ตอนที่ 113 เหนือเกินคาด
“อะไรกัน!” หนึ่งในสองคนที่ออกกระบวนท่าโจมตีฉางหยางกล่าวขึ้นด้วยความตกใจ
ด้วยพลังกายระดับปราณผันผวนขึ้นกลาง มันต้องสามารถบดขยี้ร่างกายของผู้ฝึกวรยุทธชั้นปราณนิมิตรได้อย่างแน่นอน แต่นี่ทำไมมันถึงเป็นเช่นนี้ ทั้งที่ก็รับกระบวนท่าทางของพวกเขาไปเต็มๆแล้วกลับไม่รู้สะทกสะท้านเลยรึ
“มีแค่นี้เองรึ ช่างไม่สมกับที่ข้ารอคอยเสียจริง”
สิ้นคำกล่าวเพียงไม่นาน ฉางหยางก็พุ่งตัวเข้าไปจับศีรษะของผู้ฝึกวรยุทธหนึ่งในสองคนและแทงเข่าออกไปหลายครั้ง
“ตูม ตูม ตูม....”
แรงกระแทกอันหนักหน่วงส่งผลให้ชายวัยกลางคนผู้นี้ร้องออกมาอย่างเจ็บปวด เนื่องด้วยกะโหลกของเริ่มแตกร้าวขึ้นเรื่อยๆ และไอ้หนูนี่ยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดเลยแม้แต่น้อย
ส่วนอีกคนไหนเลยจะยอมให้ไอ้หนูที่ไหนไม่ก็รู้มาหยามเกียรติกันแบบนี้ ถ้าหากราชสีห์อย่างพวกเขาไม่แสดงอำนาจให้เห็นแล้วหนูตัวไหนมันรู้สึกหวาดกลัวกัน
“ย่อมได้”
ร่างอันล่ำสันบึกบึนเริ่มเร่งพลังลมปราณขึ้น ออร่าสีแดงปรากฏออกมา สีหน้ากลับกลายเป็นนิ่งสงบเยือกเย็น ที่มือของเขาพลังลมปราณได้รวมกันจนอัดแน่นอยู่
“พรึบบ” เคล็ดวิชาเคลื่อนไหวถูกใช้ทันใด
มือที่เต็มไปด้วยพลังลมปราณตวัดเข้าไปบริเวณคอของฉางหยางหวังให้ขาดสะบั้นภายในพริบตา
“วืดด”
ฉางหยางก้มตัวหลบอย่างรวดเร็วพร้อมทิ้งร่างผู้ฝึกวรยุทธอีกคนลง ก่อนกระโดนถอยไปทางหลางหลู่เออร์ หลิ่งซู เพื่อตั้งหลักอีกครั้ง
“เจ้าไม่เป็นไรใช่ไหม”
หลางหลู่เออร์ถามด้วยความเป็นห่วง นางยังคงไม่สามารถช่วยอะไรได้เลย และมันก็ยังเป็นเช่นเดิมอยู่แบบนี้ต่อไป ภาระก็ย่อมเป็นภาระอยู่ดี
“ข้าไม่เป็นไร พวกเจ้าถอยออกไปห่างหน่อย ข้าจะเรียกเฉินตี้ออกมา”
เขาต้องรีบจัดการชายวัยกลางคนทั้งสามคนนี้ก่อนที่มันจะสร้างเรื่องยุ่งยากให้กับเขา เนื่องด้วยเวลาและสถานการณ์เริ่มจะไม่สู้ดีเสียแล้ว เพราะถ้าหากยังปล่อยให้การต่อสู้ยืดเยื้อต่อไป พวกหลวนเฟย หลางหลู่เออร์ หลิ่งซูก็จะยิ่งได้รับอันตรายมากขึ้น
ดังนั้นเขาจึงต้องตัดปัญหาก่อนที่มันจะสายเกินแก้ ลำพังแค่ตัวเขาก็ไม่สามารถปกป้องทั้งสามได้ตลอดเวลาอยู่แล้ว แต่อย่าไรเขาก็มั่นใจว่าจะชนะหากไม่มีทั้งสามคนอยู่ด้วย
