ตอนที่แล้วเทพปีศาจหวนคืน บทที่ 1 หัวใจปีศาจไม่เคยเกรงกลัวแม้แต่ความตาย (อ่านฟรี)
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปเทพปีศาจหวนคืน บทที่ 3 จงเพลิดเพลินไปกับเส้นทางของพวกเจ้า (อ่านฟรี)

เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 2 หวนคืนด้วยความรู้ห้าร้อยปี (อ่านฟรี)


เทพปีศาจหวนคืน บทที่ 2 หวนคืนด้วยความรู้ห้าร้อยปี 

แปลโดย iPAT 

ตำนานกล่าวว่าสายธารแห่งกาลเวลาเป็นสิ่งค้ำจุนให้โลกสามารถเดินหน้าต่อไป แต่ด้วยวิญญาณกาลเวลา คนผู้หนึ่งกลับสามารถเดินทางย้อนห้วงแห่งวัฏสงสารทั้งปวงและหวนคืนสู่อดีตได้อย่างน่าอัศจรรย์

มีเรื่องเล่าขานมากมายที่ทั้งสนับสนุนและโต้แย้ง บางคนไม่เชื่อและบางคนก็ตั้งข้อสงสัย มีผู้คนเพียงน้อยนิดที่เชื่อว่ามันมีอยู่จริง

ด้วยความจริงที่ว่าหากผู้ใดต้องการใช้พลังอำนาจของวิญญาณกาลเวลา คนผู้นั้นต้องจ่ายค่าตอบแทนด้วยชีวิตและระดับการบ่มเพาะทั้งหมดของตน

แน่นอนว่ามันเป็นราคาที่แพงเกินไปซึ่งไม่มีผู้ใดกล้าจ่าย นอกจากนี้สิ่งที่ทำให้ทุกคนไม่สามารถยอมรับได้ก็คือหลังจากที่พวกเขาจ่ายค่าธรรมเนียมไปแล้วก็ยังไม่มีผู้ใดสามารถรับรองได้ว่าผลลัพธ์จะเป็นเช่นไร

ดังนั้นแม้จะมีวิญญาณกาลเวลาอยู่จริงแต่ก็ไม่มีผู้ใดกล้าใช้และไม่เคยมีผู้ใดใช้งานมันมาก่อน

สำหรับฟางหยวน หากเขาไม่ได้อยู่ในสถานการณ์คับขัน เขาก็ไม่คิดที่จะใช้มันอย่างเร่งด่วนเช่นนี้ อย่างไรก็ตามไม่ว่าฟางหยวนจะเชื่อหรือไม่ ความจริงก็ปรากฏอยู่ต่อหน้าเขาแล้ว เขาเกิดใหม่จริงๆ!

‘อนิจจา...ข้าเสียเวลามากมายไปกับความพยายามอันไร้สาระ ฆ่าสิ่งมีชีวิตนับล้าน สร้างความขุ่นเคืองให้แก่สวรรค์พิภพ ปลุกระดมผู้คนให้ลุกขึ้นมาแก้แค้น ข้าต้องผ่านความยากลำบากมากมายเพียงเพื่อหลอมรวมวิญญาณดวงหนึ่ง’ ฟางหยวนถอนหายใจ เพราะกระทั่งเขาจะสามารถกำเนิดใหม่ แต่วิญญาณกาลเวลาไม่ได้ติดตามเขามาด้วย

มีคำกล่าวที่ว่ามนุษย์คือจิตวิญญาณของสิ่งมีชีวิตทั้งหมดขณะที่วิญญาณเป็นแก่นแท้แห่งสวรรค์พิภพ

วิญญาณมีอยู่มากมายและหลากหลายรูปแบบจนมิอาจนับได้ถ้วน มันทั้งแปลกประหลาดและลึกลับ วิญญาณบางดวงสามารถปลดปล่อยพลังของมันออกมาได้ครั้งเดียวขณะที่บางดวงก็ปลดปล่อยพลังออกมาได้หลายครั้งก่อนจะแตกดับไป

สำหรับวิญญาณกาลเวลา มันเป็นบางสิ่งที่สามารถใช้งานได้เพียงครั้งเดียวก่อนที่จะอันตรธานหายไปอย่างลึกลับ

‘แม้มันจะหายไป แล้วอย่างไร? ไม่ใช่ว่าข้าสามารถหลอมรวมได้งั้นหรือ? ชีวิตก่อนข้าเคยทำได้ แล้วเหตุใดชีวิตนี้ข้าจะทำมันอีกครั้งไม่ได้?’ เมื่อคิดได้เช่นนี้ ความเสียใจจากการสูญเสียวิญญาณกาลเวลาก็มลายหายไปจนสิ้น หัวใจของเขากระทั่งถูกเติมเต็มด้วยเปลวไฟแห่งความทะเยอทะยานและความปรารถนา

แม้เขาจะสูญเสียวิญญาณกาลเวลา แต่เขาก็ได้เกิดใหม่ นอกจากนี้เขายังมีสมบัติล้ำค่าบางอย่างที่ติดตามเขามาด้วย

นั่นก็คือความทรงจำและประสบการณ์ตลอดห้าร้อยปีของเขา!

