ตอนที่ 29 ล่าคนเดียว
หลี่ฉิงชานรีบถาม“เจ้ารู้วิธีเขียน เจ้าพึ่งจำได้?”
เสี่ยวอานพยักหน้าและให้หลี่ฉิงชานดูคำที่เขาเขียน
หลี่ฉิงชาน รู้แล้วว่ามีคนอื่นพยายามแทรกเข้ามาและพยายามที่จะฉกโสมวิญญาณออกไป เขาแข็งแกร่งมาก ตั้งแต่ที่เขาได้พบสมบัตินี้ เขาทำการผูกมัดไว้แล้วให้ไม่ยอมแพ้(ไม่แน่ใจว่าไอนั้นใช้วิชาอะไรไว้รึปล่าว)และจะหาวิธีที่จะหามันให้ได้อย่างแน่นอน
"ดูเหมือนว่าข้ายังคงต้องระมัดระวังนิดหน่อย ข้าไม่สามารถปล่อยข่าวลือใดๆออกไปได้ แต่เมื่อทักษะเหนือธรรมชาติของข้าก้าวไปอีกขั้นหนึ่งและบ่มเพาะความแข็งแกร่งของวัวตัวเดียวได้สำเร็จ ข้าไม่จำเป็นต้องกลัวใครอีกต่อไป”
โสมวิญญาณและเหล้าวิญญาณ จะไม่ได้มีผลดีอะไรหากแช่นานจนเกินไป หลี่ฉิงชานจะไม่สามารถย่อยได้ถ้ามันเข้มข้นเกินไป ดังนั้นหลี่ฉิงชานจึงเริ่มดื่มเหล้าวิญญาณครั้งแรกหลังจากที่รอเพียงสามถึงห้าวันเท่านั้น
มีกลิ่นแปลก ๆ กระจายอยู่ทั่วปากของเขา รสชาติไม่ได้รุนแรงมากมายอะไรแต่จางๆนิดหน่อย ทันใดนั้นพลังจิตวิญาณที่มากมายค่อยๆเริ่มแผ่ขยายไปในตัวเขา
เขาไม่กล้าแสดงความประมาทใดๆและเริ่มใช้ทักษะเหนือธรรมชาติย่อยปราณจิตวิญญาณ เขาค้นพบบ้างอย่างพร้อมกับความรู้สึกอันประหลาดใจที่น่ายินดีว่าผลของเหล้าจิตวิญญาณเพียงอึกเดียวดีกว่าการการดื่มเหล้าที่แช่ด้วยโสมธรรมดาหมดโถเสียอีก
ปราณแท้ภายในร่างเขาได้เติบโตขึ้นเป็นสองเท่า แม้ว่าโสมธรรมดาจะช่วยบำรุงแก่นแท้ชีวิตได้ แต่ก็เป็นเพียงเรื่องธรรมดาของมนุษย์เท่านั้นและมันไม่ได้มีผลกับปราณแท้ ขณะที่หมัดวัวอสูรเน้นการบ่มเพาะไปในด้านร่างกายไม่ได้เน้นบ่มเพาะทางด้านพลังปราณมากนัก ครั้งนี้จึงทำให้ความเร็วของปราณแท้ได้เติบโตอย่างรวดเร็วอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