ทั้งสามค่อยๆถอยห่างออกไป ใบหน้าของพวกเขาต่างไร้ความกังวล เมื่อได้เห็นการปะทะกันเมื่อครู่นี้ แต่ก็รู้สึกหนักใจอย่างยิ่งที่เป็นได้แค่ภาระของฉางหยางเท่านั้น
พลังลมปราณที่ไม่ค่อยเสถียรดีโคจรอัดเข้าไปสัญลักษณ์บริเวณแขนจนส่องประกายสีทองอร่ามแสบตาออกมา ชายวัยกลางคนทั้งสามมองดูด้วยแปลกใจ
พวกเขาทั้งหมดจำได้เลยว่านั้นต้องเป็นสัตว์อสูรสีทองลึกลับที่เคยอาละวาดในงานชุมนุมอย่างแน่นอน ซึ่งมันก็ไม่ได้น่ากลัวเลยแม้แต่นิดเดียว ด้วยระดับการบ่มเพาะปราณบรรจบขั้นกลาง มันก็ช่างไร้ประโยชน์ที่จะเรียกมันออกมา
“แค่สัตว์อสูรปราณบรรจบ อย่าคิดว่าจะชนะพวกข้าทั้งสามคนได้” หนึ่งในสามคนกล่าว
ฉางหยางยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย “เช่นนั้นก็เชิญเล่นกับสัตว์อสูรของข้าหน่อยเป็นไร”
“กรร”
เสียงคำรามดังสนั่นขึ้น แรงกดดันปราณผันผวนขั้นกลางแผ่กระจายออกเป็นวงกว้าง สีหน้าของชายวัยกลางคนทั้งสามเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นบิดเบี้ยว เมื่อสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายแห่งความตายออกมาจากสัตว์อสูรสีทองลึกลับ
“ม..มันเป็นไปได้อย่างไร ทั้งที่ตอนนั้นมันอยู่แค่ปราณบรรจบเองไม่ใช่รึ” คำกล่าวอันตื่นตระหนกถูกขานขึ้น
เขาจำได้ดีเลยว่าสัตว์อสูรสีทองตัวนี้มันมีระดับการบ่มเพาะอยู่แค่ปราณบรรจบไม่ผิดแน่ แต่แล้วทำไมเพียงแค่ครึ่งวันกลับสามารถทะลวงเข้าสู่ปราณผันผวนได้ แถมยังอยู่ในระดับเดียวกับพวกเขาทั้งสามคนเลย นั้นก็คือปราณผันผวนขั้นที่สี่
อย่างไรก็ตามด้วยร่างกายอันแข็งแกร่งและใหญ่โตของสัตว์อสูร ย่อมได้เปรียบพลังเกือบทุกด้าน มันจึงเป็นเหตุให้ผู้ฝึกวรยุทธส่วนใหญ่ต่างก็ไม่อยากเข้าปะทะกับสัตว์ที่มีระดับการบ่มเพาะเทียบเท่ากันสักไหร่
“พวกเจ้าสองคนถ่วงเวลาสัตว์อสูรสีทองและไอ้หนูนั้นไว้ ส่วนข้าจะไปสังหารไอ้อ้วนแล้วจับผู้หญิงของมันมาเป็นตัวประกัน” ชายวัยกลางที่ถูกหลวนเฟยขว้างหินจิตมารใส่กล่าวออกมาอย่างเจ็บแค้น
ไม่ว่าอย่างไรวันนี้ก็ต้องสังหารไอ้อวนด้วยมือของเขาให้ได้ เพราะตาข้างหนึ่งกลายเป็นบอดสนิทไปเรียบร้อยแล้ว เนื่องจากโดนเศษหินจิตมารทิ่มแทงเข้าลูกตาเต็มๆ และอีกอย่างเขาก็ไม่อยากจะปะทะกับสัตว์ประหลาดทั้งสองนี้
