ตอนที่ 108 พบกันอีกครั้ง
หลวนเฟยได้วิ่งออกมาจากลานประลองอย่างเหนื่อยหอบ เขาหยุดพักสักครู่และกวาดสายตาไปรอบๆ เพื่อมองหาฉางหยาง
“หายไปไหนกันนะ”
ทันใดนั้นเองเสียงระเบิดก็ดังสนั่นขึ้นในทิศทางที่ห่างออกไปสองกิโลเมตร หลวนเฟยรีบหันหน้าไปมองและเห็นกลุ่มไอน้ำแผ่กระจายไปทั่ว เขาก็เริ่มมั่นใจแล้วต้องเป็นทางนั้นอย่างแน่นอน
“ไม่ผิดแน่ เสียงระเบิดนั้นมันต้องเป็นการปะทะกันของเคล็ดวิชาอย่างไม่ต้องสงสัยเลย”
หลวนเฟยกำลังเตรียมจะพุ่งไป ทว่าร่างของเขาก็ต้องถูกหยุดไว้ด้วยเสียงอันสดใสและคุ้นเคย
“หลวนเฟย!”
เมื่อได้ยินเสียงขานเรียกนามอันหล่อเหลาขึ้น ใบหน้าอันเต็มไปด้วยไขมันหันกลับมาอย่างรวดเร็ว จนทำให้หนังหน้าสั่นกระเพื่อมขึ้นลง
“อ้าว! พวกเจ้าเองรึ”
หลวนเฟยตีหน้าซื่อตอบออกไป เขายังจำได้เลยว่าพวกนางทั้งสองเล่นเขาหนักเหมือนกันตั้งแต่ฉางหยางได้ตายลงเมื่อสองเดือนก่อน แต่อย่างไรพวกนางก็ได้โทษเขาอยู่ดีว่าเป็นเพราะไม่ช่วยฉางหยางหนีออกมาด้วย
หลางหลู่เออร์และหลิ่งซูลอบสังเกตหลวนเฟยอย่างลับๆ พวกนางก็ข้องใจอยู่พอสมควร เมื่อได้เห็นท่าทางมีพิรุธซึ่งต่างไปจากหลวนเฟยคนเดิม
“ทำไมเจ้าถึงได้มีท่าทางดูกระวนกระวายเช่นนั้น” หลางหลู่เออร์กล่าว
“อะ ...อะ อ๋อ! ไม่มีอะไร ข้าก็แค่เป็นห่วงฉางหยางสหายร่วมตายของข้าก็เท่านั้นเอง”
หลวนเฟยพยายามหลบเลี่ยงสายตาของหญิงสาวทั้งสองคนนี้ เพราะถ้าหากเขาจ้องตาพวกนางเมื่อไหร่ มันก็ราวกับว่าเขากำลังยืนแก้ผ้าให้เห็นความลับทั้งหมดที่มีอยู่
“ขะ..ข้าว่าพวกเราไปกันเถอะ เดี๋ยวจะไม่ทันการ”
ในที่สุดหลิ่งซูก็ตัดสินใจกล่าวขึ้น ใบหน้าอันขาวเรียบเนียนเริ่มกังวลขึ้นเรื่อยๆ เมื่อได้เห็นกลุ่มไอน้ำปกคลุมไปทั่วป่า แล้วบางทีอาจจะเกิดอันตรายกับฉางหยางก็เป็นได้ นี่จึงทำให้นางหมดความสนใจในตัวของหลวนเฟยไปโดยปริยาย
“อืม เอาแบบนั้นก็ได้” หลางหลู่เออร์พยักหน้าเล็กน้อย
หลวนเฟยมองพวกนางทั้งสองพุ่งกลายเป็นเส้นแสงไปพร้อมกับผู้คุ้มกันอีกหลายคน ก่อนจะถอนหายใจยาวออกมาอย่างหดหู่ แล้ววิ่งตามทั้งสองไป
ณ ป่าข้างงานชุมนุม ฉือเทียนและหลางเซียวฉินพุ่งเข้าปะทะกันอย่างต่อเนื่อง ทั้งหมัด ทั้งเท้า ต่างก็กระแทกร่างกายของอีกฝ่าย จนชุดที่สวมอยู่ฉีกขาดหายไปหลายแห่ง
“ฮึ! ไม่นึกเลยว่าตระกูลหลางจะมีพยัคฆ์ซ่อนอยู่เหมือนกัน” ฉือเทียนกล่าวขึ้น