แต่โสมวิญญาณนี้เป็นสมบัติของธรรมชาติอย่างแท้จริงและมันเป็นของที่ดีที่สุดอันหนึ่งเลยในการหล่อเลี้ยงปราณจิตวิญญาณ ดังนั้นจึงอาจมีผลแบบนี้ หากยังคงดำเนินเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆแบบนี้ ไม่นานก็จะทำให้เขาสามารถบรรลุอำนาจการปล่อยปราณแท้ออกไปโจมตีได้ เมื่อถึงเวลานั้นเขาสามารถเรียกตัวเองได้ว่า’เซียนโดยกำเนิด’(คำนี้เดียวดูอีกทีนะว่าจะเปลี่ยนไหมใช่คำนี้ไปก่อนครับ)
“พี่วัว ข้าเคยสาบานว่าจะดื่มไวน์ที่ดีทุกอย่างในโลก ข้าคิดว่าน่าจะใกล้สำเร็จแล้ว”หลังจากที่ได้ดื่มเหล้าจิตวิญญาณแล้วเหล้าอื่นๆจะไม่มีรสชาติใดๆอีกต่อไป
วัวสีเขียวหัวเราะ
ในตอนนี้จู่ๆมีเสียงดังออกมาข้างนอกประตูพร้อมด้วยเสียงเห่าของสุนัขหลายตัว เสือป่วยสีเหลืองได้พานักล่าในหมู่บ้านมาที่หน้าบ้านของหลี่ฉิงชานเพื่อจะชวนเขาขึ้นไปล่าสัตว์บนภูเขาในฤดูใบไม้ร่วงด้วยกัน
ฤดูใบไม้ร่วงเป็นฤดูยอดเยี่ยมสำหรับการล่าสัตว์ ไม่ใช่เพียงเฉพาะคนที่ต้องเตรียมอาหารเพื่อที่จะผ่านฤดูหนาวสัตว์ก็เหมือนกัน พวกเขาแต่ละคนจะได้กินจนเต็มอิ่ม
มันคือการชุมนุมที่สำคัญของหมู่บ้านม้า ครอบครัวใหญ่ๆและเผ่าจะจัดให้มีการล่าสัตว์ที่สำคัญในช่วงฤดูนี้ ไม่ใช่เพื่อจับเหยื่อแต่เพียงฝึกลูกศิษย์ลูกหลานของพวกเขาให้ต่อสู้กับฤดูใบไม้ร่วงที่แห้งแล้ง
เสือป่วยกล่าว“เจ้าได้เรียนรู้ทักษะของธนูแล้วแต่เจ้ายังไม่ได้เรียนรู้ถึงเต๋านักล่าที่แท้จริง เจ้าเพียงแค่ตามข้าเข้าไปในภูเขา!”ตั้งแต่ที่เขาได้ประมือกับหลี่ฉิงชานเมื่อครั้งก่อนเขาไม่ได้มองหลี่ฉิงชานเป็นเพียงเด็กรุ่นใหม่อีกต่อไป
หลี่ฉิงชานคิดเล็กน้อยและปฏิเสธในท้ายที่สุด“ขอบคุณที่มาชวนข้าท่านหัวหน้าแต่ข้าต้องการล่าด้วยตนเอง”
นักล่าคนอื่น ๆ เริ่มโต้เถียงกันก่อนที่เสือป่วยจะพูดอะไร
“อะไรนะ... ด้วยตัวเจ้าเอง?ไม่เพียงแต่เจ้าไม่เคยล่าเจ้าเองก็ยังไม่มีหมาล่าเนื้อที่ดี”
“เจ้าไม่กลัวสัตว์ป่าที่ดูร้ายบนภูเขาจริงๆรึ?”
