เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 3 จงเพลิดเพลินไปกับเส้นทางของพวกเจ้า (อ่านฟรี)
เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 3 จงเพลิดเพลินไปกับเส้นทางของพวกเจ้า
แปลโดย iPAT
“เคร้ง เคร้ง เคร้ง...”
ยามรักษาการณ์ตีระฆังบอกเวลาและปลุกให้ฟางหยวนตื่นขึ้นจากห้วงนิทรา ‘ยังมีเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงก่อนดวงอาทิตย์จะขึ้น’
เขาเอนกายอยู่บนเตียงและคิดถึงแผนการต่างๆมาตลอดทั้งคืน บางทีเขาอาจจะหลับไปเพียงสองชั่วโมงเท่านั้น แต่เนื่องจากร่างกายของเขาในเวลานี้ยังไม่ได้เริ่มบ่มเพาะ ดังนั้นความเหนื่อยล้าจึงพุ่งเข้าโจมตีเขาอย่างรุนแรง
อย่างไรก็ตามในห้าร้อยปีของชีวิตก่อนหน้า เขาเคยก้าวข้ามความยากลำบากมามากมายและต้องอดทนกับความทุกข์ทรมานมาแล้วทุกชนิด ดังนั้นความเหนื่อยล้าเล็กๆน้อยๆจึงไม่ถือเป็นสิ่งใดสำหรับเขา
เมื่อเขาดึงผ้าห่มออกและผุดลุกขึ้น เขาก็พบว่าฤดูใบไม้ผลิได้ผ่านพ้นไปแล้ว
แสงอรุณเริ่มเล็ดลอดขึ้นจากขอบฟ้าสีน้ำเงินเข้ม แม้จะยังไม่สว่างแต่ก็ไม่ได้มืดมิดอีกต่อไป กลิ่นอายของผืนแผ่นดิน ต้นไม้ และดอกไม้ป่าลอยคละคลุ้งขึ้นมาทักทายเขาในยามเช้าตรู่ ความสดชื่นชนิดนี้ทำให้เขารู้สึกหายง่วงไปอย่างสิ้นเชิง
เมื่อมองไปยังเคหสถานที่ทำจากไม้สีเขียวและน้ำตาลที่กลมกลืนไปกับภูเขาน้อยใหญ่ มันดูราวกับคลื่นสมุทรสีเขียวที่ทอดตัวยาวไปจนสุดสายตา
บ้านเรือนที่ปลูกสร้างขึ้นที่นี่ส่วนใหญ่มีโครงสร้างที่เป็นเอกลักษณ์ของชาวเขา พวกมันถูกยกพื้นให้สูงขึ้นด้วยเสาขนาดใหญ่และถูกต่อเติมขึ้นไปอีกหลายชั้นเพื่ออยู่อาศัย สำหรับฟางหยวนกับฟางเจิ้ง พวกเขาพักอยู่ในห้องชั้นที่สอง
“นายน้อยฟางหยวน ท่านตื่นหรือยังเจ้าคะ บ่าวจะยกน้ำขึ้นไปให้ท่านล้างหน้าบนชั้นสองนะเจ้าคะ” เสียงสาวใช้ดังขึ้นมาจากชั้นล่าง
เมื่อมองลอดช่องหน้าต่างลงไป ฟางหยวนก็พบกับหญิงรับใช้ส่วนตัวของเขา เฉินซุ้ย
รูปลักษณ์ของนางดูธรรมดาแต่การแต่งกายของนางค่อนข้างดูดี เฉินซุ้ยอยู่ในชุดคลุมยาวสีเขียว เส้นผมที่ดำขลับของนางม้วนเป็นมวยและเสียบไว้ด้วยปิ่นปักผม ที่ข้อมือของนางยังสวมใส่ไว้ด้วยกำไลมุกหลายชิ้น โดยรวมแล้วจุดเด่นของนางคือความเยาว์วัยและความมีชีวิตชีวา นางมองขึ้นมาบนห้องของฟางหยวนอย่างมีความสุขขณะเดียวกันก็ยกอ่างน้ำเดินขึ้นมายังชั้นสอง
ฟางหยวนล้างหน้าด้วยน้ำอุ่น จากนั้นจึงบ้วนปากและใช้กิ่งหลิวพร้อมกับเกลือหิมะทำความสะอาดฟันของเขา
เฉินซุ้ยเฝ้ามองด้วยรอยยิ้มสดใสที่ดูราวกับฤดูใบไม้ผลิ หลังจากนั้นนางก็เข้าไปช่วยฟางหยวนผลัดเปลี่ยนเสื้อผ้าโดยพยายามใช้หน้าอกอันอวบอูมของนางถูแผ่นหลัง สัมผัสแขน ชนข้อศอกของฟางหยวนตลอดเวลา
อย่างไรก็ตามไม่มีการเปลี่ยนแปลงบนใบหน้าของฟางหยวน หัวใจของเขายังสงบนิ่งราวกับผิวน้ำที่ไร้ระลอกคลื่น
เพราะหญิงสาวผู้นี้ไม่ใช่สิ่งใดนอกจากเป็นหูตาของลุงกับป้าและเป็นหญิงไร้หัวใจที่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวเท่านั้น ในชีวิตก่อนหน้า นางมักจะยั่วยวนเขาเสมอ แต่หลังจากพรสวรรค์อันสามัญธรรมดาของเขาเปิดเผยออกมา สายตาของนางที่มองมาที่เขาก็เปลี่ยนเป็นรังเกียจไปในทันที
เมื่อฟางเจิ้งเข้ามาและพบว่าเฉินซุ้ยกำลังช่วยฟางหยวนเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างใกล้ชิดสนิทแนบ ดวงตาของฟางเจิ้งก็ปรากฏร่องรอยของความหึงหวงออกมาอย่างชัดเจน
แม้ว่าฟางเจิ้งจะมีสาวใช้ส่วนตัวเช่นกัน แต่คนรับใช้ของเขากลับไม่ใช่หญิงสาวแรกรุ่นเช่นเฉินซุ้ย ตรงข้าม คนรับใช้ของเขาเป็นหญิงแก่หนังเหี่ยวไขมันอุดตันที่ดูน่าเกลียดผู้หนึ่ง
‘ข้าสงสัยว่าหากวันหนึ่งเฉินซุ้ยปฏิบัติเช่นนี้ต่อข้าบ้าง มันจะเป็นอย่างไร?’ ฟางเจิ้งลอบคิดอยู่ภายในใจ
ความลำเอียงของลุงกับป้าเป็นสิ่งที่ทุกคนตระหนักดี แรกเริ่มฟางเจิ้งไม่แม้แต่จะมีคนรับใช้ แต่เป็นฟางหยวนที่เอ่ยปากขอคนรับใช้ให้แก่น้องชายผู้นี้
แม้จะมีความแตกต่างด้านสถานะ แต่ฟางเจิ้งก็ไม่เคยดูถูกเฉินซุ้ย นั่นเป็นเพราะมารดาของเฉินซุ้ยมีบุญคุณต่อลุงกับป้าของพวกเขา มารดาของเฉินซุ้ยเป็นแม่บ้านใหญ่ของที่นี่และเป็นคนสนิทที่ลุงกับป้าของพวกเขาไว้วางใจมากที่สุด
“เอาล่ะ ไม่จำเป็นต้องเรียบร้อยมากเกินไป” ฟางหยวนปัดมือของเฉินซุ้ยออกไปจากตัวเขาเบาๆ ในขณะที่นางยังพยายามทำตัวใกล้ชิดเขาต่อไป
ในความคิดของเฉินซุ้ย หากนางได้เป็นภรรยาน้อยของฟางหยวนผู้มีพรสวรรค์อันสูงส่ง ชีวิตของนางจะยกระดับขึ้นจากสาวใช้ไปสู่บางสิ่งที่ดีกว่าได้อย่างง่ายดาย
ชีวิตก่อนหน้าฟางหยวนถูกล่อลวงโดยนางและมีความรู้สึกดีๆต่อนาง แต่หลังจากกำเนิดใหม่ แน่นอนว่าหัวใจของเขากลายเป็นเย็นชาราวกับก้อนน้ำแข็งที่ไม่มีวันถูกหลอมละลาย
“เจ้าออกไปได้แล้ว” ฟางหยวนไม่แยแสนางเลยแม้แต่น้อย นี่ทำให้นางรู้สึกขุ่นเคืองอยู่ภายในกับพฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงไปของเขาในวันนี้ นางต้องการกล่าวบางคำแต่เมื่อนางเห็นความเย็นชาของฟางหยวน ปากของเธอก็ไม่สามารถเอ่ยคำใดออกมาได้นอกจาก “เจ้าค่ะ” และล่าถอยออกไปอย่างเชื่อฟังเท่านั้น
“เจ้าพร้อมหรือยัง?” ฟางหยวนถามฟางเจิ้ง
เมื่อได้ยินคำถามของฟางหยวน น้องชายของเขาที่ยืนอยู่หน้าประตูห้องพร้อมกับศีรษะที่ก้มต่ำลงจึงได้เปิดปากและส่งเสียงออกมาอย่างแผ่วเบาว่า “อืม” แท้จริงแล้วฟางเจิ้งตื่นขึ้นมาตั้งแต่ตีสี่และไม่สามารถข่มตาหลับได้อีกด้วยความกังวลใจ เขาลุกขึ้นจากเตียงและเตรียมพร้อมรออยู่นานแล้ว
ฟางหยวนพยักหน้า ในชีวิตก่อนหน้าเขาไม่เข้าใจความคิดของน้องชายผู้นี้ อย่างไรก็ตามเมื่อย้อนเวลากลับมาพบกันอีกครั้ง แล้วเขาจะไม่เข้าใจความคิดของฟางเจิ้งได้อย่างไร แต่ถึงกระนั้นมันก็ไม่มีความหมายใดๆต่อเขาอีกแล้ว “เช่นนั้นก็ไปกันเถอะ”
คู่พี่น้องเดินออกจากบ้าน ระหว่างทางพวกเขาได้พบกับผู้เยาว์มากมายที่มุ่งหน้าไปยังทิศทางเดียวกัน
“นั่นพี่น้องแซ่ฟาง” หัวข้อสนทนาเล็กๆน้อยๆดังขึ้น “คนที่เดินนำหน้าคือฟางหยวน เขาคือฟางหยวนผู้ประพันธ์บทกวีล้ำสมัยเหล่านั้น”
“ต้องใช่เขาอย่างแน่นอน ใบหน้าของเขาเย็นชาไร้อารมณ์ราวกับไม่เคยเห็นผู้ใดอยู่ในสายตาดังเช่นข่าวลือ”
“ฮืม หากเจ้ามีพรสวรรค์เหมือนเขา เจ้าก็จะสามารถทำตัวเย็นชาแบบเขาได้เช่นกัน”
ฟางเจิ้งฟังบทสนทนาเหล่านี้ด้วยใบหน้ามืดมน แต่เขาก็คุ้นชินกับการพูดคุยในลักษณะนี้ของคนอื่นๆมานานแล้ว ดังนั้นเขาจึงตอบสนองด้วยการก้มหน้าและเดินตามพี่ชายของเขาไปเท่านั้น
แสงแดดสาดส่องลงมาที่ฟางหยวนและสร้างเงาดำขนาดใหญ่ขึ้นทาบทับใบหน้าของฟางเจิ้งเอาไว้ทั้งหมด แม้ดวงอาทิตย์จะเผยตัวขึ้นสู่ท้องฟ้าและมอบความสว่างไสวให้กับโลกใบแล้วแต่ฟางเจิ้งกลับรู้สึกราวกับกำลังเดินอยู่ในถ้ำอันมืดมิดและไร้จุดสิ้นสุด
ความมืดมิดนี้ถูกสร้างขึ้นโดยพี่ชายของเขาและเขาก็ไม่รู้ว่าชีวิตนี้เขาจะสามารถก้าวออกไปจากเงามืดนี้ได้หรือไม่
มันเป็นความรู้สึกกดดันที่ทำให้เขารู้สึกหายใจได้อย่างยากลำบาก แต่หากจะกล่าวให้ถูกต้องกว่านั้น เขาก็นึกไปถึงคำว่าหายใจไม่ออก
‘บทสนทนาเหล่านี้เป็นตัวอย่างที่ดีของคำกล่าวที่ว่า ผู้ที่มีพรสวรรค์อันโดดเด่นสามารถก่อกำเนิดแรงอิจฉาได้อย่างง่ายดาย’ ฟางหยวนยิ้มเยาะต่อเสียงซุบซิบนินทาของผู้คนรอบข้าง