มือของเขาปาดเลือดที่มุมปากออก บนใบหน้าและหลังเริ่มปรากฏเม็ดเหงื่อขึ้นมาแล้ว เขาก็คิดไว้อยู่แล้วว่าหลางเซียวฉินผู้นี้ต้องมีวรยุทธห่างชั้นกันไม่มากแน่นอน
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า เจ้าเองก็เช่นกัน”
สิ้นเสียงเพียงไม่นาน ร่างของหลางเซียวฉินทะยานเข้าหาฉือเทียนทันที พร้อมตวัดขาเตะด้วยความรวดเร็ว แต่ว่าฉือเทียนเองก็อาจอยู่เฉยได้ เขารีบพุ่งเข้ามาเหมือนกันแล้วเตะออกไป
“ตูม”
ขาของทั้งสองคนปะทะกันอย่างหนักหน่วง พลังกายและระดับการบ่มเพาะที่ไม่ต่างกันมาก จึงทำให้พลังทำลายทั้งหมดหักล้างกันเอง
“ฝุ่บ ฝุ่บ”
ต่างฝ่ายต่างกระโดดถอยหลังออกมาเพื่อตั้งหลัก สายตาของทั้งสองมองผสานกันไปมา พลังลมปราณในร่างเริ่มโคจรอย่างรวดเร็ว ออร่าสีแดงเพลิงปรากฏออกมาจากร่างฉือเทียน จนก้อนหินและเศษดินที่แตกกระจายอยู่บริเวณโดยรอบสั่นไหว
แววตาเปล่งแสงเป็นประกาย ชุดที่สวมใส่โบกสะบัดตามสายลม สีหน้าเริ่มเย็นชาขึ้น ขาทั้งสองข้างเริ่มกางออก มือทั้งสองเริ่มตั้งท่าใช้เคล็ดวิชา
เพราะว่าหากเขาไม่รีบละก็ ไอ้หนูสวะนั้นมันต้องหนีรอดไปได้แน่ แล้วถ้าหากในอนาคตวรยุทธของมันกล้าแกร่งขึ้น มันอาจจะกลับมาแก้แค้นเขาคืนก็ได้ ว่าด้วยพรสวรรค์อันโดดเด่นที่ไม่เหมือนใครของมัน ยิ่งทำให้เขาวิตกกังวลมากขึ้น
อย่างไรก็ตามเขาเองก็ไม่คิดว่าการสังหารไอ้หนูสวะจะยากเย็นถึงเพียงนี้ ทั้งที่ตอนนั้นแค่คิดว่าเขาเพียงคนเดียวก็สามารถสังหารมันได้แล้ว จึงไม่ได้พาเหล่าผู้อาวุโสในนิกายมาด้วย
แต่ก็ไม่คาดคิดเลยว่าหลางเซียวฉินสอดมือเข้ามายุ่ง นี่เลยทำให้เป้าหมายของเขายิ่งห่างไกลเข้าไปอีก และยังมาเสียเวลากับหลางเซียวฉินตั้งมากมาย จนบางทีตอนนี้ไอ้หนูสวะนั้นคงจะหนีไปไกลแล้ว
“ในเมื่อชอบสอดมือเข้ามายุ่งดีนัก เช่นนั้นข้าก็ขอชีวิตของแกละกัน”
“ฮึ! มีรึที่ข้าจะตายด้วยเคล็ดวิชาอันกระจ้อยร่อยแบบนั้น”
“กรร”
ระหว่างที่ฉือเทียนและหลางเซียวฉินกำลังเตรียมเข้าปะทะกัน ร่างของทั้งสองก็ต้องหยุดชะงักลงชั่วครู่เมื่อได้ยินเสียงสัตว์อสูรคำรามดังขึ้นบนท้องฟ้า พวกเขารีบเงยหน้ามองดู กลับกลายเป็นว่ามีสัตว์อสูรสีทองบินผ่านเหนือหัวไปอย่างรวดเร็ว
สายตาของทั้งสองหรี่ลง และค่อยๆเพ่งมองเข้าไปเรื่อยๆ จนพบเข้ากับผู้เยาว์สามคนนั่งอยู่บนหัวสัตว์อสูรสีทองลึกลับ ทว่าดวงตาของหลางเซียวฉินกลับต้องเบิกกว้าง เมื่อได้เห็นหลานสาวของตนนั่งอยู่บนหัวของสัตว์อสูรสีทองด้วย
