ตอนที่แล้วตอนที่ 129 – สำเร็จ
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปตอนที่ 131 – มือสังหารในชุดดำ

ตอนที่ 130 – ดาวเฟยหลิน


ตอนที่ 130 – ดาวเฟยหลิน

 

[คั่นหนังสือ : ชื่อตอนขอทับศัพท์นะครับ 菲林 ลองค้นดูมันคือ ฟิลม์กล้องถ่ายรูป ซึ่งต้นฉบับอังกฤษแปลว่า ต่ำต้อย หมดปัญญาคิดชื่อครับ ฮ่าฮ่า!]

“นี่หรือเส้นทางที่ทหารเก่าใช้ที่ท่านกล่าวถึง?” สีหน้าของถังเทียนหมองคล้ำขณะที่มองไปยังทหารอย่างหงุดหงิด

เขาเปียกโชกและเหนื่อยล้าลอยอยู่ในน้ำราวกับท่อนไม้

ถังเทียนมิคาดคิดว่ายามเมื่อเขาก้าวเข้าไปภายในประตูดาราสิ่งที่รอเขาอยู่จะเป็นกระแสน้ำที่ไหลเชี่ยวกราก เขาแทบมิมีเวลาตอบสนองทันและเขาก็ลอยออกไปไกลภายในความงุนงงอยู่กลางอากาศ

มันคือน้ำตก!

จากควาสูงมากกว่าสามสิบเมตรเขาหล่นลงไปในแม่น้ำ แม้กระทั่งร่างที่ทนทานถังเทียนยังคงกระอักเลือดออกมาเต็มปาก กระดูกของเขาเจ็บปวดรวดร้าวและจิตใจพลันว่างเปล่า

แต่นั้นเป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้น

ขณะที่เขาตีลังกาหมุนวนไปมามันไม่รอให้เขาตอบสนองได้ทันเขาก็ถูกพัดไปโดยแม่น้ำ มันเป็นน้ำตกอีกอันหนึ่ง สูงกว่าสามสิบเมตรอีกครา ถังเทียนผู้น่าสงสารในช่วงเวลาที่ถูกกระแทกด้วยกระแสน้ำเขาแทบจะหมดสติไป

ฝันร้ายแทบไม่มีที่สิ้นสุด

ถังเทียนร่วงหล่นทั้งหมดหกครา มิใช่เพียงแค่นั้น เขากระแทกกับหินตลอดเส้นทางและได้รับบาดเจ็บ แม้กระทั่งอวัยวะภายในก็บาดเจ็บหลายแห่ง

เขาแทบไม่มีแม้กระทั่งแรงที่จะลุกขึ้นยืนในตอนนี้

การเปลี่ยนแปลงทั้งหมดที่เกิดขึ้นรวดเร็วเกินไปจนเขามิทันที่จะตอบสนอง

ถ้าเพียงจ้องมองแล้วสังหารคนได้ ร่างของทหารคงท่วมไปด้วยโลหิตและตายเป็นร้อยรอบแล้ว

บนใบหน้าทหารเปิดเผยสีหน้าอับอายที่หาดูได้ยาก แม้กระทั่งตัวเขาเองยังรู้สึกอับอายเล็กน้อยกับเหตุการณ์นี้ แต่ด้วยความรวดเร็วเขาก็แก้ตัว “เจ้าจะต้องรู้ว่ามันเป็นไปได้จะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นเมื่อใดก็ได้ภายในประตูดารา แต่มันเป็นคราแรกที่ข้าพบเจอการเปลี่ยนแปลงเช่นนี้”

ทหารรู้สึกอับจนปัญญา

ด้านนอกประตูดาราภายในเมืองไตรวิญญาณมันเป็นเช่นเดิมเหมือนกับอดีต ตำแหน่งและการปรากฏมิได้มีการเปลี่ยนแปลงมากนัก ซึ่งทำให้เขารู้สึกยินดีอย่างยิ่งที่ได้มายังสถานที่เก่าในอดีต ผู้ใดจะรู้ว่าภายในประตูดารามันแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิงเช่นนี้

ถังเทียนมองไปยังท้องฟ้าอย่างพูดไม่ออก “นี่เป็นดาวอะไรกัน?”

ทหารพลันถามกลับ “เจ้าคิดว่าข้ารู้อย่างงั้นหรือ?”