แม้ว่าพวกเขาจะชื่นชมความสามารถของหลี่ฉิงชานที่สามารถฆ่าคนเก็บโสมทั้งเจ็ดลงได้ แต่พวกเขาไม่สามารถทนต่อความรู้สึกดูหมิ่นเช่นนี้ได้ เมื่อไปถึงพื้นที่บนภูเขาพวกเขาคือผู้ที่ชำนาญที่สุด
เสือป่วยยุแหย่เขา“การล่าสัตว์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการยิงธนูและความสามารถที่ดีเพียงอย่างเดียว”เขาได้นึกถึงคำพูดของปู่ซาง ‘หมาป่าเดียวดาย’
หลี่ฉิงชานยังคงส่ายหัว เขาเพียงต้องการที่จะเรียนรู้การยิงธนูเพื่อให้เขาสามารถฆ่าศัตรูได้และปกป้องตัวเอง สำหรับการล่าสัตว์มันไม่ได้จำเป็นขนาดนั้น
“เนื่องจากเขาต้องการไปด้วยตนเองเช่นนั้นปล่อยเขาไป เราจะได้เห็นว่าเขาจับอะไรได้บ้าง”
“ข้าพนันว่าเขาจะจับไม่ได้แม้แต่กระต่ายสักตัว ฮ่าฮ่าฮ่า”
หลี่ฉิงชานยิ้มอย่างเฉยเมย
ทันใดนั้นมีคนพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา“เจ้าได้กินอาหารของหมู่บ้านมานานแล้ว ตอนนี้เจ้าไม่เห็นด้วยที่จะปฏิบัติตามข้อตกลงนี้ เจ้าต้องการที่จะกินอาหารของพวกเราฟรีๆหรืออย่างไร”
วันนั้นอาหารและเครื่องดื่มทั้งหมดที่เอามาให้หลี่ฉิงชานนั้นถูกคนนำมาส่งด้วยคำสั่งของเสือป่วยสีเหลือง มันใช้ทรัพยากรของหมู่บ้านด้วยเช่นกัน เขายังคงกินอาหารและเล่นไปรอบๆ ดังนั้นจึงทำให้บางคนไม่พอใจ
เสือป่วยเป็นตำหนิชานคนนั้นทันที“ฉิงชานก็เป็นคนของหมู่บ้านเราเช่นกัน เจ้ายังมาต่อรองเพียงเพราะเรื่องอาหารแค่นี้?”
ท่าทีของหลี่ฉิงชานกลายเป็นเคร่งขรึมเขากุมมือและพูดว่า“ท่านหัวหน้า ท่านไม่จำเป็นต้องรู้สึกอึดอัดใจ ข้า หลี่ฉิงชาน แยกแยะระหว่างความคับข้องใจและความกตัญญูชัดเจน ข้าจะไม่เอาเปรียบใดๆเลยแม้แต่นิดเดียว ข้าจะหาอาหารที่ข้าได้กินไปตลอดระยะเวลาที่ข้าอยู่ในหมู่บ้านนี้มาให้เป็นสองเท่าอย่างแน่นอน”
“ฉิงชาน เจ้าไม่จำเป็นต้อง......”เสือป่วยสีเหลืองโกรธเจ้าคนที่พูดคำนั้นออกมาอย่างมาก ข้าพยายามอย่างเต็มที่ที่จะดึงดูดให้เขามาเข้าร่วมกับหมู่บ้าน แต่พวกเจ้ากลับจะไล่เขาออกไปแทนเพียงเพราะเนื้อไม่กี่ปอนด์
หลี่ฉิงชานไม่มีแผนที่จะรวมตัวไม่ว่าที่ใดก็ตาม เขาไม่ได้ต้องการและยังไม่มีอารมณ์ด้วย“ข้าได้ด้ยินว่ามีการแข่งขันกันในฤดูใบไม้ร่วงเพื่อดูว่านักล่าคนไหนจะล่าได้มากที่สุดและผู้ที่ชนะจะมีโชคดี ปีนี้ข้าอาจจะเข้าร่วมด้วย”
เสือป่วยไม่สามารถโน้มน้าวเขาได้ หลี่ฉิงชานได้เตรียมพร้อมแล้วและเขาก็เดินเข้าไปในภูเขาพร้อมกับธนูธรรมดาบนหลังเขาภายใต้การจ้องมองเยาะเย้ยของกลุ่มคนเหล่านั้น
นักล่าเดินไปที่ภูเขาทางเหนือ แต่หลี่ฉิงชานไม่ต้องการที่จะไปรวมกับพวกเขา ด้านตะวันตกมีภูเขานับแสน เขาเข้าใจความลึกลับของโลกนี้แล้วและยังไม่พร้อมที่จะรับความเสี่ยงใดๆ แต่ทางทิศใต้คือยอดเขาโบราณสีขาวซึ่งเป็นดินแดนที่มีข้อพิพาทเพราะฉะนั้นเขาจึงไปได้แต่ทางทิศตะวันออกเท่านั้น
บนเขาโบราณสีขาว....กลุ่มชายที่มีดาบยาวและมีเครื่องแต่งกายที่เหมือนกัน ชายผู้ที่นำพวกเขาเหล่านี้คือชายหนุ่มที่ฆ่าคนเก็บโสมในวันนั้นและเกือบที่จะได้โสมวิญญาณ
“มองหามัน ไม่ว่าจะเจ้าจะใช้วิธีไหนก็ตามต้องหาโสมวิญญาณให้เจอ แม้จะต้องพลิกคว่ำภูเขาลูกนี้ก็ต้องทำ!”
“รับทราบ นายน้อย!”ทั้งกลุ่มตอบพร้อมกัน พวกแสดงทักษะการเคลื่อนไหวที่ช่ำชองและกวาดต้อนไปทั่วทุกมุมของภูเขาสีขาวโบราณ
หลี่ฉิงชาน เดินลึกเข้าไปในป่าเขา เขาไม่รู้ว่าจะแยกแยะร่องรอยของนกและสัตว์ป่าได้อย่างไร ไม่รู้แม้แต่วิธีการปกปิดร่องรอยของตัวเอง เขายังไม่เข้าใจวิธีวางกับดักเช่นกันและเขาก็ไม่ได้ร่วมมือกับนักล่าคนอื่นๆ ไม่มีแม้แต่หมาล่าเนื้อมากับเขา
ถ้าจะบอกว่าคนแบบนี้อยากจะเป็นนักล่า นัาล่าทุกคนคงจะหัวเราะ
อย่างไรก็ตามเขาสงบนิ่งและมีสติ เขานั่งสมาธิลงบนกองไม้กลางภูเขาและลืมตาของเขาขึ้นเมื่อพลบค่ำ เขาพูดพร้อมกับรอยยิ้ม“เสี่ยวอาน!”
ลมหนาวเย็นได้พัดผ่านป่าครู่หนึ่งจากนั้นมันก็พัดกลับมาหาเขา หลี่ฉิงชานยืนขึ้นและเดินเข้าไปในป่า ในเวลาไม่นานนักเขาก็พบกวางที่ตายแล้วไม่มีร่องลอยแผลบนร่างกายแม้แต่นิดเดียว
หลังจากที่เสี่ยวอานได้มีพลังมากขึ้น ความเย็นที่มืดมิดในร่างกายของเขาพลันกลายเป็นรุณแรงขึ้นเมื่อเขาเจอกวางตัวนี้เขาก็กระโจนลงบนร่างของมันและกวางก็ตายลงโดยที่ยังไม่รู้ตัวทันที
หลี่ฉิงชานยิ้ม“เสี่ยวอาน เมื่อเจ้าอยู่ที่นี้ ข้าไม่ต้องเสียเวลาไปเรียนทักษะการล่าสัตว์ ตั้งแต่ที่พวกเขามองมาที่ข้าด้วยสายตาดูถูก ฮ่าฮ่าฮ่า เรามาจับเหยื่อแล้วไปให้พวกเขาดูกัน!”