เขาแทบไม่อยากเชื่อเลยว่าหนึ่งในสามคนนั้นจะเป็นหลานสาวของตนเอง และที่นั่งอยู่ข้างๆนั้นมันบุตรสาวของตระกูลหลิ่งไม่ใช่รึ นี่มันเป็นแบบนี้ได้อย่างไร
“เฮ้อ ข้าคงต้องไปก่อนแล้ว” หลางเซียวฉินถอนหายใจยาวก่อนจะรีบตามสัตว์อสูรสีทองไป
เพราะเขาเองก็เป็นห่วงหลานสาวเหมือนกัน และดูเหมือนฉือเทียนก็จะไม่ปล่อยเรื่องนี้ไปง่ายๆแน่ ซึ่งหากเขาตามสัตว์อสูรสีทองไป บางทีฉือเทียนอาจจะตัดใจไปเองก็ได้
ส่วนฉือเทียน เขาสัมผัสได้ว่ามีกลุ่มผู้ฝึกวรยุทธกำลังมุ่งหน้ามาทางนี้ แถมหนึ่งนั้นยังมีระดับการบ่มเพาะที่สูงกว่าเขาด้วย
“คงเป็นชินเหม่ยหนิงสินะ ข้าก็ไม่นึกเลยว่านางจะสนใจในตัวไอ้หนูสวะนั้นด้วย”
เขามันใจเต็มร้อยว่านั้นต้องเป็นชินเหม่ยหนิงไม่ผิดแน่ เนื่องด้วยในอาณาจักรนี้หากจะมีผู้ฝึกวรยุทธที่มีระดับการบ่มเพาะสูงกว่าเขา ก็ต้องเป็นชินเหม่ยหนิงเพียงเท่านั้น
“พรึบบ”
ด้วยเคล็ดวิชาเคลื่อนไหวอันสูงส่ง ทำให้หญิงชราชินเหม่ยหนิงปรากฏกายต่อหน้าของฉือเทียนอย่างไร้ร่องรอย แววตาของนางจ้องมองไปยังชุดจอมที่ขาดวิ่น ก่อนจะกล่าวออกมาอย่างขบขัน
“หึ หึ หึ ดูสภาพของเจ้าต้อนนี้สิ ช่างเหมือนขอทานชรายิ่งนัก”
ฉือเทียนกัดฟันแน่น เส้นเริ่มปูดออกมาจากใบหน้า เขาพลาดเป้าหมายสังหารไอ้หนูสวะนั้นยังไม่เพียงพอ ยังถูกชินเหม่ยหนิงกล่าววาจาเยาะเย้ยอีก นี่มันเท่ากับว่าเป็นการหยามน้ำหน้ากันโดยตรงเลยไม่ใช่รึ
อย่างไรก็ตามเขาจะทำอย่างไรได้ ในเมื่อระดับการบ่มเพาะของนางสูงยิ่งกว่า จึงทำได้แต่เพียงเดินจากไปอย่างสงบ และเก็บความขุนเคืองนี้ไว้ในใจ รอจนกว่าจะถึงวันที่สามารถเอาคืนได้
“หึ หึ หึ”
เสียงหัวเราะอันแผ่วเบาดังขึ้น บนใบหน้าของหญิงชราชินเหม่ยหนิงปรากฏร่องรอยความพึงพอใจเล็กน้อย นางรู้อยู่ก่อนแล้วว่าฉือเทียนได้ประมือกับหลางเซียวฉินอยู่
แต่ก็ไม่คาดคิดเลยว่าทั้งสองจะสู้กันจนมีสภาพราวกับขอทานชราแบบนี้ ซึ่งมันเท่ากับว่าหลางเซียวฉินก็ต้องเคยรู้จักเด็กหนุ่มคนนั้นมาก่อนไม่ผิดแน่ ถึงได้เสียสละตัวเองเพื่อมาถ่วงเวลาให้เด็กหนุ่มคนนั้นได้หนีไป
“หรือว่าหลางเซียวฉินก็สนใจเคล็ดวิชาของเด็กหนุ่มคนนั้นเหมือนกับข้า”
ว่าแล้วนางก็รีบใช้เคล็ดวิชาเคลื่อนไหวตามสัตว์อสูรสีทองไปทันใด ด้วยเคล็ดวิชาที่สามารถต่อกรกับผู้ฝึกวรยุทธห่างกันถึงสองชั้นปราณได้ มันก็ยิ่งทำให้ความสนใจของนางมุ่งเป้าไปยังเด็กหนุ่มคนนั้นอย่างช่วยไม่ได้
กลับมาทางด้านหลวนเฟย หลางหลู่เออร์ และหลิ่งซู เหตุผลที่พวกเขาได้ขึ้นมาอยู่บนหัวของเฉินตี้ได้ มันก็ต้องเป็นเพราะว่าพวกเขาทั้งสามเห็นเฉินตี้บินโฉบลงมารับพวกเขาขณะที่กำลังวิ่งอยู่ จึงทำให้พวกเขาทั้งสามได้นั่งบนนี้ ณ ตอนนี้
“เฉินตี้เจ้ารู้รึฉางหยางอยู่ไหน”
หลวนเฟยถามออกไปด้วยความสงสัย และเขาเองก็จำได้เลยตอนที่อยู่สำนักดาราพิชิต ซึ่งอยู่ๆเฉินตี้ก็บินหายไปจากสำนัก นั้นก็หมายความว่ามันก็ต้องรู้เหมือนกันว่าฉางหยางอยู่ไหน
แต่ที่เขาสงสัยก็คือทำไมมันถึงรู้ตำแหน่งของฉางหยางได้ ทั้งที่สัมผัสของปราณบรรจบมันไม่น่าจะกว้างไกลขนาดนั้นได้เลย หรือว่าอาจจะเป็นเพราะพันธสัญญาระหว่างสัตว์อสูรกัน
“นั้นไงฉางหยาง เขาอยู่ตรงนั้น”
หลิ่งซูกล่าวขึ้นอย่างดีใจ พร้อมมือชี้ไปท่าทางป่าห่างออกไปเพียงสามร้อยเมตร ดวงตาของนางเริ่มมีน้ำตาไหลออกมา ภายในดีใจอย่างมากล้น
“เร็วเข้าเฉินน้อยรีบไปตรงนั้น” หลางหลู่เออร์รีบกล่าวเสริม ซึ่งนางเองก็อดใจไม่ไหวเหมือนกันที่จะเจอฉางหยางอีกครั้ง
แรงลมพัดโหมกระหน่ำ จนใบ้ไม้ปลิวสั่นไหวไปมา ฉางหยางรู้ได้ทันใดว่านั้นต้องเป็นเฉินตี้ไม่ผิดแน่ แต่พอหันหลังกลับมามองก็ต้องพบกับหลางหลู่เออร์ หลิ่งซูและหลวนเฟยนั่งอยู่บนหัวเฉินตี้ คิ้วของเขาขมวดหากันแน่น และไม่เข้าใจว่าทำไมพวกนางมากับเฉินตี้ได้
“เร็วเข้ารีบขึ้นมา” หลวนเฟยกล่าวด้วยท่าทางอันร้อนรน
ฉางหยางรีบปีนขึ้นอย่างทุลักทุเล ด้วยสภาพร่างกายที่บอบช้ำไปหมด จึงทำให้ยากลำบากต่อการปีนขึ้นยิ่งนัก ประกอบกับแขนทั้งสองข้างของเขาใช้การไม่ได้ เลยได้แต่พึ่งหญิงสาวทั้งสองช่วยพยุงขึ้น
“รีบออกจากที่นี่” เสียงอันเหนื่อยล้าเอ่ยขึ้น
เขาต้องรีบหนีจากไปจากที่นี่ซะ มันอาจจะเป็นไปได้ว่าประมุขนิกายเพลิงผลาญฉือเทียนกำลังตามมาอยู่ก็ได้
ได้ยินคำสั่งเจ้านาย เฉินตี้รีบบินขึ้นสู่ท้องฟ้าภายในอึดใจ ทิ้งให้เหลือแต่หลางเซียวฉินที่ยืนดูอย่างโล่งอก
“เจ้ายังไม่ตาย”
เสียงอันสดใสสองเสียงดังขึ้นพร้อมกัน ตามด้วยร่างบอบบางทั้งสองพุ่งเข้าไปกอดอย่างแนบแน่น แล้วริมฝีปากสีชมพูเล็กน่ารักประกบกับริมฝีปากฉางหยางพร้อมกันอย่างนุ่มนวล จนทำให้ดวงตาของเขาเบิกกว้างขึ้น และภายในใจครุ่นคิดวนไปวนมาจนปั่นป่วนไปหมด...