เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 4 ฟางหยวนแห่งแสงจันทร์บรรพกาล (อ่านฟรี)
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 4 ฟางหยวนแห่งแสงจันทร์บรรพกาล
แปลโดย iPAT
ดวงอาทิตย์ส่องแสงนับสิบล้านเฉดสีลงมาจากท้องฟ้าที่สดใส บนภูเขามีเพียงหมอกบางๆที่ถูกสีสันจากเบื้องบนทะลุผ่านลงมาได้อย่างง่ายดาย
เด็กหนุ่มสาวอายุสิบห้านับร้อยชีวิตเดินทางมาชุมนุมกัน ณ คฤหาสน์หลังใหญ่ใจกลางหมู่บ้านที่มียามเฝ้ารักษาการณ์อยู่โดยรอบ พื้นที่ด้านหน้าคฤหาสน์แห่งนี้ปรากฏจัตุรัสอันกว้างใหญ่ที่ตั้งไว้ด้วยรูปปั้นของบรรพชนผู้ยิ่งใหญ่แห่งตระกูลแสงจันทร์ สถานที่แห่งนี้เป็นจุดศูนย์รวมของผู้คนในหมู่บ้านแสงจันทร์บรรพกาล เมื่อใดก็ตามที่มีพิธีการสำคัญหรือเหตุการณ์ใหญ่โตใดๆ ทุกคนจะมารวมตัวกันที่นี่
“ดี ทุกคนมาตรงเวลาดีมาก เอาล่ะ ข้าจะไม่พูดให้มากความ เพียงตามข้ามา” ผู้ที่รับผิดชอบดูแลพิธีการในวันนี้คือผู้อาวุโสของตระกูลแสงจันทร์ที่มีเส้นผมและหนวดเคราสีขาว แต่การแสดงออกของเขากลับดูกระปรี้กระเปร่าแข็งแรงไม่ต่างจากคนหนุ่มสาวเลยแม้แต่น้อย เขานำทางผู้เยาว์จำนวนมากเข้าไปในคฤหาสน์ อย่างไรก็ตามเขาไม่ได้ขึ้นไปชั้นบน ตรงข้าม เขานำเด็กๆเดินลงไปยังถ้ำใต้ดินเบื้องล่าง
และมันก็ทำให้เด็กน้อยเหล่านั้นรู้สึกประหลาดใจซ้ำแล้วซ้ำอีกเมื่อเห็นหินงอกหินย้อยที่เรืองแสงสีรุ้งออกมาอย่างงดงามตระการตา
ฟางหยวนเดินอยู่ท่ามกลางฝูงชนอย่างเงียบๆ เขาสังเกตทุกสิ่งและรำพึงอยู่ในใจ ‘หลายร้อยปีมาแล้วที่ตระกูลแสงจันทร์ย้ายถิ่นฐานจากภาคกลางมายังภาคใต้หลังจากค้นพบทุ่งบุปผาวิญญาณภายในถ้ำแห่งนี้ และมันก็ทำให้เกิดหินวิญญาณคุณภาพสูงขึ้นมา สามารถกล่าวได้ว่านี่คือรากฐานของหมู่บ้านแสงจันทร์บรรพกาลอย่างแท้จริง’
พวกเขาเดินลึกเข้าไปหลายร้อยก้าวภายในถ้ำอันกว้างใหญ่ก่อนจะพบกับลำธารใต้พิภพสายหนึ่งที่มีความกว้างถึงสิบเมตร อย่างไรก็ตามขณะนี้แสงสีรุ้งจากหินงอกหินย้อยกลับไม่ปรากฏให้เห็นอีก แต่ท่ามกลางความมืดมิด ลำธารใต้พิภพสายนั้นกลับส่องประกายระยิบระยับด้วยแสงสีฟ้าอ่อนราวกับทะเลดาวบนท้องฟ้าในยามค่ำคืน