“ก็ได้ ดูเหมือนข้าจะต้องพึ่งพาเพียงตัวเองเท่านั้น” ถังเทียนปิดตาลงและกระตุ้นปราณแท้จริง เขาก็ไหลเข้าสู่สภาวะสงบนิ่งอย่างไม่รู้ตัว

มันราวกับเขาหลับไหลไป เขาลอยไปบนสายน้ำปล่อยเลยตามเลย

ทหารรู้สึกแปลกประหลาดที่เขาสามารถเข้าสู่สภาวะเช่นนั้นภายในสถานการณ์เช่นนี้ได้ พัฒนาการของถังเทียนทำให้เขาตกใจนัก เขาสังเกตรอบๆและความลึกของน้ำและมิพบสิ่งที่เป็นอันตราย

จากนั้นทหารก็มองไปด้านหลัง

น้ำตกที่ร่วงลงมาอย่างรุนแรงแม้ว่าพวกเขาจะอยู่ห่างออกไปพวกเขาก็ยังคงรู้สึกถึงมันได้

ภายในใจของเขามีความรู้สึกปนเปไปหมด ในอดีตคู่หู่ของเขาทั้งหมดต่างตายจาก หัวหน้าก็ถูกสังหาร โลกของเขาเเปลี่ยนไปและแม้กระทั่งประตูดารายังเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ

ความอ้างว้างพลุ่งพล่านภายในใจเขา ทุกสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเขาต่างถูกทำลายสิ้น และพวกเขาสลายไปตามลม แม้กระทั่งความทรงจำก็ยังเลือนลางมืดมน พวกมันค่อยๆฝังลึกลงไปช้าๆภายในใจของเขา

เขาเป็นเพียงคนเดียวที่เหลืออยู่...

มันช่างเป็นความรู้สึกที่แย่ยิ่งนัก...

ทหารมองไปยังถังเทียนที่ปิดตาอยู่ ทันใดนั้นเขาก็ขบคิด ถ้าเจ้าหนุ่มผู้นี้มิได้อยู่ในสภาพเช่นนี้ เขาก็คงจู้จี้ขี้บ่นแล้ว เขายิ้มอย่างหมดหนทาง มันโชคดียิ่งนักที่เจ้าหนุ่มผู้นี้โง่เง่ากว่าเขานัก ตัวเขาก็คงมิเย็นชาเช่นเขา...

วันที่สอง

ถังเทียนเปิดตาขึ้นและดวงตาเปล่งประกลาย ร่างของเขาฟื้นตัวอย่างสมบูรณ์ เวลานี้ยามเมื่อเขาเข้าสู่สมาธิมันใช้เวลานานกว่าปกติ

เขาเหยียดร่างและเหยียบลงบนน้ำ มองไปรอบๆ เขาพลันตระหนักได้ว่ามันง่ายที่จะเดินบนน้ำในตอนนี้

“เป็นสถานที่บัดซบอะไรกัน?” เป็นไปตามที่ทหารคาดไว้ว่ายามเมื่อถังเทียนฟื้นตัวแล้วเขาจะกลายเป็นพูดมากทันที “ว้าว น้ำตกใหญ่ขนาดนี้เลยหรือ? พวกเราร่วงมาจากมันงั้นหรือ? นี่ลุงพูดอะไรหน่อยสิ ทั้งหมดเป็นเพราะท่าน ท่านจะไม่รู้สึกผิดเลยบ้างหรือ?”

“เจ้าคิดว่าข้าจะรู้สึกผิดงั้นหรือ?” ทหารเยาะเย้ยพลางตอบ ภายในใจเขา เมฆหมอกเลือนหายไป เขายกคิ้วขึ้น “เจ้าโชคดียิ่งนักที่มันไม่ใช่ดาวรกร้าง ถ้าใช่แล้วล่ะก็เจ้าคงจะต้องกินดิน โอ้ใช่แล้วข้าจะต้องบอกข่าวร้ายแก่เจ้าแล้ว”

