เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 8 สิ่งต่างๆไม่เคยเปลี่ยนแปลง มีเพียงมนุษย์ที่เปลี่ยนไป (อ่านฟรี)
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 8 สิ่งต่างๆไม่เคยเปลี่ยนแปลง มีเพียงมนุษย์ที่เปลี่ยนไป
แปลโดย iPAT
ใกล้กับห้องเรียนมีสถานที่ที่เรียกว่าห้องโถงวิญญาณ มันเป็นห้องโถงเล็กๆที่มีพื้นที่เพียงหกสิบตารางเมตรเท่านั้น
บนเส้นทางแห่งการบ่มเพาะของผู้ใช้วิญญาณ แน่นอนว่าวิญญาณคือหัวใจของความแข็งแกร่ง ดังนั้นหลังจากเลิกเรียน เด็กหนุ่มสาวที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นจึงรีบร้อนเดินทางมายังห้องโถงวิญญาณแห่งนี้
“จัดแถวเรียงหนึ่งเข้ามา” เป็นปกติที่จะมียามรักษาการณ์เฝ้าระวังอยู่หน้าห้อง เด็กหนุ่มสาวสามารถเข้าไปได้ทีละคนและในที่สุดมันก็ถึงเวลาของฟางหยวน
ห้องนี้มีความแปลกประหลาดตรงที่กำแพงห้องถูกเจาะเป็นช่องสี่เหลี่ยมที่มีขนาดแตกต่างกันอยู่เป็นจำนวนมาก บางช่องมีขนาดใหญ่เท่ากับหม้อปรุงอาหาร บางช่องมีขนาดเท่ากำปั้นมนุษย์
แต่ละช่องวางไว้ด้วยภาชนะหลากหลายประเภท มันมีทั้งอ่างหินสีเทา จานหยกขาว กรงสีเขียว หม้อดิน หรือกล่องไม้ มีวิญญาณที่แตกต่างและหลากหลายบรรจุอยู่ในภาชนะเหล่านี้
วิญญาณบางดวงสงบนิ่ง บางดวงสั่นไหว บางดวงส่งเสียงกรีดร้องแหลมสูง และบางดวงกระทั่งร้องเจี๊ยบๆราวกับลูกไก่ สรรพเสียงสอดประสานร้อยเรียงกันราวกับบทเพลงแห่งชีวิตที่ดังสะท้อนอยู่ภายในห้องโถงวิญญาณแห่งนี้
‘วิญญาณแบ่งออกเป็นเก้าระดับที่สอดคล้องกับระดับของผู้ใช้วิญญาณ สำหรับวิญญาณทุกดวงในห้องนี้ พวกมันล้วนเป็นวิญญาณระดับหนึ่ง’ ฟางหยวนกวาดตามองไปรอบๆและตระหนักรู้ได้ในทันที
โดยทั่วไปผู้ใช้วิญญาณระดับหนึ่งก็จะใช้วิญญาณระดับหนึ่ง หากพวกเขาใช้วิญญาณระดับที่สูงกว่า พวกเขาต้องจ่ายด้วยค่าตอบแทนที่สูงขึ้น นอกจากนี้วิญญาณยังต้องการอาหาร ยิ่งวิญญาณระดับสูงเท่าใด พวกมันก็ยิ่งมีความต้องการสูงเท่านั้น ด้วยเหตุนี้วิญญาณระดับสูงจึงไม่ใช่สิ่งที่ผู้ใช้วิญญาณระดับต่ำจะสามารถครอบครองและเลี้ยงดูได้
วิญญาณดวงแรกของผู้ใช้วิญญาณเป็นสิ่งสำคัญ มันจะเชื่อมต่อกับชีวิตและจิตวิญญาณของคนผู้นั้น สุดท้ายแล้วหากมันแตกดับไป ผู้ใช้วิญญาณจะได้รับผลกระทบย้อนกลับที่รุนแรง