“เป็นความคิดที่ดีเหมือนกัน ถึงหญิงสาวสองคนนั้นจะเป็นบุตรสาวของตระกูลหลาง ตระกูลหลิ่งมันก็ไม่ใช่ปัญหาเลยที่จะจับมา และจากที่ข้าเห็นไอ้หนูนั้นก็เป็นห่วงหญิงสาวของมันพอสมควร แล้วถ้าหากเราจับมาเป็นตัวประกันได้ทุกอย่างก็จะง่ายขึ้นทันตา” อีกคนกล่าวเสริมขึ้นด้วยเสียงที่แผ่วเบา เขาสัมผัสได้ว่าหญิงสาวทั้งมีระดับการบ่มเพาะแค่ปราณบรรจบเท่านั้นเอง
“พวกเจ้าไม่กลัวตระกูลหลาง และตระกูลหลิ่งมาแก้แค้นรึ” ชายกะโหลกร้าวถามกลับไป
“จะกลัวไปทำไม ในเมื่อพวกมันทั้งหมดต้องกลายเป็นศพอยู่ที่ป่าแห่งนี้ แล้วเรื่องทุกอย่างก็จะมีเพียงพวกเราเท่านั้นที่รู้” ชายตาบอดตอบด้วยสีหน้าเหี้ยมเกรียม
รอยยิ้มอันชั่วร้ายเผยออกมาจากใต้ผ้าคลุม ทั้งสามหันสบตากันเล็กน้อยก่อนจะพยักหน้าให้กัน
“ลงมือ”
ร่างสามร่างแตกกระจายกันออกไปโอบล้อมกลุ่มของฉางหยางทันที หนึ่งร่างพุ่งเข้าปะทะกับสัตว์อสูรสีทอง อีกหนึ่งพุ่งเข้าข้างหลังพวกหลานเฟย หลางหลู่เออร์และหลิ่งซู
“ขึ้นไปอยู่บนหัวของเฉินตี้ซะ” ฉางหยางตะโกนออกมา
เขามันใจแล้วว่าชายวัยกลางคนทั้งสามนี้ ต้องวางแผ่นกระทำบางอย่างกับพวกหลวนเฟยเป็นแน่ แต่มันก็ยังอ่อนหัดเกินไปถ้าเขาสามารถสังหารหนึ่งในสามคนลงได้ แผนที่วางมาทุกอย่างต้องรวนไปหมดแน่
“อย่าปล่อยให้พวกมันขึ้นไปบนสัตว์อสูรตัวนั้นได้”
“ช่างอ่อนหัดยิ่งนัก”
คำกล่าวเยาะเย้ยเสียดแทงเอ่ยขึ้นพร้อมร่างของฉางหยางพุ่งเข้าหาชายกะโหลกร้าว พลังลมปราณที่ยังไม่เสถียรดีโคจรไหลไปรวมอยู่มือขวาอัดแน่นขึ้นเรื่อยๆ จนปรากฏเปลวเพลิงสีทองออกมา
ถึงเขาจะไม่สามารถใช้เคล็ดวิชาได้ตอนนี้ แต่แค่โคจรพลังลมปราณเพื่อสร้างเปลวเพลิงสีทองขึ้นมายังพอไหว แม้จะเป็นเช่นนั้นก็ต้องใช้เวลามากพอสมควร
มือที่ห่อหุ้มไปด้วยเปลวเพลิงสีทองพุ่งเข้าไปบริเวณคอของชายกะโหลกร้าวทันใด
“วืดดด”
โดยอาศัยประสบการณ์การต่อสู้อันโชกโชน มันจึงทำให้เขาสามารถก้มตัวหลบเลี่ยงกระบวนท่าสังหารได้ในเสี้ยววินาที ทว่ากลับไม่เป็นเช่นนั้นเมื่อไอ้หนูผู้นี้กระโจนเข้ามากอดเข้าแน่น
“อุบบ ผลั๊ก” ร่างของทั้งสองล้มลงกอดกันกลม กลิ้งไปตามพื้นหลายตลบจนฉางหยางสามารถพลิกตัวขึ้นมานั่งข้างบนได้
เขาไม่รออีกต่อไป มือที่มีเปลวเพลิงสีทองลุกไหม้อยู่ กุมไปบริเวณคอของชายกะโหลกร้าวอย่างรวดเร็ว ความร้อนเริ่มกลืนกินคอภายในอึดใจ จนทำให้ชายผู้นี้ดิ้นอย่างทุรนทุราย
“อ๊ากก นี่มันอะไรกัน ท.....”