“มันไม่มีเส้นทางที่พวกเราจะกลับไปยังตำหนักจิตวิญญาณนักสู้ได้” ทหารยกแบมือของเขาและมีท่าทางไร้เดียงสา “มันเป็นไปได้ว่ายามเมื่อพวกเราก้าวเข้ามาภายในประตูดารา พวกเราได้รับผลกระทบจากตำหนักจิตวิญญาณนักสู้ ทางเข้าตำหนักจิตวิญญาณนักสู้เกิดความวุ่นวายขึ้น สำหรับสาเหตุข้าก็ไม่แน่ใจนัก มันคล้ายกับว่ามันมีส่วนเกี่ยวข้องระหว่างประตูดาราและกองทัพ และมันลึกซึ้งกว่าที่ข้าจะคาดคิดได้”

มันมิมีทางกลับเข้าไปภายในตำหนักจิตวิญญาณนักสู้ นั่นหมายความว่าอุโมงค์เส้นทางไปยังเมืองไตรวิญญาณถูกปิดลง

นั่นหมายความว่าพวกเขาติดอยู่ภายในดาวเคราะห์ดวงนี้

แม้ว่าทหารไม่ควรที่จะถูกตำหนิเรื่องนี้ แต่ท่าทางของเขามันช่าง...

สีหน้าของถังเทียนดำเป็นตอตะโกเขาขบฟันพลางกล่าว “ไม่ว่าจะเป็นทหารเก่าหรือผู้ใดที่ทำให้บุรุษหนุ่มผู้นี้เป็นเช่นนี้ไม่ควรที่จะมีท่าทางเช่นนี้”

ทหารยอมรับปราศจากข้อโต้แย้ง “เจ้ารู้ว่าพวกเราคือทหารเก่า ทหารเก่าก็มีท่าทางเช่นนี้ บุรุษหนุ่ม เจ้ายังเยาว์นัก เจ้าจะต้องรู้จักถ่อมตนและเคารพผู้อาวุโส บุรุษหนุ่ม เส้นทางเจ้ายังอีกยาวไกลนัก!”

ถังเทียนโมโหและทำท่าจะลุกขึ้นกระโจนไปยังทหาร “ท่านมันตัวบัดซบ!”

ทหารหัวร่อพลางโต้กลับ “บุรุษหนุ่ม เจ้ามิรู้หรือว่ามันน่าทึ่งเพียงใดที่สามารถผ่านตำหนักสิบแปดรูปปั้นทองสัมฤทธิ์ได้ ในฐานะครูฝึกของกองทัพมันมิมีอะไรน่าสนใจไปกว่านี้แล้ว”

“บัดซบ! ข้าจะให้ท่านรู้ว่าความตายอันน่ากลัวเป็นยังไงเมื่อท่านกล้าที่จะล่วงเกินบุรุษหนุ่มเทพผู้นี้!”

“ช่างโง่เง่าที่บุรุษหนุ่มมิรู้จักขีดจำกัดของตัวเองหรือไม่ได้ผ่านค่ายทหารเกณฑ์ ข้าพบเห็นบุคคลเช่นเจ้ามามากมายนัก เพียงแค่มือเดียวข้าก็ตบเจ้าเละได้เลย”

ทั้งสองต่างทะเลาะกันอยู่บนแม่น้ำ

ทันใดนั้นก็เกิดเสียงร้องดังมาแต่ไกล

“มันมีผู้คนอยู่ที่นี้!”

“มันมีผู้คนอยู่ที่นี้!”

ทั้งสองตะโกนพร้อมกันและมองหน้ากันอย่างประหลาดใจ ถ้ามันมีคนอื่นแล้วล่ะก็มันหมายความว่าพวกเขาสามารถที่จะรู้ได้ว่าพวกเขาอยู่ที่ใดกันตอนนี้

ถังเทียนและทหารวิ่งไปยังทิศทางของเสียงแทบพร้อมเพรียงกัน

“เป็นผู้ใดกัน?” ถังเทียนถามขณะเหินร่างอยู่

“เป็นสตรี!” ทหารมีหูที่ดีกว่าเขา “เป็นเสียงการต่อสู้ หนุ่มน้อยระวังตัวด้วยอย่าได้ถูกคนอื่นทุบตีเล่า”

“ลุงท่านต่างหากที่ควรจะระวังตัวเอาไว้ ท่านชราแล้วระวังฟันท่านจะร่วงได้ อย่าได้อิจฉาตัวบุรุษหนุ่มเทพนักเลย” ทหารมีท่าทางโกรธเกรี้ยวขณะที่ได้ยินถังเทียนกล่าวเช่นนั้น