ดังนั้นมันก็ไม่ได้แย่เกินไปมิใช่หรือ?

อย่างน้อยความทรงจำของเขาก็เต็มไปด้วยสมบัติล้ำค่าที่ยังไม่มีผู้ใดค้นพบในช่วงเวลานี้ ทุกเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ รวมถึงการคงอยู่ของบุคคลสำคัญซึ่งบางคนก็ซ่อนเร้นความสามารถ บางคนก็เป็นอัจฉริยะหาใดเปรียบ บางคนกระทั่งยังไม่ถือกำเนิดขึ้นในเวลานี้ สิ่งสำคัญที่สุดก็คือความรู้ในการบ่มเพาะและประสบการณ์ในการต่อสู้ตลอดห้าร้อยปีที่ผ่านมายังคงแจ่มชัดอยู่ในห้วงสำนึกของเขา

ด้วยความทรงจำเหล่านี้ เขาจะสามารถเปลี่ยนสถานการณ์และฉกฉวยโอกาส ด้วยการวางแผนที่ดี เขาจะสามารถก้าวไปได้ไกลกว่าชีวิตก่อนหน้าอย่างไม่ต้องสงสัย

‘แต่ข้าควรเปลี่ยนแปลงสิ่งใดบ้าง?’ ฟางหยวนยืนรวบรวมความคิดอยู่ริมหน้าต่างและเผชิญหน้ากับละอองฝนในค่ำคืนที่ชุ่มฉ่ำอยู่เป็นเวลานาน

อย่างไรก็ตามยิ่งเขาคิดมากเท่าใด คิ้วของเขาก็ยิ่งขมวดแน่นเท่านั้น ห้าร้อยปีเป็นระยะเวลาที่ยาวนานเกินไป มีหลายสิ่งหลายอย่างที่เขาเองก็ยังไม่สามารถจดจำได้ แม้จะเป็นสถานที่เก็บสมบัติลับที่เขายังจำได้ดี แต่บางอย่างก็ต้องรอให้ถึงเวลาที่เหมาะสม และบางสถานที่ก็จะเผยตัวออกมาในช่วงเวลาที่กำหนดเท่านั้น

‘เรื่องเร่งด่วนที่สุดก็คือการบ่มเพาะ ตอนนี้ข้ายังไม่แม้แต่จะมีทะเลวิญญาณอยู่ในร่างกาย ข้ายังไม่ได้เริ่มเข้าสู่เส้นทางของผู้ใช้วิญญาณและยังเป็นเพียงมนุษย์ธรรมดาผู้หนึ่ง ดังนั้นข้าต้องรีบบ่มเพาะและสร้างรากฐานให้กับตนเองเพื่อเอาชนะประวัติศาตร์และคว้าสิ่งที่ดีที่สุดมาครอบครอง’

ไม่ควรลืมว่าการเข้าไปในสถานที่เก็บสมบัติล้ำค่าต่างๆโดยปราศจากรากฐานของแข็งแกร่ง มันก็เหมือนกับเด็กน้อยที่เดินเข้าไปในถ้ำหมาป่า นี่เป็นเพียงการรนหาที่ตายเท่านั้น

ดังนั้นปัญหาที่ต้องเร่งแก้ไขเป็นอันดับแรกก็คือความแข็งแกร่ง

หากการบ่มเพาะของเขาก้าวหน้าช้าเกินไปดังเช่นชีวิตก่อนหน้า มันจะสายเกินไปสำหรับหลายสิ่งหลายอย่าง

‘หากต้องการบ่มเพาะอย่างรวดเร็วที่สุด ข้าจำเป็นต้องใช้ทรัพยากรของตระกูล ด้วยความสามารถของข้าในเวลานี้ ข้าไม่แม้แต่จะสามารถเดินทางออกจากภูเขาลูกนี้ กระทั่งหมูป่าธรรมดาก็สามารถเอาชีวิตข้าได้แล้ว ข้าต้องบ่มเพาะให้ถึงระดับสาม เมื่อเวลานั้นมาถึงข้าจะมีวิธีป้องกันตัวและสามารถออกจากสถานที่แห่งนี้”

ในสายตาของจิ้งจอกเฒ่าที่บ่มเพาะบนเส้นทางสายปีศาจนานหลายร้อยปี ภูเขาชิงเหมาก็เป็นเพียงสถานที่ที่ไร้นัยสำคัญ หมู่บ้านแสงจันทร์บรรพกาลก็เป็นเหมือนกรงที่กักขังเขาเอาไว้

แต่หากมองในอีกแง่มุมหนึ่ง การถูกจำกัดเสรีภาพด้วยกรงขังชนิดนี้ก็นำมาซึ่งบางสิ่งที่เรียกว่า ความปลอดภัย

‘อืม ข้าจะอยู่ในกรงนี้เพียงช่วงเวลาสั้นๆ ตราบเท่าที่ข้ากลายเป็นผู้ใช้วิญญาณระดับสาม เวลานั้นข้าจะสามารถก้าวออกจากภูเขาที่น่าเวทนาแห่งนี้ โชคดีที่พรุ่งนี้เป็นวันเผยลิขิตสวรรค์ ข้าจะสามารถเริ่มต้นเส้นทางแห่งการบ่มเพาะได้หลังจากนั้น’

เมื่อนึกถึงพิธีเผยลิขิตสวรรค์ ความทรงจำอันเลวร้ายในอดีตของเขาก็ย้อนกลับมาอีกครั้ง

“พรสวรรค์งั้นหรือ...หึ...” เขามองออกไปนอกหน้าต่างและหัวเราะเสียงเย็น

ทันใดนั้นประตูห้องของเขาก็ถูกเปิดออกขณะที่เด็กหนุ่มผู้หนึ่งเดินเข้ามา

“พี่ใหญ่ เหตุใดท่านจึงยืนตากฝนอยู่ริมหน้าต่าง?”

เขาเป็นเด็กหนุ่มที่มีรูปร่างผอมบางและมีหน้าตาละม้ายคล้ายกับฟางหยวนเป็นอย่างมาก

ฟางหยวนหันหน้ากลับไปและหรี่ตามองใบหน้าของเด็กหนุ่มผู้นี้

“เป็นเจ้า? แฝดผู้น้องของข้า” คิ้วของฟางหยวนยกตัวขึ้นข้างหนึ่งก่อนที่การแสดงออกของเขาจะเปลี่ยนเป็นไม่แยแส ขณะที่ฟางเจิ้งก้มศีรษะลงและมองไปที่ปลายเท้าของตนเอง นี่คือบุคลิกของเขา

“ข้าเห็นหน้าต่างห้องพี่ใหญ่เปิดเอาไว้ ข้าจึงคิดว่าจะเข้ามาปิดมัน พรุ่งนี้เป็นวันเผยลิขิตสวรรค์ ท่านอาจไปสายหากยังไม่รีบเข้านอน หากท่านลุงกับท่านป้ารู้เรื่องนี้ พวกท่านจะเป็นห่วงมาก”

ฟางเจิ้งไม่แปลกใจกับการแสดงออกที่เย็นชาของฟางหยวน เพราะตั้งแต่เด็ก พี่ชายของเขาก็เป็นเช่นนี้มาตลอด บางครั้งเขาก็คิดว่าบางทีเหล่าอัจฉริยะคงเป็นเช่นนี้กระมัง แน่นอนว่าพวกเขาย่อมต้องต่างจากคนธรรมดามิใช่หรือ? แม้ฟางเจิ้งจะมีใบหน้าเหมือนกับพี่ชายฝาแฝดของเขา แต่เขาก็รู้สึกว่าตนเองเป็นเพียงมดปลวกที่ไร้ค่าเมื่อเปรียบเทียบกับฟางหยวน

พวกเขาเกิดมาพร้อมกัน พวกเขามีใบหน้าเหมือนกัน แต่สวรรค์กลับไร้ความยุติธรรมเมื่อคนผู้พี่เป็นอัจฉริยะฟ้าประทานขณะที่คนผู้น้องเป็นเพียงคนธรรมดาที่ไร้ค่า

ทุกคนรอบตัวฟางเจิ้งมักเรียกเขาว่า “น้องชายของฟางหยวน” ลุงกับป้าของเขาก็มักบอกให้เขาเรียนรู้จากพี่ชายของเขาเสมอ แม้แต่เวลาที่เขามองเข้าไปในกระจก เขายังรู้สึกเบื่อหน่ายกับใบหน้าที่สะท้อนออกมาเป็นอย่างมาก

ความคิดเหล่านี้สะสมมาตลอดหลายปี ยิ่งนานวันก็ยิ่งมากขึ้น มันทำให้ฟางเจิ้งรู้สึกเหมือนมีหินก้อนใหญ่กดทับหัวใจของเขาเอาไว้ เมื่อเวลาผ่านไปศีรษะของเขาก็ลดต่ำลงมากขึ้นและมากขึ้นเรื่อยๆ

‘ห่วง?' ฟางหยวนลอบหัวเราะอยู่ภายในใจ เขายังจำได้ดีว่าพ่อแม่ของเขาตายในภารกิจของตระกูลขณะที่เขาและน้องชายอายุได้สามขวบ พวกเขากลายเป็นเด็กกำพร้าตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา

ในนามของผู้ปกครอง ลุงกับป้าฉกฉวยมรดกทั้งหมดของพวกเขาไปขณะที่ไม่แยแสและยังลงไม้ลงมือกับเขาและน้องชายอย่างทารุณอีกด้วย

เดิมทีหลังจากเดินทางข้ามมายังโลกใบนี้อย่างลึกลับ ฟางหยวนวางแผนว่าเขาจะเป็นเพียงคนธรรมดาและปิดผนึกความสามารถของตนเองเอาไว้ อย่างไรก็ตามชีวิตไม่ใช่เรื่องง่าย ความยากลำบากทำให้เขาไม่มีทางเลือกนอกจากต้องระเบิดพรสวรรค์ของตนเองออกมาในที่สุด

ด้วยสติปัญญาและความทรงจำที่ครอบครองบทกวีโบราณที่มีชื่อเสียงโด่งดังในโลกมนุษย์ใบเดิมเอาไว้ เขาจึงสามารถดึงดูดความสนใจของผู้คนได้อย่างง่ายดาย

แต่เป็นเพราะแรงกดดันจากคนรอบข้าง เขาจึงต้องทำตัวเย็นชาเพื่อปกป้องตนเอง อย่างไรก็ตามมันได้กลายเป็นบุคลิกและความคุ้นชินของเขาไปในที่สุด

เป็นเพียงช่วงเวลาหลังจากนั้นที่ลุงกับป้าของเขาหยุดใช้ความรุนแรงกับพวกเขา เมื่อพวกเขาเติบโตขึ้นและดูมีอนาคตที่สดใส ลุงกับป้าจึงเริ่มใยดีพวกเขามากขึ้น ชัดเจนว่านี่ไม่ใช่ความรัก แต่เป็นการลงทุน!

อย่างไรก็ตามมันน่าขันที่น้องชายของเขากลับไม่เคยเห็นความจริงข้อนี้ ไม่เพียงเท่านั้น ฟางเจิ้งยังถูกลุงกับป้าล่อลวงและปลูกฝังความไม่พอใจในตัวฟางหยวนลงไปในหัวใจของเขาอีกด้วย แม้ว่าในช่วงเวลานี้ฟางเจิ้งจะยังเป็นเด็กดีและซื่อสัตย์ แต่จากความทรงจำของฟางหยวน หลังจากที่ทุกคนค้นพบว่าฟางเจิ้งมีพรสวรรค์นภาที่หนึ่ง ผู้คนในตระกูลต่างดูแลเขาเป็นอย่างดีและเลี้ยงดูเขาด้วยทุกสิ่ง เป็นเพียงเวลานั้นที่ความเกลียดชังที่ฝังลึกอยู่ในหัวใจของเขาถูกปลดปล่อยออกมาและสร้างความยากลำบากให้กับฟางหยวน

สำหรับตัวเขา ฟางหยวนที่ทุกคนคิดว่ามีพรสวรรค์นภาที่หนึ่ง แท้จริงแล้วเขามีพรสวรรค์เพียงนภาที่สาม

โชคชะตามักเล่นตลกกับชีวิตของผู้คนเสมอ

ดังเช่นพี่น้องฝาแฝดคู่นี้ แฝดผู้พี่มีพรสวรรค์เพียงนภาที่สามแต่ได้รับการยกย่องว่าเป็นอัจฉริยะมานานหลายปี ตรงข้ามกับแฝดผู้น้องที่ถูกมองข้ามมาตลอดกลับกลายเป็นผู้มีพรสวรรค์นภาที่หนึ่งอย่างไม่มีผู้ใดคาดคิด

ผลลัพธ์จากพิธีเผยลิขิตสวรรค์ทำให้ทุกคนตกใจ และมันก็ทำให้จุดยืนของคู่พี่น้องกลับตาลปัตรไปอย่างสิ้นเชิง

แฝดผู้น้องกลายเป็นมังกรที่ทะยานขึ้นสู่สรวงสวรรค์ ขณะเดียวกันแฝดผู้พี่ก็ไม่ต่างจากวิหคเพลิงที่ร่วงหล่นลงสู่พื้นดิน

หลังจากนั้นเป็นต้นมาฟางหยวนก็ถูกดูหมิ่นเหยียดหยามจากน้องชาย ลุงกับป้า และทุกคนในตระกูลของเขา

แล้วเขาเกลียดมันหรือไม่?