และไม่ต้องสงสัยเลยว่าเมื่อพรสวรรค์นภาที่สามของเขาถูกเปิดเผยออกมา ผู้คนเหล่านี้จะเปลี่ยนไปเป็นศัตรูและมองเขาด้วยสายตาที่เย็นชา ขณะเดียวกันก็จะมอบความทุกข์ทรมานให้แก่เขาต่อไปอีกเป็นเวลานาน
สำหรับฟางเจิ้ง ยิ่งเขาได้ยินเสียงวิพากษ์วิจารณ์มากขึ้นเท่าใด เขาก็ยิ่งรู้สึกหดหู่ใจมากขึ้นเท่านั้น และนี่ก็เป็นครั้งแรกที่ฟางหยวนสามารถมองเห็นความรู้สึกที่เก็บกดอยู่ภายในหัวใจของน้องชายผู้นี้ได้อย่างชัดเจน แน่นอนว่าความสามารถในการมองทะลุจิตใจของผู้คนเกิดจากประสบการณ์ห้าร้อยปีของเขานั่นเอง
ฟางหยวนนึกถึงแผนการอันแยบยลของลุงกับป้า ด้านหนึ่งคนทั้งสองใช้เฉินซุ้ยเข้ามาตีสนิทและสอดแนมเขา อีกด้านหนึ่งพวกเขาก็พยายามปลุกปั่นความเศร้าและขุ่นเคืองใจให้แก่ฟางเจิ้งเพื่อกระตุ้นให้เกิดความแตกแยก
คนส่วนใหญ่มักไม่สนใจว่าผู้อื่นจะได้รับผลกระทบหรือพบปัญหาเช่นไรจากการกระทำของพวกเขา พวกเขาจะสนใจเพียงผลประโยชน์ของตนเองเท่านั้น
ชีวิตก่อนหน้าฟางหยวนยังอ่อนประสบการณ์เกินไปขณะที่น้องชายของเขาก็โง่เขลาเกินไป ดังนั้นสุดท้ายลุงกับป้าจึงประสบความสำเร็จกับแผนการที่ชั่วร้ายของพวกเขา
สำหรับชีวิตนี้ แม้ความยุ่งยากหลังพิธีเผยลิขิตสวรรค์จะไม่สามารถเปลี่ยนแปลง แต่ด้วยความรู้และภูมิปัญญาของฟางหยวน เขามั่นใจว่าสิ่งต่างๆจะเปลี่ยนแปลงไป
น้องชายของเขาจะต้องถูกกำหราบ เฉินซุ้ยจะต้องคลานเข่าเข้ามาขอเป็นนางสนมน้อยๆของเขา สำหรับลุงกับป้าและผู้อาวุโสของตระกูล เขามีวิธีมากมายที่จะทรมานผู้คนเหล่านี้อย่างสาสม
‘แต่ข้าไม่รู้สึกอยากทำเช่นนั้น...’ ฟางหยวนถอนหายใจ
แม้จะเป็นน้องชาย แล้วอย่างไร หากไร้ซึ่งความรักความจริงใจก็ไม่ต่างจากคนแปลกหน้า สำหรับคนที่ละทิ้งเขา เขาก็เพียงต้องละทิ้งคนเหล่านั้นไปเท่านั้น
แม้เฉินซุ้ยจะเติบโตขึ้นเป็นหญิงงาม แล้วอย่างไร หากปราศจากความรักและความซื่อสัตย์ นางก็เป็นเพียงหนังหุ้มกระดูกที่เดินได้เท่านั้น แล้วเขายังต้องให้นางเข้ามาเป็นนางสนมน้อยๆในฮาเร็มของเขาอีกงั้นหรือ? แน่นอนว่านางไม่คู่ควร!
สุดท้าย ลุงกับป้าและเหล่าผู้อาวุโส? ทุกคนต่างเดินทางท่องเที่ยวไปบนเส้นทางชีวิตของตนเอง แล้วเหตุใดเขาต้องเสียเวลาและสิ้นเปลืองพลังงานไปกับคนเหล่านี้? ได้ประโยชน์อันใด? มันไม่คุ้มค่าที่จะเสียเวลาก้าวเข้าไปเหยียบย่ำพวกเขา
‘หึ’
‘ตราบเท่าที่พวกเจ้าไม่เข้ามากีดขวางเส้นทางของข้า พวกเจ้าก็สามารถเพลิดเพลินไปกับเส้นทางของตนเองได้อย่างสะดวกสบาย...ข้าไม่สนใจ...’