“อิจฉา? ฮิฮิ ไม่มีทางเสียหรอก! สำหรับเด็กใหม่ที่เพิ่งจะผ่านค่ายทหารเกณฑ์มา ข้าแทบจะไม่ก้มมองดูเลย” ทหารตอบกลับอย่างรวดเร็ว

ทั้งสองที่โต้เถียงกันมิได้ส่งผลกระทบถึงความเร็วของพวกเขา ถังเทียนราวกับม้าป่าที่หลุดออกจากบังเหียนขณะที่ทหารเหินอย่างสงบนิ่งติดตามอยู่เบื้องหลังถังเทียน

จากที่เขาเหินบนน้ำเมื่อพวกเขามาบนฝั่งพวกเขาก็เหินขึ้นบนต้นไม้

เบื้องหน้าพวกเขาเป็นไปด้วยป่าที่หนาแน่น เต็มไปด้วยต้นไม้กลายเป็นทะเลสีเขียว ถังเทียนยกมือขึ้นราวกับนกยักษ์และเหยียบบนต้นไม้เหินร่างไป

มันใช้เวลาประมาณสิบนาทีกว่าที่เขาจะพบเป้าหมาย

มันมีส่วนพื้นที่ว่างเปล่าภายในป่าทึบ มันมีการต่อสู้ที่รุนแรงและมีซากศพอยู่ประมาณเจ็ดแปดคน ดูสับสนวุ่นวายไปหมด

มีอยู่หกคนที่คอยปกป้องสตรีสาวอยู่ สตรีผู้นั้นสวมใส่ชุดที่หรูหราสง่างามและสูงส่ง เพียงแค่มองคราเดียวก็สามารถบอกได้เลยว่านางมิใช่บุคคลสามัญธรรมดาเป็นแน่ ด้านข้างของนางมีผู้คุ้มกันเป็นผู้เชี่ยวชาญทั้งหมด พวกเขาดูสงบนิ่งและดุดัน

สิ่งที่สะดุดตาที่สุดคือบุรุษวัยกลางคนที่ใบหน้ามีรอยแผล เขามีรังสีสังหารและโลหิตหลั่งไหลจากฝ่ามือลงไปบนพื้น

“อาปี่ลี่ ดูรอบๆซิ” เขาบอกกล่าวแก่ผู้คุ้มกันคนหนึ่ง

อาปี่ลี่พยักหน้าและเริ่มต้นสำรวจสถานที่ต่อสู้

ทันใดนั้น บุรุษวัยกลางคนก็คล้ายสัมผัสได้ถึงบางอย่าง เขาหันไปพลางพึมพำ “ผู้ใดกัน? ออกมาเดี๋ยวนี้!”

ผู้คุ้มกันที่อยู่รอบๆสตรีผู้นั้นก็ห้อมล้อบนางราวกับพวกเขาพบเจอศัตรู

ใจถังเทียนเต้นแรงเขาพยายามที่จะย่างก้าวอย่างแผ่วเบาและกลั้นลมหายใจของเขา แต่เขามิคาดว่าจะถูกฝ่ายตรงข้ามตรวจพบได้ ทหารพลันแทรกร่างผ่านร่างถังเทียนและกระซิบ “ระวังตัวด้วย”

ถังเทียนยกแขนทั้งสองขึ้นพลางก้าวออกไปจากป่าและเขาก็ตะโกนขึ้น “อย่าได้โจมตี ข้ามิมีเจตนาร้าย”

พวกเขาเห็นเพียงเป็นบุรุษหนุ่มผู้คุ้มกันต่างคลายการป้องกันของเขายกเว้นบุรุษวัยกลางคนโดยไม่แม้แต่หันไปเขาก็ตะโกน “ซานเฉิน!”

หนึ่งในผู้คุ้มกันผู้มีร่างผอมบางปรากฏลำแสงสีแดงภายในดวงตาของเขา “ขั้นห้า! และเขายังไม่ได้กระตุ้นเปิดเส้นชีพจรโลหิต!”

ยังไม่ได้กระตุ้นเปิดเส้นชีพจรโลหิตงั้นหรือ?