ฟางหยวนในชีวิตก่อน เขาเกลียดมัน เขาเกลียดความไร้สามารถของตนเอง เขาเกลียดตระกูลที่ไร้หัวใจ เขาเกลียดความอยุติธรรมทั้งมวล แต่ตอนนี้? เขามีประสบการณ์ห้าร้อยปี และด้วยสิ่งนี้ เขาจึงสามารถวิเคราะห์แยกแยะและเข้าใจเรื่องราวต่างๆได้เป็นอย่างดี ดังนั้นเขาจึงไม่มีความรู้สึกเกลียดชังต่อโลกหล้าอีกต่อไป ไม่มีความรู้สึกใดๆ และไม่มีกระทั่งระลอกคลื่นเล็กๆที่ก่อตัวขึ้นในหัวใจของเขาเลยแม้แต่น้อย

มีสิ่งใดต้องไม่พอใจ?

เมื่อคิดถึงมุมมองของน้องชายและลุงกับป้า ฟางหยวนเข้าใจความนึกคิดของพวกเขาอย่างสมบูรณ์ นอกจากนี้เขายังเข้าใจสมาชิกนิกายต่างๆผู้เอ่ยอ้างความชอบธรรมเพื่อปิดล้อมเขาในอีกห้าร้อยปีข้างหน้าเช่นกัน

ผู้อ่อนแอย่อมเป็นเหยื่อของผู้แข็งแกร่ง มีเพียงคนที่แข็งแกร่งที่สุดเท่านั้นจึงจะสามารถมีชีวิตอยู่ได้นานที่สุด นี่คือกฎของโลกทุกใบ ทุกคนต่างต้องดิ้นรนและพยายามมีชีวิตอยู่ ดังนั้นสงครามและการฆ่าฟันจึงเป็นบางสิ่งที่สามารถเข้าใจได้ ถูกต้องหรือไม่?

ประสบการณ์ห้าร้อยปีทำให้เขามองเห็นสิ่งต่างๆได้อย่างชัดเจน แต่ความปรารถนาเดียวที่ยังอยู่ในหัวใจของเขาตลอดมาก็คือชีวิตนิรันดร์!

ดังนั้นหากมีบางคนกีดขวางเส้นทางของเขา ไม่ว่าจะเป็นผู้ใด เขาก็จะกำจัดผู้คนเหล่านั้นเพื่อที่จะมีชีวิตอยู่ต่อไป แต่มันอาจเป็นความทะเยอทะยานที่ยิ่งใหญ่เกินไปจนทำให้โลกทั้งใบกลายเป็นศัตรูของเขาและโดดเดี่ยวเขาไว้แต่เพียงผู้เดียว

และนี่ก็คือบทสรุปของเขาหลังจากการมีชีวิตอยู่มาถึงห้าร้อยปี

‘การแก้แค้นไม่ใช่ความตั้งใจของข้า แต่เส้นทางสายปีศาจไม่ใช่บางสิ่งที่สามารถประนีประนอม' เมื่อฟางหยวนคิดได้เช่นนี้เขาก็หัวเราะออกมาก่อนจะหันหน้าไปมองน้องชายของเขาและกล่าว “เจ้าไปเถอะ”

หัวใจของฟางเจิ้งสั่นสะท้านขึ้น เขารู้สึกว่าสายตาของผู้เป็นพี่ชายราวกับใบมีดน้ำแข็งอันแหลมคมที่เสียบแทงหัวใจของเขา

ภายใต้การจ้องมองดังกล่าวเขารู้สึกราวกับตนเองเปลือยกายอยู่ท่ามกลางพายุหิมะและไม่สามารถเก็บความลับใดๆเอาไว้

“เช่นนั้น...เจอกันพรุ่งนี้ พี่ใหญ่” ฟางเจิ้งกล่าวได้เพียงเท่านี้ก่อนจะปิดประตูและเดินจากไป

3.7 3 โหวต
Article Rating
8 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด