงเป็นคนที่เห็นแก่ตัว"อีเย่เจี้ยนเก้อมองไปที่ชิงสุ่ยก่อนที่จะกล่าวออกมาอย่างนิ่มนวล
ตลอดเส้นทางเดินบนบันไดภายในนิกายย่อยหมอกเมฆาเต็มไปด้วยแรงลมกรรโชกจนถึงจุดสูงสุดของยอดเขาแห่งนี้ มันยิ่งเพิ่มกลิ่นอายแห่งความศักดิ์สิทธิ์และความน่าเกรงขามให้กับสถานที่แห่งนี้
ทั้งสองคนยังเดินตามบันไดและพูดคุยเรื่องราวและเล็กๆน้อยๆ นอกจากหมอกที่ปกคลุม ทั้งสองคนยังดูราวกับเป็นพระเจ้าของสถานที่แห่งนี้
ที่จุดสูงสุดยังคงมีห้องโถงใหญ่ที่ตั้งตระหง่านและมีชื่อเสียง แม้ว่ามันจะไม่ได้ใหญ่เทียบเท่ากับภายในยอดเขากระบี่นภา เบื้องหลังห้องโถงแห่งนี้ยังมีห้องซ่อนอยู่ภายใน ซึ่งชิงสุ่ยเองก็รู้ว่าทุกๆยอดเขา ย่อมจะต้องเป็นที่อยู่ของเหล่าสาวก และเหล่าปรมาจารย์ทั้งหลาย
"อาจารย์ ในยามที่ท่านอยู่กับเขาแห่งนี้เพียงคนเดียวท่านไม่รู้สึกเหงาหรือโดดเดี่ยวบ้างเลยหรือไง?"ชิงสุ่ยออกปากถามเมื่อเขารู้สึกว่าสถานที่แห่งนี้โดยช่างโดดเดี่ยวยิ่งนัก
"เหงา? บางครั้งในอดีต ยามที่ข้าต้องอยู่คนเดียว ข้าเองก็จะรู้สึกได้ถึงบางสิ่งบางอย่างที่เป็นปัญหาในใจของข้า"อีเย่เจี้ยนเก้อกล่าวออกมา ความน่าหลงไหลที่สุดจะพรรณนามาพร้อมกับความทุกข์ยากที่ไม่อาจอธิบายได้จากคำพูดของเธอ
"หรือท่านกำลังจะหมายถึงว่าหัวใจของท่านนั้นจะต้องอยู่อย่างโดดเดี่ยว?"
"เจ้าเด็กเสเพล เจ้าคิดจะพูดเรื่องไร้สาระอย่างนั้นรึ? เดี๋ยวข้าก็ตีเจ้าหรอก?"อีเย่เจี้ยนเก้อกล่าวด้วยน้ำเสียงที่ไม่ค่อยประทับใจ