สำหรับฝั่งตรงข้ามของลำธารปรากฏเป็นทุ่งดอกไม้อันงดงามและกว้างใหญ่
พวกมันคือกล้วยไม้จันทราที่ได้รับการดูแลเป็นอย่างดีจากตระกูลแสงจันทร์ กลีบดอกที่ดูเหมือนจันทร์เสี้ยวของพวกมันมีสีฟ้าอมชมพู ลำต้นของพวกมันงดงามราวกับหยก ขณะที่ตรงกลางดอกปรากฏไข่มุกที่ปลดปล่อยแสงอันอ่อนโยนออกมาอย่างแผ่วเบา พวกมันดูราวกับพรมสีฟ้าอมชมพูผืนใหญ่ที่ประดับไปด้วยไข่มุกสีขาวละมุนจำนวนนับไม่ถ้วน การได้เห็นพวกมันท่ามกลางความมืดสามารถสร้างความประทับใจที่ดีให้แก่ผู้พบเห็นได้อย่างง่ายดาย
‘กล้วยไม้จันทราเป็นสิ่งที่สามารถใช้ในการบ่มเพาะ ดังนั้นทะเลดอกไม้เหล่านี้จึงถือเป็นสมบัติล้ำค่าของตระกูลแสงจันทร์’ ฟางหยวนคิดกับตนเอง
“ว้าว น่ารักมาก”
“มันงดงามจริงๆ”
ดวงตาของเด็กหนุ่มสาวส่องประกายขึ้นด้วยความตื่นเต้นเมื่อพวกเขาเห็นดอกไม้เหล่านี้
“เอาล่ะ ฟังที่ข้ากำลังจะกล่าวให้ดี พวกเจ้าต้องเดินข้ามลำธารสายนี้ไปยังฝั่งตรงข้าม จงเดินไปให้ไกลที่สุดเท่าที่จะทำได้ แน่นอนว่ายิ่งไกลก็ยิ่งดี เข้าใจหรือไม่?” ผู้อาวุโสผมขาวกล่าว
“เข้าใจแล้ว”
แท้จริงแล้วก่อนที่พวกเขาจะมาที่นี่ พวกเขาเคยได้ยินคำบอกเล่าจากสมาชิกของตระกูลมาบ้างแล้ว เป็นที่ทราบกันดีว่ายิ่งพวกเขาเดินไปได้ไกลเท่าใด มันก็จะแสดงให้เห็นถึงพรสวรรค์ที่สูงส่งของพวกเขามากเท่านั้น
“เฉินเปา” ผู้อาวุโสผมขาวเรียกชื่อผู้เยาว์คนแรก
ลำธารสายนี้ค่อนข้างกว้างใหญ่แต่มันกลับไม่ลึก มันสูงขึ้นมาเพียงหัวเข่าของเด็กๆเท่านั้น
เฉินเปาข้ามลำธารและก้าวขึ้นไปยังฝั่งตรงข้ามอย่างง่ายดาย แต่เขากลับรู้สึกถึงแรงกดดันที่แผ่พุ่งออกมาจากทุ่งดอกไม้เบื้องหน้าราวกับมีกำแพงที่มองไม่เห็นขวางกั้นเส้นทางของเขาเอาไว้ เขาก้าวไปข้างหน้าอย่างยากลำบาก ขณะเดียวกันไข่มุกสีขาวละมุนที่อยู่ใต้เท้าของเขาก็ส่งจุดแสงสีขาวลอยขึ้นมาอยู่รอบตัวเขาก่อนที่พวกมันจะหายเข้าไปในร่างกายของเขาและทำให้เขารู้สึกดีขึ้นเล็กน้อย
เขากัดฟันและเดินหน้าต่อไปด้วยพลังใจทั้งหมด แต่หลังจากเดินไปได้เพียงสามก้าว เขาก็ไม่สามารถต่อต้านแรงกดดันที่มองไม่เห็นเหล่านั้นได้อีก
ผู้อาวุโสผมขาวถอนหายใจก่อนกล่าว “เฉินเปา สามก้าว ไม่สามารถเป็นผู้ใช้วิญญาณ! คนต่อไป จ้าวเซี่ย!”