เสียงร้องโหยหวนลั่นไปทั่วทั้งป่า เพราะความเจ็บปวดทรมานที่เขาได้รับมันหนักหนาสาหัสมาก ความร้อนของเปลวเพลิงสีทองมันได้แผดเผาจนเสียงของเขาหายไปก่อนจะกล่าวจบ
ฉางหยางลุกขึ้นมาอย่างสบายๆ สีหน้ายังคงนิ่งสงบก่อนหันไปมองชายวัยกลางคนทั้งสอง ซึ่งต้อนนี้กำลังยืนนิ่งค้างมองดูสหายของตนดิ้นอยู่ตามพื้นราวกับไก่ที่ถูกคมมีดบาดเข้าบริเวณคอก็มิปาน
“ตาพวกแกแล้ว”
หลังจากได้ยินเสียงของฉางหยางกล่าวขึ้น พวกเขาทั้งสองถึงกับกลืนน้ำลายอย่างยากลำบากเลยทีเดียว เพราะตลอดชีวิตที่ผ่านมา พวกเขาทั้งสองยังไม่เคยเห็นผู้ใดโหดเหี้ยมอย่างไอ้หนูตรงหน้านี้มาก่อนเลย
ถึงกลับไม่สังหารสหายของเขาให้ตกตายไป แต่ปล่อยให้เปลวเพลิงสีทองกัดกินไปเรื่อยๆ นี่มันช่างน่าหวาดหวั่นยิ่งนัก ทั้งคนและเปลวเพลิงสีทอง
“พ...พ..พวกเรากำลังเล่นอยู่กับอะไรกันแน่”
สีหน้าของทั้งสองเริ่มเคร่งเครียดขึ้นมาแล้ว ขนาดเปลวเพลิงจากเคล็ดวิชานิกายเพลิงผลาญของพวกเขา ยังมีพลังทำลายไม่ถึงครึ่งหนึ่งของเปลวเพลิงสีทองอันนี้เลย
และถ้าหากพวกเขาโดนเข้าไปเหมือนกับสหายที่ตอนนี้ได้สิ้นชีพไปแล้ว จะเป็นเช่นไรต่อ ก็ต้องตอบได้เพียงว่ามีแต่ความตายเท่านั้นที่รอคอยอยู่เบื้องหน้า
“ตูม”
หางที่ยาวเฟื้อยของเฉินตี้กระแทกเข้ากับชายทั้งสอง จนกระดูกของพวกเขาลั่นไปหมดทั้งตัว ตามด้วยร่างบินถลาไปไกลถึงห้าร้อยเมตร
“อั๊ก”
กองเลือดสีแดงเข้มกระอักออกมาจากปากไหลตามพื้นนอง พวกเขาไม่คาดคิดเลยว่าสัตว์อสูรสีทองตัวนี้ มันจะเล่นงานทีเผลอแบบไม่ทันตั้งตัวเลยด้วยซ้ำ
อย่างไรก็ตามเพียงแค่นั้นมันก็ยังพอ เมื่อพวกเขาสัมผัสได้ถึงความร้อนและแสงสว่างสีทองจากบนท้องฟ้ายามตรี แต่พอเงยหน้าขึ้นมองก็พบลูกไฟขนาดสองเมตรหลายสิบลูกลอยมาแล้ว
“หลบเร็วเข้า!”
“ตูม ตูม ตูม ตูม ตูม ตูม.........”