‘เห้อ...ความตั้งใจของข้าคือครอบครองวิญญาณสุราและทำให้มันเป็นวิญญาณดวงแรกของข้า แต่ตอนนี้ข้ายังไม่พบสุสานของนักบวชปีศาจสุราดอกไม้ ข้าไม่รู้เลยว่าข้าจะได้พบมันหรือไม่ ดังนั้นเพื่อความปลอดภัย ข้าควรเลือกวิญญาณแสงจันทร์’ ฟางหยวนถอนหายใจขณะเดินตรงไปยังกำแพงด้านซ้ายมือ
หนึ่งในช่องสี่เหลี่ยมชั้นบนสุดวางไว้ด้วยจานสีเงินที่งดงามใบหนึ่ง จานใบนี้มีวิญญาณดวงหนึ่งนอนอยู่
วิญญาณดวงนี้มีลักษณะเป็นผลึกรูปจันทร์เสี้ยวที่เรืองแสงสีฟ้าอ่อนออกมา มันดูสงบนิ่ง เยือกเย็น และให้ความรู้สึกผ่อนคลาย
มันถูกรู้จักกันในนามของวิญญาณแสงจันทร์และเป็นวิญญาณประจำตระกูลที่ผู้อาวุโสส่วนใหญ่เลือกเป็นวิญญาณหลักของตน อย่างไรก็ตามมันไม่ใช่วิญญาณที่เกิดขึ้นเองตามธรรมชาติแต่เป็นวิญญาณที่ถูกสร้างขึ้นด้วยวิธีการลับบางอย่างของตระกูลแสงจันทร์ กล่าวได้ว่าวิญญาณแสงจันทร์ไม่สามารถหาได้จากที่ใดนอกจากหมู่บ้านแสงจันทร์บรรพกาล มันคือสัญลักษณ์ของตระกูลแสงจันทร์อย่างแท้จริง
วิญญาณแสงจันทร์ระดับหนึ่งทั้งหมดไม่มีความแตกต่างกัน ดังนั้นฟางหยวนจึงสุ่มเลือกดวงหนึ่งมาอย่างไม่ใส่ใจมากนัก มันมีขนาดเล็กกว่าฝ่ามือมนุษย์และดูเหมือนจี้อัญมณีที่บอบบางชิ้นหนึ่ง
ฟางหยวนตรวจสอบมันอย่างละเอียด เมื่อไม่พบปัญหา เขาก็โยนมันเข้าไปในกระเป๋าก่อนจะเดินออกจากห้องโถงวิญญาณไปอย่างรวดเร็ว
นอกห้องยังมีเด็กหนุ่มสาวยืนรออยู่อีกเป็นจำนวนมาก เมื่อเด็กคนถัดไปเห็นฟางหยวนเดินออกมา เขาก็รีบวิ่งเข้าไปในห้องโถงวิญญาณด้วยความตื่นเต้นทันที
โดยทั่วไปผู้ใช้วิญญาณระดับหนึ่งที่ได้รับวิญญาณดวงแรกจะรีบกลับบ้านเพื่อปรับแต่งมันอย่างรวดเร็วที่สุด แต่สำหรับฟางหยวน เขาไม่รีบร้อน เพราะความคิดเดียวที่อยู่ในใจของเขาตอนนี้ก็คือวิญญาณสุรา
วิญญาณสุรามีค่ามากกว่าวิญญาณแสงจันทร์ แม้วิญญาณแสงจันทร์จะเป็นสัญลักษณ์ของตระกูล แต่มันมีประโยชน์น้อยกว่าวิญญาณสุรา
เมื่อฟางหยวนออกจากห้องโถงวิญญาณ เขาก็มุ่งหน้าไปยังโรงเตี้ยมแห่งหนึ่ง
“เถ้าแก่ เอาเหล้ามาสองไห” ฟางหยวนวางหินวิญญาณลงบนโต๊ะ
หลายวันนี้เขามาซื้อสุราที่นี่จากนั้นก็เดินออกไปนอกหมู่บ้านเพื่อล่อลวงวิญญาณสุรา เจ้าของโรงเตี้ยมแห่งนี้เป็นชายวัยกลางคนที่มีรูปร่างอ้วนเตี้ยใบหน้ามันเยิ้ม หลังจากฟางหยวนมาซื้อสุราที่นี่ตลอดหลายวันที่ผ่านมา เถ้าแก่ผู้นี้จึงสามารถจดจำเขาได้ในที่สุด
“นายน้อย ท่านมาแล้ว” เถ้าแก่ทักทายฟางหยวนและยื่นมือออกมาหยิบหินวิญญาณที่วางอยู่บนโต๊ะไปอย่างคล่องแคล่ว ด้วยการขยับมือเพียงเล็กน้อย เขาก็ตระหนักถึงน้ำหนักของมัน จากนั้นเขาก็เผยรอยยิ้มกว้างขึ้นบนใบหน้า
หินวิญญาณเป็นสกุลเงินของโลกใบนี้ มันสามารถใช้แลกซื้อสิ่งของได้ทุกชนิด ในเวลาเดียวกันมันก็บรรจุไว้ซึ่งพลังงานแห่งสวรรค์พิภพที่สามารถสนับสนุนการบ่มเพาะของผู้ใช้วิญญาณ
เนื่องจากมันมีมูลค่าทางการเงินและมีประโยชน์ต่อผู้บ่มเพาะ ดังนั้นมันจึงมีค่าราวกับทองคำที่เป็นสินทรัพย์มาตรฐานของโลกมนุษย์ในชีวิตก่อนหน้าของฟางหยวน แต่หากเปรียบเทียบกับทองคำ หินวิญญาณยังเป็นบางสิ่งที่น่าอัศจรรย์มากกว่า อย่างไรก็ตามด้วยการใช้จ่ายหินวิญญาณอย่างต่อเนื่องมาหลายวัน ไม่ว่าฟางหยวนจะมีหินวิญญาณมากมายเพียงใด มันก็ไม่มีทางเพียงพอสำหรับเขา
‘สองไหทุกวันตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา มันทำให้เงินออมทั้งหมดของข้าแทบหมดลงแล้ว’ ฟางหยวนขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะเดินออกจากโรงเตี้ยมพร้อมไหสุรา
เมื่อคนผู้หนึ่งกลายเป็นผู้ใช้วิญญาณ พวกเขาจะใช้หินวิญญาณเพื่อทะนุบำรุงทะเลวิญญาณของตน สำหรับผู้ใช้วิญญาณ หินวิญญาณถือเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ใช่เพียงสกุลเงินแต่เป็นบางสิ่งที่ช่วยยกระดับการบ่มเพาะของพวกเขา มันกระทั่งสามารถแก้ปัญญาขีดจำกัดของผู้ที่มีพรสวรรค์ต่ำชั้นได้อีกด้วย
‘ข้าไม่มีหินวิญญาณเหลือพอที่จะซื้อสุราในวันถัดไปแล้ว หากวิญญาณสุรายังไม่ปรากฏ ข้าคงต้องใช้วิญญาณแสงจันทร์เป็นวิญญาณหลักของข้าจริงๆ’ ฟางหยวนรู้สึกไม่พอใจเล็กน้อย
ขณะที่เขาเดินไปพร้อมกับไหสุราในมือ เขาเริ่มตระหนักถึงบางสิ่ง ‘อาจารย์ผู้นั้นกล่าวว่าคนแรกที่ปรับแต่งวิญญาณหลักสำเร็จจะได้รับรางวัลเป็นหินวิญญาณยี่สิบก้อน ตอนนี้หลายคนคงกำลังพยายามปรับแต่งมันอยู่ที่บ้านเพื่อแข่งขันกันเป็นอันดับหนึ่ง แต่น่าเสียดายที่การปรับแต่งพึ่งพาพรสวรรค์ ผู้ที่มีพรสวรรค์สูงจะได้เปรียบ ด้วยพรสวรรค์นภาที่สาม ไม่มีความหวังที่ข้าจะได้รับชัยชนะ’
เป็นเพียงเวลานี้ที่ฟางเจิ้งตะโกนเรียกฟางหยวนมาจากด้านหลัง “พี่ใหญ่! ท่านไปโรงเตี้ยมและซื้อสุรามาจริงๆ ตามข้ามา! ท่านลุงกับท่านป้าต้องการพบท่าน!”
ฟางหยวนหันหน้ากลับไปเพื่อพบว่าตอนนี้น้องชายของเขาไม่ได้ก้มหน้าลงขณะกล่าวบางสิ่งอีกต่อไปแล้ว และทั้งสองกำลังยืนประจันหน้ากันอยู่ในขณะนี้
สายลมพัดผ่านและหอบเอาเส้นผมของฟางผู้พี่ลอยขึ้นสู่อากาศ ในขณะเดียวกันชุดคลุมของฟางผู้น้องก็โบกสะบัดไปรอบๆ
ระยะเวลาเพียงสั้นๆ แต่มนุษย์กลับสามารถเปลี่ยนไป
หนึ่งสัปดาห์หลังพิธีเผยลิขิตสวรรค์ การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่เกิดขึ้นกับคู่พี่น้องฝาแฝด ฟางผู้พี่ตกลงจากสรวงสวรรค์ ฉายาอัจฉริยะถูกลบออกไปอย่างไร้ความปรานี ขณะที่ฟางผู้น้องเริ่มเบ่งบานและกลายเป็นดาวดวงใหม่อย่างรวดเร็ว
การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นกับฟางเจิ้งเขย่าโลกทั้งใบของเขา เพราะในที่สุดเขาก็ได้รับประสบการณ์เดียวกันกับผู้เป็นพี่ชาย ความรู้สึกที่ทุกคนคาดหวังในตัวเขา ความรู้สึกอิจฉาที่ผู้คนจ้องมองเขา มันทำให้ฟางเจิ้งรู้สึกราวกับถูกฉุดดึงขึ้นมาจากความมืดมิดและถูกยกขึ้นวางไว้บนก้อนเมฆที่สว่างไสวไปด้วยแสงอาทิตย์ ทุกวันที่เขาตื่นขึ้น เขาจะรู้สึกว่าตนเองราวกับยังอยู่ในห้วงความฝัน ความแตกต่างของชีวิตก่อนหน้าและในเวลานี้มันเหมือนกลางวันกับกลางคืนที่ทำให้เขาแทบไม่กล้าเชื่อว่ามันจะเป็นเรื่องจริง อย่างไรก็ตามเขายังไม่คุ้นเคยกับมันมากนัก มันค่อนข้างยากที่จะปรับตัว
ระยะเวลาเพียงสั้นๆ ผู้คนกลับจ้องมองมาที่เขาตลอดเวลา บางครั้งเมื่อฟางเจิ้งเดินอยู่บนเส้นทางในหมู่บ้าน เขาจะได้ยินผู้คนยกย่องสรรเสริญ ในช่วงเวลานั้นใบหน้าของเขาจะกลายเป็นร้อนผ่าวและสูญเสียการควบคุมร่างกายไปอย่างสมบูรณ์
หลายวันผ่านไปในที่สุดเขาก็เริ่มแข็งแกร่งขึ้น มันเป็นความแข็งแกร่งที่เรียกว่าความมั่นใจ
‘นี่คือสิ่งที่พี่ใหญ่เคยสัมผัสมาก่อน มันทั้งงดงามและเจ็บปวดในเวลาเดียวกัน’
เขาไม่รู้ว่าพี่ชายของเขาสามารถรับมือกับการจ้องมองของผู้คนและเสียงวิพากษ์วิจารณ์ได้อย่างไร
แต่เมื่อเวลาผ่านไปเขาก็เริ่มเลียนแบบการแสดงออกที่ไม่แยแสเหมือนพี่ชายของเขา แต่สุดท้ายเขากลับพบว่ามันไม่เหมาะกับคนเช่นเขา บางครั้งเสียงกรีดร้องของหญิงสาวในห้องเรียนก็ทำให้เขาหน้าแดงได้อย่างง่ายดายหรือแม้แต่บนท้องถนนเมื่อหญิงรุ่นใหญ่เรียกชื่อเขา เขากระทั่งต้องวิ่งหนีไปอย่างรวดเร็ว
เขาเหมือนเด็กวัยหัดเดินที่สะดุดหกล้มตลอดเวลา แต่ระหว่างที่เขาเริ่มต้นทำความคุ้นชินกับชีวิตใหม่ เขาก็ยังได้ยินเรื่องราวเกี่ยวกับพี่ชายของเขาอยู่เสมอ ตัวอย่างเช่น ตกอยู่ในภาวะซึมเศร้า กลายเป็นคนขี้เมา ไม่กลับบ้านตอนกลางคืน หรือหลับในชั้นเรียน
ฟางเจิ้งรู้สึกตกใจมากที่ได้ยินเรื่องราวเหล่านี้ พี่ชายของเขาเคยเป็นคนเข้มแข็งและถูกยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะที่ยิ่งใหญ่ แล้วเขากลายคนเช่นนี้ไปได้อย่างไร?
แต่ไม่นานฟางเจิ้งก็เริ่มเข้าใจ พี่ชายของเขาก็เป็นเพียงคนธรรมดาผู้หนึ่ง การเผชิญหน้ากับความพ่ายแพ้ทำให้เขาสะเทือนใจ ด้วยความคิดนี้ ฟางเจิ้งลอบรู้สึกมีความสุขอยู่ภายในใจ มันเป็นความรู้สึกที่เขาไม่กล้ายอมรับแต่มันก็มีอยู่จริง
พี่ชายของเขาเป็นอัจฉริยะที่สร้างเงามืดปกคลุมตัวเขาและมันก็ทำให้เขารู้สึกหดหู่มาตลอด
อย่างไรก็ตามตอนนี้ทุกสิ่งเปลี่ยนไปแล้ว เขากลายเป็นคนที่โดดเด่นและนี่คือความจริงที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลง
ดังนั้นเมื่อฟางเจิ้งเห็นฟางหยวนถือไหสุราขณะที่เส้นผมยุ่งเหยิงและสวมเสื้อผ้าที่ไม่เรียบร้อย มันจึงช่วยไม่ได้ที่เขาจะรู้สึกโล่งอกและหายใจสะดวกขึ้นมาในทันที “พี่ใหญ่ ท่านต้องหยุดดื่มเหล้า! หยุดทำตัวเช่นนี้! ท่านไม่คิดบ้างหรือว่าท่านจะทำให้ผู้อื่นรู้สึกกังวล? พี่ใหญ่! ตื่นได้แล้ว!”
ฟางหยวนไม่ได้กล่าวสิ่งใด เขาเพียงมองน้องชายผู้นี้ด้วยใบหน้าที่ไร้อารมณ์เท่านั้น
ดวงตาของฟางเจิ้งส่องประกายแหลมคมราวกับใบมีดที่สามารถกรีดเฉือนผู้ที่เขาจ้องมอง ตรงข้ามกับดวงตาคู่สีดำสนิทของฟางหยวนที่ไร้อารมณ์และลึกลับราวกับบ่อน้ำที่ไร้จุดสิ้นสุด ด้วยดวงตาเช่นนี้ ช่วยไม่ได้ที่ฟางเจิ้งจะรู้สึกถึงแรงกดดัน เขาเริ่มรู้สึกประหม่าและต้องหลบสายตาของฝ่ายตรงข้ามไปอย่างรวดเร็ว
แต่เมื่อเขารู้ตัว เขากลับรู้สึกโกรธ เขาโกรธตัวเอง
‘เกิดสิ่งใดขึ้นกับเจ้า? เจ้าไม่กล้าแม้แต่จะมองหน้าพี่ชายของเจ้าโดยตรงงั้นหรือ?’
‘ไม่! ข้าเปลี่ยนไปแล้ว ข้าเปลี่ยนไปอย่างสมบูรณ์แล้ว’
ด้วยความคิดนี้ ดวงตาของเขาจึงกลับมาแหลมคมขณะมองไปยังพี่ชายของเขาอีกครั้ง แต่ฟางผู้พี่กลับไม่ได้มองเขาอีกต่อไป ฟางหยวนเพียงถือไหสุราและเดินผ่านฟางเจิ้งพร้อมกล่าวว่า “เจ้ายังงุ่มง่ามอยู่ที่นี่เพื่อสิ่งใด? ไปเถอะ”
ลมหายใจของฟางเจิ้งกลายเป็นปั่นป่วน หัวใจของเขาไม่สามารถผ่อนคลาย มันเป็นความรู้สึกที่ยากจะอธิบายกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
แต่เมื่อฟางเจิ้งเห็นพี่ชายของเขาเดินห่างออกไป เขาจึงทำได้เพียงเร่งฝีเท้าเดินตามไปเท่านั้น อย่างไรก็ตามศีรษะของเขาไม่ได้ก้มลงอีกต่อไปแล้ว ตรงข้ามเขาเงยหน้าขึ้นรับแสงสว่างที่สาดส่องมาที่เขาในขณะที่เดินตามฟางหยวนไปดังเช่นในอดีต
สิ่งต่างๆไม่เคยเปลี่ยนแปลง มีเพียงมนุษย์ที่เปลี่ยนไป