เฉินเปาหน้าซีดและเดินข้ามลำธารกลับมาด้วยความมึนงง ไม่สามารถเป็นผู้ใช้วิญญาณหมายถึงเขาจะเป็นได้เพียงมนุษย์ธรรมดาและมีตำแหน่งต่ำที่สุดในตระกูล เฉินเปาล้มตัวลงพร้อมกับร่างกายที่สั่นเทา ความจริงข้อนี้ทำให้ความหวังของเขาพังทลายลงอย่างสมบูรณ์
เมื่อเห็นการแสดงออกที่น่าเวทนาของเฉินเปาและอีกคนที่กำลังข้ามลำธาร ช่วยไม่ได้ที่เด็กหนุ่มสาวเหล่านี้จะรู้สึกวิตกกังวลกับผลลัพธ์ของตนเอง
ไม่ใช่ทุกคนที่จะมีพรสวรรค์ในการเป็นผู้ใช้วิญญาณ โดยทั่วไปแล้วมีเพียงห้าในสิบคนเท่านั้นที่สามารถเป็นผู้ใช้วิญญาณ นี่คือข้อมูลที่ถูกเก็บรวบรวมไว้ตลอดหลายร้อยปีที่ผ่านมาของตระกูลแสงจันทร์ ผู้นำรุ่นแรกของตระกูลแสงจันทร์เป็นตำนานที่มีชื่อเสียง ด้วยระดับการบ่มเพาะของเขา ทายาทรุ่นหลังที่สืบทอดสายเลือดของเขาจึงมีพรสวรรค์ที่ค่อนขางสูงกว่าตระกูลอื่น อย่างไรก็ตามเมื่อเวลาผ่านไป โดยธรรมชาติแล้วสายเลือดที่ทรงพลังเหล่านั้นก็ค่อยๆจางหายไป
“จ้าวเซี่ย ไม่สามารถเป็นผู้ใช้วิญญาณ!”
ด้วยความล้มเหลวสองครั้งติดต่อกัน มันทำให้ใบหน้าของเด็กหนุ่มสาวที่เหลือมืดมนลงและน่าเกลียดขึ้นทุกขณะ แม้แต่ผู้นำตระกูลยังขมวดคิ้ว
ในเวลาต่อมาผู้อาวุโสผมขาวก็เรียกชื่อที่สาม “โม่เป่ย”
เด็กหนุ่มในชุดผ้าลินินเดินออกมาจากกลุ่มผู้เยาว์ เขามีรูปร่างสูงใหญ่และดูแข็งแรงกว่าเด็กคนอื่นๆ นอกจากนี้เขายังปลดปล่อยกลิ่นอายของผู้กล้าออกมา เขาข้ามลำธารและก้าวเข้าสู่ทุ่งดอกไม้อย่างรวดเร็ว
สิบก้าว...ยี่สิบก้าว...สามสิบก้าว...ในขณะเดียวกันจุดแสงสีขาวจากกล้วยไม้จันทราก็บินเข้าสู่ร่างกายของเขามากขึ้นเรื่อยๆ
ผู้คนทั้งหมดเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึงก่อนที่ผู้อาวุโสผมขาวจะสามารถเรียกสติกลับคืนมาและเปิดปากกล่าว “ดี! โม่เป่ย สามสิบหกก้าว พรสวรรค์นภาที่สอง! มานี่ มาให้ข้าตรวจสอบทะเลวิญญาณของเจ้า”
โม่เป่ยเดินย้อนกลับไปหาชายชรา จากนั้นชายชราผมขาวก็วางมือลงบนไหล่ของโม่เป่ยและปิดเปลือกตาลง หลังจากชั่วครู่เขาก็เปิดเปลือกตาขึ้นอีกครั้ง เขาพยักหน้าและเผยรอยยิ้มก่อนจะจดบันทึกบางสิ่งลงบนกระดาษ “โม่เป่ย ทะเลวิญญาณหกสิบส่วน”
พรสวรรค์ถูกแบ่งออกเป็นสี่ระดับได้แก่นภาที่หนึ่ง นภาที่สอง นภาที่สาม และนภาที่สี่
ผู้เยาว์ที่มีพรสวรรค์นภาที่สี่จะใช้เวลาบ่มเพาะสามปีเพื่อบรรลุเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับหนึ่ง พวกเขาจะกลายเป็นรากฐานของตระกูล