นับตั้งแต่เทศกาลกลางฤดูใบไม้ร่วง หลี่ฉิงชานไม่ได้ปล่อยให้เสี่ยวอานเป็นอิสระมากแต่ให้มาฝึกซ้อมเพื่อควบคุมเพียงเล็กน้อยแทน ในปัจจุบันเขาใช้เสี่ยวอานโดยไม่มีความอ่อนน้อมเลยแม้แต่นิดเดียว หนึ่งในกฎธรรมชาติ ไม่จำเป็นต้องมีมารยาทมากกับคนที่สนิทใกล้ชิดกัน
เสี่ยวอานพยักหน้าอย่างตื่นเต้น และเขาได้เหวี่ยงตนเองเข้าไปในป่าราวกับลมกระโชกอีกครั้ง
แม้ว่าสัตว์ป่าในภูเขาจะตื่นตัวพวกมันก็ไม่ทางที่จะต่อกรกับผีน้อยตนนี้ที่ไม่มีแม้แต่เงาหรือรูปร่างได้ พวกมันต่างล้มตายต่อจากกันรอให้หลี่ฉิงชานมาเก็บศพพวกมันหลังจากนี้
หลี่ฉิงชาน เริ่มรู้สึกเบื่อและเริ่มฝึกยิงธนูของเขา เขาเริ่มฝึกยิงนกที่ตื่นตกใจในป่า การยิงเป้าเคลื่อนที่เป็นเรื่องยากมากและลูกศรทั้งสามที่ยิงไปก็ไม่โดนอะไรเลย แต่เมื่อเขาค่อยๆเริ่มดัดแปลง จำนวนของลูกศรที่เขายิงไม่โดนก็เริ่มน้อยลง
ช่วงเช้าตรู่ในหมู่บ้านม้า นักล่าบางคนได้ลงมาจากภูเขา ในขณะที่กลุ่มใหญ่ยังคงร่วมกันล่าบนภูเขา ในจุดที่ว่างๆกลางหมู่บ้าน ปู่ซางมีตำแหน่งสูงและมีความรับผิดชอบเกี่ยวกับจัดการอาหารที่อยู่ในคลัง ใบหน้าทีเคร่งขรึมของเขาเผยให้เห็นรอยยิ้มจางๆ“ผลผลิตไม่เลว นี้เป็นลางดี” จากนั้นเขาปล่อยให้เด็กผู้หญิงและเด็กทิ้งไว้เพื่อจัดการการแข่งขัน ตากหนังสัตว์และหมักเนื้อ
“เจ้าฉิงชาน ยังไม่กลับมาอีกรึ?” มีบางคนที่ไม่สามารถรอที่จะหัวเราะหลี่ฉิงชานได้อีกแล้ว
“เขาเข้าไปล่าสัตว์ในภูเขาคนเดียว เขาจะกลับมาได้เร็วขนาดนั้นได้ยังไง”
เสียงพูดคุยไม่ได้เบาลงเลยแม้แต่น้อย จากนั้นไม่นานนักก็มีบางคนพูดขึ้นมา“หลี่ฉิงชาน กลับมาแล้ว”
“อะไร อะไรนะ?” หลายคนมองไปที่ทิศทางที่เสียงมา สิ่งที่พวกเขามองเห็นครั้งแรกไม่ใช่คนแต่เป็นปีศาจที่ปกคลุมไปด้วยขนปุกปุยราวกับคนเถื่อนในตำนาน
หลี่ฉิงชานกำลังแบกกวางและอีกหลายอย่างที่ตัวใหญ่ที่มีน้ำหนักหลายร้อยปอนด์ในขณะที่สะโพกของเขาเต็มไปด้วยกระต่ายป่าและไก่ฟ้าที่แขวนอยู่
การที่รีบลงเขามาเช่นนี้ทำให้ร่างกายของเขาเปียกโชกไปด้วยเหงื่อ เขาพูดด้วยความยากลำบาก“นี่ เสี่ยวอาน มันไม่มากไปหน่อยเหรอ มันหนักมากข้ากำลังจะตาย!!”
เสี่ยวอานนั่งอยู่บนเหยื่อที่เขาล่ามาได้และปิดปากขำเบาๆ เขามองย้อนกลับไป ทางด้านตะวันออกกำลังสว่างไสวขึ้นเล็กน้อยเขาจึงรีบพุ่งกลับเข้าไปในแผ่นไม้ก่อนที่แสงแรกยามเช้าจะสาดส่องมา
อึ้งไปตามสูตร
ฝากไลคเพจด้วยนะค้าบบบLegend of the Great Saint ครับ^^