ตอนที่ 107 หลางเซียวฉิน
ณ ที่นั่งราชวงศ์ชิน
ชินเหม่ยหนิงมองไปยังสนามประลองที่พังยับเยินทั้งหมด สายตาของนางรู้เห็นเหตุการณ์ทุกอย่าง แม้กระทั่งเรื่องเปลวเพลิงสีทองอันแปลกประหลาด
ทว่านางก็ไม่ได้เคลื่อนไหวแต่อย่างใด จนทำให้ชินกว๋อไห่ที่นั่งอยู่ข้างๆ ถามออกมาด้วยความสงสัย
“ท่านแม่ ทำไมท่านไม่หยุดสัตว์อสูรสีทองตัวนั้นล่ะ”
เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมมารดาผู้เคยอารมณ์ร้อนกลับนั่งดูอยู่เงียบๆ โดยไม่มีทีท่าว่าจะหยุดยั้งเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นแม้แต่น้อย
ได้ยินเสียงบุตรชายถามออกมา นางค่อยๆหันหน้าไปมองแล้วตอบอย่างใจเย็น “ไม่ใช่ว่าข้าไม่เคลื่อนไหว แต่สัมผัสของข้ามันบอกว่าสัตว์อสูรสีทองตัวนั้นอันตราย”
คิ้วของชินกว๋อไห่ขมวดหากันแน่น “ท่านกล่าวอะไรแบบนั้น ข้าไม่เห็นเข้าใจเลย นั้นมันแค่สัตว์อสูรปราณบรรจบเองไม่รึ ท่านแม่”
ชินเหม่ยหนิงถอนหายใจยาวก่อนจะเริ่มอธิบาย “เจ้าคิดว่ามันไม่แปลกไปหน่อยรึ ทั้งเซียงอี๋ และหลางเซียวฉิน ต่างก็มีเคล็ดวิชาที่สามารถเหาะบนอากาศได้เหมือนกับข้า แต่แล้วทำไมพวกเขากลับไม่ยุ่งเกี่ยวกับสัตว์ตัวนี้เลย”
“นั้นก็เพราะมันมีสติปัญญานะสิ และดูเหมือนมันกำลังระวังพวกเราอยู่ด้วย กลิ่นอายแห่งความตายที่แผ่ออกมาจากตัวของมันก็ช่างรุนแรงยิ่งนัก แล้วถ้าหากจะให้ข้าเดาล่ะก็ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นภายในเขตแดนโบราณพฤกษาเขียวขจีก็ต้องเป็นฝีมือของมันแน่นอน”
“เอ๋! เป็นอย่างนั้นเองรึ แล้วทีนี้เราจะทำอย่างไรต่อ ท่านแม่”
“ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น พวกเจ้าให้กลับไปพักผ่อนก่อน ส่วนข้าเดี๋ยวจะตามไปทีหลัง” ว่าแล้วร่างของหญิงชราชินเหม่ยหนิงก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ทางด้านฉางหยางตอนนี้เขาเริ่มลำบากเสียแล้ว หากเป็นแบบนี้ต่อไปเขาต้องไม่รอดจากเงื้อมมือของฉือเทียนเป็นแน่
“ฮ่า ฮ่า ฮ่า ฮ่า แกหนีไม่รอดหรอกไอ้หนู”
เสียงหัวเราะอย่างบ้าคลั่งดังออกมา สีหน้าของเขาแลดูมีความสุขมากที่จะกำจัดเสี้ยนหนามออกไปให้พ้นๆทาง
พลังลมปราณเริ่มโคจรไหลไปรวบอยู่บริเวณเท้าจนเกิดออร่าสีแดงขึ้นมา แล้วเคล็ดวิชาเคลื่อนไหวก็ถูกใช้ไป
“พรึบบ”
เพียงพริบตาฉือเทียนก็ปรากฏต่อหน้าฉางหยางแล้ว เขายิ้มเหี้ยมก่อนจะตวัดขาเตะเข้าที่ศีรษะอย่างรวดเร็ว
“ตูม”
ฉางหยางยกแขนทั้งสองข้างขึ้นมากันได้ทัน แต่ด้วยพลังกายปราณก่อเกิดขั้นสูง มันเลยทำให้กระดูกแขนหักสะบั้นภายในพริบตา และส่งร่างของเขาปลิวลอยไปไกลถึงสี่ร้อยเมตรเลยทีเดียว
“อั๊ก”
เลือดอันแดงเข้มไหลออกมาจากปากเป็นกองโต สีหน้าเริ่มเต็มไปด้วยความเจ็บปวด พลังกายผู้ฝึกวรยุทธปราณก่อเกิดมันส่งผลให้ทุกอย่างภายในร่างปั่นป่วนไปหมด
สายตาของเขาเริ่มพร่ามัว เนื่องด้วยแรงกระแทกที่ส่งผ่านเข้าสู่ศีรษะจนได้รับความเสียบ้างเล็กน้อย และถ้าหากเขาช้ากว่านี้ไปสักเสี้ยววินาทีละก็ เขาก็คงได้นอนตายอย่างสบายแล้ว
“ตายซะ!”
ฉือเทียนพุ่งไปข้างหน้าพร้อมมือโคจรพลังลมปราณสะสมไว้ ก่อนจะแทงลงไปบริเวณหัวใจหวังปลิดภายในกระบวนท่าเดียว ทว่าฉางหยางรีบพลิกตัวหลบในบัดดล
“ตูม”
พื้นดินแตกกระจาย มือของฉือเทียนเจาะทะลุลงลึกถึงครึ่งเมตร สีหน้าเขาเริ่มไม่อยากเชื่อแล้วว่าไอ้หนูผู้นี้มันสามารถหลบกระบวนท่าสังหารของเขาได้ถึงสองครั้งสองครา ทั้งที่พลังลมปราณภายในร่างก็ไม่เหลืออยู่แล้ว ยังจะสามารถใช้ประสาทสัมผัสหลบได้อีกรึ นี่มันเกินกว่าผู้ฝึกวรยุทธปราณนิมิตรจะทำได้แล้ว
“ตุบ”
เท้าของฉือเทียนเหยียบลงบนหลังฉางหยางอย่างหนักนแน่น แรงกดทับราวกับขุนนับสิบลูก จนทำให้ร่างกายผู้ฝึกวรยุทธปราณนิมิตรไม่สามารถขยับไปไหนได้เลย
“คราวนี้แกไม่รอดแน่”
พอสิ้นเสียง หมัดของฉือเทียนต่อยเข้าไปที่กลางหลังอย่างรวดเร็ว แต่ในขณะนั้นเองหมัดของเขาก็ถูกหยุดเอาไว้ด้วยมืออันเหี่ยวแห้ง
“หมับ”
ใบหน้าอันไม่พอใจ ค่อยๆหันมาอย่างช้าๆ มองไปยังผู้ที่หยุดหมัดของเขาเอาไว้ และพบว่าคนผู้นี้ไม่ใช่ใครอื่น นอกเสียจากว่าจะเป็นหลางเซียวฉินผู้นำตระกูลรุ่นก่อน ซึ่งเป็นบิดาของหลางชิงเหอนั้นเอง
“เจ้าจะมายุ่งทำไม”
ฉือเทียนแค้นเสียงขึ้น เขาไม่รู้ทำไมหลางเซียวฉินถึงได้สอดมือเข้ายุ่งกับเรื่องนี้ หรือว่าทั้งสองจะเคยรู้จักกันมาก่อน
“เจ้าเป็นถึงผู้ฝึกวรยุทธอาวุโส ยังกล้าลงมือกับผู้ฝึกวรยุทธรุ่นเยาว์อีกรึ” หลางเซียวฉินถามออกไปด้วยรอยยิ้ม
“ถอยไป! มันไม่ใช่เรื่องของเจ้าที่จะสอดมือเข้ามายุ่งได้”
“หากข้าไม่ถอยแล้วเจ้าจะทำไม”
“ย่อมได้!”
ฉือเทียนสะบัดแขนออกเล็กน้อย เพื่อให้มือของหลางเซียวฉินให้หลุด จากนั้นเขายกขาที่เหยียบร่างของฉางหยางออกแล้วตวัดเตะด้วยความเร็วสูง
หลางเซียวฉินเห็นเช่นนี้ก็รีบยกแขนขึ้นมากันลูกเตะของฉือเทียนในทันที
“ตูม”
ด้วยระดับการบ่มเพาะที่เทียบเท่ากัน พลังกายก็ไม่ต่างกันมากนัก แต่แรงกระแทกก็ส่งให้ร่างของหลางเซียวฉินถอยหลังกลับไปสองก้าวเป็นอย่างน้อย
“ฮึ! ชอบแบบนี้ใช่ไหม อย่ามาเสียใจทีหลังแล้วกัน”
หลางเซียวฉินรีบตั้งหลักกลับมาก่อนจะพุ่งเข้าหาฉือเทียน และตวัดขวาเตะ
“วืดด”
ฉือเทียนเอี้ยวตัวหลบ เลยทำให้การโจมตีของหลางเซียวฉินพลาดเป้าไป แต่ว่าเท่านี้มันก็ยังไม่พอเมื่อขาที่เตะพลาดเป้าหมุนกลับมาเป็นฐาน แล้วใช้ขาอีกข้างตวัดหางฟาดเข้าไปบริเวณลำตัว
“ตูม”
ด้วยทักษะอันเลิศล้ำ ประกอบกับพลิกแพลงกระบวนท่า จึงทำให้ฉือเทียนรับมือยากพอสมควร แต่ด้วยลูกเตะเมื่อครู่นี้มันก็สร้างรอยร้าวบนกระดูกขึ้นอยู่ไม่น้อยเหมือนกัน
แววตาอันคมกริบของฉือเทียนเปล่งประกายขึ้นมา “ประเสริฐมาก! หากตระกูลหลางต้องการเป็นปรปักษ์กับนิกายเพลิงผลาญของข้า เช่นนั้นก็อย่าอยู่เลย”
พลังลมปราณภายในร่างของฉือเทียนเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แรงกดปราณก่อเกิดขั้นสูงเริ่มกระจายออกมา ใบหน้าเริ่มปรับเปลี่ยนเป็นนิ่งสงบ หมัดทั้งสองเริ่มกำแน่นจนเส้นเลือดปูดออกมา
“อย่าได้คิดว่าข้าจะกลัวเจ้า”
หลางเซียวฉินเองก็เช่นกัน เขาเริ่มเร่งพลังลมปราณขึ้น ออร่าสีฟ้าทะลักออกมาจากร่าง จนอุณหภูมิรอบข้างลดลงเรื่อยๆ
ฉางหยางรีบใช้โอกาสนี้ลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล และหันหน้าไปมองชายชราหลางเซียวฉิน
“ข้าขอบคุณท่านมาก ในวันข้างหน้าข้าจะตอบแทนผู้อาวุโสแน่นอน”
เขาจำได้เลยว่าชายชราผู้นี้เคยอยู่ที่โรงประมูลตระกูลหลางตอนที่เขาไปขายแหวนมิติ และตอนนั้นเขาก็ไม่เอะใจเลยว่าเป็นถึงผู้นำตระกูลรุ่นก่อน ซึ่งมันก็เป็นไม่ได้เลยที่ผู้ฝึกวรยุทธระดับสูงขนาดนี้จะเป็นเพียงแค่ชายชราธรรมดา
นี่มันก็คลายข้อสงสัยของเขาพอดี ที่ครุ่นคิดมาตลอดเวลาว่าทำไมชายชราผู้ไม่ค่อยรู้จักกันถึงมาช่วยเขาได้
“บางทีอาจจะเป็นเพราะหลางหลู่เออร์ก็ได้ สงสัยข้าต้องทำดีกับนางบ้างเสียแล้ว”
ฉางหยางยิ้มอย่างพึงพอใจ ไม่นึกเลยว่าหลางหลู่เออร์จะเป็นประโยชน์ต่อเขาในยามนี้ แต่ว่านางก็ช่างเป็นหญิงที่เข้าใจยากจริงๆ เขาก็ไม่รู้จะทำอย่างไรให้นางพึงพอใจ
อย่างไรก็ตามเขาต้องรอเฉินตี้บินมาหาก่อน ถึงจะสามารถหนีออกมาที่นี่ได้ และยังไม่รู้เลยว่าภารกิจสังหารฮุ่ยเจียสำเร็จลงด้วยดีหรือไม่
ระหว่างที่ฉางหยางกำลังหนีอยู่ ฉือเทียนและหลางเซียวฉินต่างก็เตรียมพร้อมเข้าปะทะกัน
“หลางเซียวฉิน แกช่างรนหาที่ตายจริงๆ เพียงแค่ผู้ฝึกวรยุทธรุ่นเยาว์คนเดียวกลับต้องสอดมือเข้ามายุ่งเชียวรึ”ฉือเทียนกล่าว
“ฮึ! มันก็ขึ้นอยู่กับว่าแกจะมีความสามารถพอที่จะสังหารข้าได้หรือไม่เท่านั้นเอง” หลางเซียวฉินแค้นเสียงขึ้น
“เช่นนั้นก็ตายซะ หมัดคู่มังกรเพลิง!”
“กรร”
พลังปราณมหาศาลถูกปล่อยออกจากหมัดทั้งสองข้างของฉือเทียน จนควบแน่นรวมกันกลายเป็นมังกรเพลิงขนาดห้าเมตรพุ่งเข้าหาหลางเซียวฉิน
ทางด้านของหลางเซียวฉินก็ไม่น้อยหน้าเหมือนกัน “เอาไปกิน ฝ่ามือเยือกแข็ง”
ปรากฏเป็นมือขนาดยักษ์สีฟ้า พร้อมไอเย็นปะทะเข้ากับมังกรเพลิงอย่างรุนแรง
“ตูม ฟู่....”
ไอน้ำกระจายออกไปทั่วบดบังสายตาของทั้งคู่ แรงลมก็โบกสะบัดราวกับพายุคลั่ง แต่ร่างของทั้งสองกลับยืนนิ่งไม่ไหวติงเลย
“หักล้างกันเองรึ”
เสียงกล่าวถูกเอ่ยขึ้นพร้อมกัน พวกเขาได้คิดไว้อยู่แล้วว่าต้องเป็นนี้ เนื่องด้วยเคล็ดวิชาตระกูลหลางเป็นสายเยือกแข็งเป็นส่วนใหญ่ และเคล็ดวิชาของนิกายเพลิงผลาญก็มีแต่สายเปลวเพลิง แต่ก็มีเคล็ดวิชาอื่นผสมอยู่ด้วยเหมือนกัน นี่จึงทำให้ผลมันออกมาแบบนี้...