ผู้เยาว์ที่มีพรสวรรค์นภาที่สามจะใช้เวลาบ่มเพาะสองปีเพื่อบรรลุเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับสอง พวกเขาจะกลายเป็นกระดูกสันหลังของตระกูล
ผู้เยาว์ที่มีพรสวรรค์นภาที่สองจะใช้เวลาบ่มเพาะหกถึงเจ็ดปีเพื่อบรรลุเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับสาม พวกเขาจะกลายเป็นผู้อาวุโสของตระกูล
สำหรับผู้เยาว์ที่มีพรสวรรค์นภาที่หนึ่ง พวกเขาจะถูกพิจารณาว่าเป็นโชคลาภของตระกูลและจะได้รับการดูแลเอาใจใส่รวมถึงสามารถใช้ทรัพยากรทั้งหมดของตระกูลในการบ่มเพาะ หลังจากสิบปี พวกเขาจะสามารถบรรลุเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับสี่และจะกลายเป็นหนึ่งในผู้ท้าชิงตำแหน่งผู้นำตระกูลในอนาคต
ดังนั้นเมื่อโม่เป่ยแสดงพรสวรรค์นภาที่สองออกมา นั่นก็หมายความว่าเขาสามารถบรรลุเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับสามและจะกลายเป็นผู้อาวุโสของตระกูลในวันข้างหน้า สิ่งนี้ทำให้ผู้อาวุโสทั้งหมดรวมถึงผู้นำตระกูลสามารถถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“เป็นอย่างไรบ้าง หลานชายของข้าไม่เลวเลยใช่หรือไม่?” โม่เฉิน ผู้อาวุโสที่มีเส้นผมสีแดงกล่าวออกมาด้วยความภาคภูมิใจพร้อมกับรอยยิ้มยั่วยุ
อย่างไรก็ตามผู้อาวุโสคนอื่นๆกลับนิ่งเงียบและเพิกเฉยต่อโม่เฉินไปอย่างสิ้นเชิง นี่จึงทำให้รอยยิ้มของโม่เฉินแข็งค้างก่อนที่ใบหน้าของเขาจะเปลี่ยนเป็นน่าเกลียด
หนึ่งชั่วโมงผ่านไปปรากฏผู้เยาว์บางคนที่มีพรสวรรค์นภาที่สามและสี่อยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่แล้วพวกเขาไม่มีพรสวรรค์ที่จะเป็นผู้ใช้วิญญาณ
“เห้อ...สายเลือดของตระกูลค่อยๆเจือจางลงเรื่อยๆ หลายปีมานี้ไม่มีผู้ใดที่สามารถบรรลุเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับสี่ได้แม้แต่ผู้เดียว มีเพียงผู้นำตระกูลรุ่นที่สี่เท่านั้นที่กลายเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับห้า แต่สุดท้ายเขาก็จบชีวิตลงโดยไม่ได้ทิ้งทายาทเอาไว้ ดังนั้นตระกูลแสงจันทร์รุ่นหลังๆจึงอ่อนแอลงเป็นอย่างมาก” ผู้นำตระกูลคนปัจจุบันถอนหายใจ
เป็นเพียงเวลานี้ที่ผู้อาวุโสผมขาวประกาศชื่อของผู้เยาว์คนต่อไป “ซื่อเฉิน”
เมื่อได้ยินชื่อนี้ ผู้อาวุโสหลายคนก็หันหน้าไปทางผู้อาวุโสคนหนึ่งที่มีนามว่า ซื่อเหลียง
ซื่อเฉินเป็นหลานชายของผู้อาวุโสซื่อเหลียง อย่างไรก็ตามขณะนี้ใบหน้าของผู้อาวุโสซื่อเหลียงผู้นี้กลับเต็มไปด้วยเม็ดเหงื่อ ดูเหมือนเขาจะกังวลกับหลานของเขาเป็นอย่างมาก
ซื่อเฉินเดินไปได้สามสิบหกก้าวก่อนจะหยุดลงที่จุดนั่น
“พรสวรรค์นภาที่สอง!” ผู้อาวุโสผมขาวตะโกนเสียงดัง
ด้วยผลลัพธ์นี้ มันจึงช่วยไม่ได้ที่เด็กหนุ่มสาวทั้งหมดจะรู้สึกอิจฉา
“ฮ่าฮ่าฮ่า สามสิบหกก้าว สามสิบหกก้าว!” ซื่อเหลียงหัวเราะออกมาด้วยความภาคภูมิใจจากนั้นก็หันหน้าไปทางผู้อาวุโสผมแดงโม่เฉินด้วยการแสดงออกที่ท้าทาย
“ซื่อเฉิน...” ท่ามกลางฝูงชน ฟางหยวนลูบคางของตนและพึมพำเบาๆ จากความทรงจำของเขา หลังจากนี้ซื่อเฉินจะถูกตระกูลลงโทษ เนื่องจากตระกูลจับได้ว่าเขาใช้กลโกงในการตรวจสอบพรสวรรค์ เพราะแท้จริงแล้วเขามีพรสวรรค์เพียงนภาที่สามเท่านั้น
สำหรับฟางหยวน เขามีเล่ห์กลมากมายที่สามารถโกงพรสวรรค์ของเขาและมันยังสมบูรณ์แบบกว่าวิธีการอันตื้นเขินของซื่อเฉินผู้นี้อยู่มากนัก
แต่เขาไม่ทำ...เพราะ...
ประการแรก ฟางหยวนพึ่งเดินทางย้อนเวลากลับมาในคืนก่อนหน้าทำให้เขาไม่มีเวลาเตรียมตัว
ประการที่สอง แม้เขาจะโกงพรสวรรค์สำเร็จ เขาก็ยังไม่สามารถปลอมแปลงความเร็วในการบ่มเพาะของตน สุดท้ายความจริงก็จะปรากฏออกมาในที่สุด
อย่างไรก็ตามซื่อเฉินต่างออกไป ปู่ของเขา ซื่อเหลียง เป็นหนึ่งในสองผู้อาวุโสสูงสุดของตระกูล ดังนั้นเขาจึงสามารถช่วยเหลือและปกปิดความลับของหลานชายเอาไว้
‘ซื่อเหลียงเป็นศัตรูคู่อาฆาตของโม่เฉิน คนทั้งสองเป็นผู้อาวุโสที่มีอิทธิพลมากที่สุดในตระกูล เพื่อสะกดข่มฝ่ายตรงข้าม พวกเขาจึงต้องผลักดันบุตรหลานของตนอย่างเต็มความสามารถ และด้วยอำนาจของซื่อเหลียง เขาสามารถช่วยปิดบังความจริงเอาไว้ได้เป็นเวลานาน หากไม่ใช่เพราะเหตุการณ์ในวันนั้น ความจริงเรื่องนี้จะไม่มีวันถูกเปิดเผยออกมา’
ดวงตาของฟางหยวนส่องประกายขึ้น เขาเริ่มคิดหาวิธีใช้ประโยชน์จากสถานการณ์นี้
หากเขาเปิดเผยความลับนี้ออกไป เขาอาจได้รับรางวัลจากตระกูล แต่หากทำเช่นนี้เขาจะถูกกลั่นแกล้งโดยซื่อเหลียง
ดังนั้นในช่วงเวลานี้เขายังไม่สามารถเปิดเผยเรื่องนี้ออกไปเนื่องจากสถานะอันต่ำต้อยของเขา
อย่างไรก็ตามในขณะที่เขาจมอยู่ในห้วงแห่งความคิดของตนเอง เสียงของผู้อาวุโสผมขาวก็ดังขึ้น “ฟางหยวน!”