ทุกคนมีท่าทางแปลกประหลาด ผู้คุ้มกันต่างหัวร่อเล็กน้อย แม้กระทั่งบุรุษวัยกลางคนยังประหลาดใจ “ข้ามิคาดคิดเลยว่าข้าจะพบเจอบุคคลหมดจดที่ยังมิได้กระตุ้นชีพจรโลหิตของพวกเขาเอง”

มิมีผู้ใดสนใจถังเทียน ในทางตรงกันข้ามกลับเป็นสตรีที่ถูกคุ้มกันอยู่ที่มองไปยังถังเทียนอย่างอยากรู้

ถังเทียนตื่นเต้น ยามเมื่อเขาได้ยินพวกเขาพูดถึง ‘เส้นชีพจรโลหิต’ ภายในความทรงจำของเขามันมีเพียงสิ่งเดียวที่เชื่อมโยงกับเส้นชีพจรโลหิตคือวิญญาณนิล

เป็นไปได้หรือไม่ว่า...

ผู้คนอื่นต่างคลายการป้องกันของพวกเขาและถังเทียนก็มีสีหน้าที่ปราศจากเจตนาร้ายพลางกล่าว “ข้าขออภัยที่รบกวน ข้าหลงทางมา ข้าอยากจะถามหน่อยว่าสถานที่แห่งนี้คือที่ใดกัน?”

“ป่าทมิฬ” หนึ่งในผู้คุ้มกันตอบ

“อื้ม และดาวดวงนี้มันคือดาวอะไรกัน?” ถังเทียนกล่าวถามอย่างตรงไปตรงมา

ทุกคนต่างหยุดกระทำทุกสิ่งที่พวกเขากำลังกระทำอยู่พลางมองถังเทียน

บุรุษวัยกลางคนกล่าวถาม “เจ้ามาจากดาวดวงใดกัน?”

ถังเทียนยักไหล่ขึ้น “ข้าก็มิรู้เหมือนกัน ยามเมื่อข้าก้าวเข้ามาภายในประตูดาราข้าก็ถูกพัดตกลงมาในแม่น้ำแล้ว จากนั้นก็ตกลงไปยังน้ำตก ข้ามิรู้เลยว่าข้าอยู่ที่ใดในตอนนี้”

“หรือว่ามันยังมีประตูดาราภายในป่าทมิฬอยู่อีกหรือ?” บุรุษวัยกลางคนพึมพำ คำพูดของถังเทียนมิมีข้อบกพร่องอันใด เขาสำรวจไปยังถังเทียนพลางกล่าว “ที่นี้คือดาวเฟยหลิน”

“ดาวเฟยหลิน...” ถังเทียนมิแน่ใจ เขามิเคยได้ยินชื่อนี้มาก่อนเลย ดังนั้นเขาจึงโพล่งถามออกไปว่า “เป็นกลุ่มดาราใดกัน?”

“มิใช่กลุ่มดารา” บุรุษวัยกลางคนกล่าวอย่างเฉยชา “มันเป็นดาวของวิญญาณนิล”

เป็นจริงอย่างที่เขาคาดคิดเอาไว้ แต่ถังเทียนมิได้ภูมิใจนัก ถ้าเขามิรู้ว่ากลุ่มดาราอันใดที่เขาอยู่ในตอนนี้ เขาก็คงมิสามารถระบุได้ว่าเขาอยู่ที่ใดกัน

“ข้าขอถามหน่อยมีใครมีแผนที่ของดาวดวงนี้หรือไม่? ขายมันให้ข้าได้หรือไม่?” ถังเทียนมองไปยังพวกเขา

พวกเขาที่เหลือต่างโพล่งหัวร่อออกมา

อาปี่ลี่หัวร่อเยาะเขา “ไอ้หนู เจ้าต้องการที่จะออกไปจากดาวเฟยหลินนี่หรือ? เจ้าเลิกฝันเสียเถอะ มันมิเคยมีเด็กใหม่ที่ยังไม่ได้กระตุ้นชีพจรโลหิตแล้วจะออกไปจากดาวเฟยหลินได้!”

ถังเทียนแทบจะหัวร่อ เส้นชีพจรเกี่ยวข้องอะไรกับการที่จะออกจากดาวดวงนี้?

***********************************************************

ติ ชม รับข่าวสารได้ที่ แฟนเพจ ได้เลย และกดไลค์เพื่อเป็นกำลังใจด้วยครับ

 

0 0 โหวต
Article Rating
0 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด