WOC ตอนที่ 5 - หุบเขาหมอกสะท้าน
ฝากติดตามเพจด้วยนะครับ แฟนเพจ แจ้งเตือนก่อนใคร กดเลย
https://www.facebook.com/WorldofCultivation/
แปลและเรียบเรียงโดย Maddox translation
ตอนที่ 5: หุบเขาหมอกสะท้าน
ด้วยจี้หยกในมือของจั้วโม ทำให้สามารถเข้าหุบเขาหมอกสะท้านได้อย่างปลอดภัย
บริเวณทางเข้าถูกปกคลุมไปด้วยหมอกหนา
จั้วโม ลังเลอยู่ชั่วครู่ ก่อนจะก้าวเข้าไปในม่านหมอกสีขาวตรงหน้า
เมื่อเขาเคลื่อนตัวเข้าไป ดูเหมือนว่าหมอกเหล่านี้จะจดจำเขาได้ พวกมันกระจายตัวออกเผยให้เห็นเส้นทางเล็กๆขึ้นตรงหน้า
เขาพ่นลมหายใจออกอย่างผ่อนคลาย เขารู้สึกชื่นชมเทคนิคของนิกาย ถ้าวันหนึ่งข้าสามารถทำแบบนี้ได้บ้างคงรู้สึกดีไม่ใช่น้อย
หลังจากที่เขาเดินตามทางเข้ามาได้สองลี้ ประสาทการรับรู้ของเขาก็ขยายกว้างขึ้น
หุบเขาเต็มไปด้วยสมุนไพรนานาชนิด สีของพวกมันแตกต่างกันและมีรูปทรงที่แปลกตายิ่งนัก ราวกับว่าหุบเขาแห่งนี้ถูกปูด้วยพรมหลากสี ผีเสื้อหางนกกระจอกสีรุ้งหลายสิบตัว และฝูงผึ้งสีเหลืองคาดดำต่างพากันบินไปมา
บริเวณด้านล่างของหุบเขา มีน้ำตกสีเงินไหลผ่านเสียงดังราวกับฟ้าคะนอง ด้วยพลังอันยิ่งใหญ่ราวกับน้ำจะไม่มีวันเหือดแห้ง
ความชิ้นและกลิ่นของสมุนไพรคละคลุ้งปะปนกันไปในอากาศ จั้มโมอดสูดหายใจเข้าด้วยความสบายใจเสียมิได้ เขารู้สึกว่าบางทีการดูแลทุ่งสมุนไพรเหล่านี้ก็มิได้เลวร้ายอย่างที่คิด
จั้วโมจำได้ว่าศิษย์พี่หญิงห่าวหมินเตือนให้เขารดน้ำทุกวัน ทันใดนั้นเขาก็รีบใช้เคล็ดเมฆาฝนโปรยทันที
ความชื้นที่กลั่นตัวออกมาจากอากาศจากทั่วทิศทาง รวมตัวกันกลายเป็นลูกบอลเมฆลอยเหนือทุ่งยา มือของจั้วโมขยับวูบวาบเปลี่ยนไปมาอย่างรวดเร็ว และหลังจากการเคลื่อนไหวที่เร่าร้อน ฝนก็เริ่มปรอยลงในทุ่งยา
ทั้งหมดนี้กินเวลาประมาณหนึ่งชั่วโมงก่อนที่ก้อนเมฆจะสลายไป จั้วโมรู้สึกผ่อนคลายลงทันที เคล็ดเมฆาฝนโปรยนั้นไม่ได้ยากสำหรับเขา จ้าวโมหวังว่ามันจะไม่เกิดเหตุการณ์ร้ายแรงขึ้นที่นี่ ก่อนที่ศิษย์พี่หญิงหาวหมินจะกลับมา
เพราะเขาไม่มีปัญญาแก้ไขสถานการณ์ใดๆ ได้นั้นเอง
จ้าวโมจินตราการถึงกรณีที่เลวร้ายที่สุด ตัวเขามีสภาพร่างกายที่ไวต่อพลังหลิง และพลังหลิงในหุบเขานี้ก็หนาแน่นมาก นั้นจะทำให้พืชหลิงที่ปลุกที่นี่นั้นมีคุณภาพดี
ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นจริง เขาจะ ... ...
จิตใจของจั้วโมเตลิดไปแล้ว
แม้ว่าเส้นทางนี้จะมีหลายชั้น แต่จั้วโมก็ไม่พบผู้ใดอยู่ในหุบเขานี้เลย แอ่งน้ำข้างล่างนั้นลึกเป็นอย่างมากจนไม่สามารถมองเห็นก้นได้ ความหนาวเย็นของน้ำนั้นซึมซับเข้าไปถึงกระดูก เสียงของน้ำตกดังก้องไปทั่วหุบเขา
จั้วโมกำลังตรวจสอบเมล็ดหลิงที่ละเมล็ด เขาจำเป็นต้องจดจำลักษณะของพืชหลิงให้ขึ้นใจด้วยวิธีนี้ เพราะเขายังไม่มีความรู้เกี่ยวกับพืชหลิงมากนัก เขาไม่ได้หวังว่าจะได้รับรางวัลใด ๆ เขาเพียงหวังว่ามันจะไม่มีเหตุการณ์ร้ายแรงอะไรเกิดขึ้น
เพราะพืชหลิงที่นี่มีมูลค่ามหาศาล แม้เขาจะขายอวัยวะจนหมด เขาก็ไม่สามารถนำเงินมาใช้หนี้ได้หมดสิ้น
เมื่อท้องฟ้ามืดลงเขาก็สังขารที่อ่อนล้ากลับบ้าน และเมื่อเห็นพื้นที่รอบๆ บ้านเละเทะ ทรุดโทรม จั้วโมก็รู้สึกเหมือนอยากจะร้องไห้ขึ้นมาทันที
ตอนนี้เขาไม่มีพลังในการสร้างแหล่งกำเนิดพลัง เพราะความเหนื่อยล้าจนแทบจะลืมตาต่อไปไม่ไหว
เมื่อกลับไปที่ห้องแยกตัวเขาเพียง เขาก็ใส่พลังหลิงลงในแท็บเล็ตเสียงก่อนจะล้มตัวนอนอย่างหมดแรงและหลับไปในที่สุด
จั้วโมตื่นขึ้นมาด้วยเสียงของแท็บเล็ตเสียง
"การแข่งขันทดสอบประบี่ครั้งที่ยี่สิบสาม รอบคัดเลือก ได้จบรอบลงแล้ว ตอนนี้มีกระบี่ถึงสี่พันสองร้อยห้าสิบสามเล่มที่ผ่านเข้ารอบ และปีนี้เราก็มีรางวัลให้มากมาย หนึ่งร้อยอันดับแรกจะได้รับกระบี่บินระดับ 4 สิบอันดับแรกจะได้รับกระบี่บินระดับ 5 และรางวัลสำหรับผู้ชนะนั้นได้รับการยืนยันว่าเป็น อาวุธระดับ 7 ซึ่งเป็นอาวุธที่ระดับสูงที่สุดทั้งแต่มีการแข่งขันมา และนั้นก็ดึงดูดความสนใจของนิยายต่างๆ มากมาย ไม่ว่าจะเป็น นิยายกระบี่อู่เฉิง นิยายกระบี่ซัวหลัว... "
"เยี่ยมจริงๆ เยี่ยมจริงๆ เยี่ยมจริงๆ ไม่มีโอกาส ไม่มีโอกาส ไม่มีโอกาศ"
จั้วโมลุกขึ้นจากเตียง พร้อมพึมพำด้วยเสียงแปลก ๆ
เขาเดินออกจากห้องแยกตัว เพื่อสร้างแหล่งดำเนิดพลัง
เขาจำเป็นที่จะต้องทำความสะอาดอิฐหินดินทรายรอบๆ บริเวณโดยรอบให้เสร็จสิ้นซะก่อน มิฉะนั้นเขาไม่มีพื้นที่ในการตั้งค่าแหล่งกำเนิดพลัง ด้วยเหลียงซีขั้นที่เจ็ดของเขาได้
จั้วโมฮัมเพลงเบาๆ พลางทำความสะอาดผนังที่แตกหัก บ้านนี้ถูกสร้างขึ้นนานแล้ว แล้วตอนนี้มันก็พลังทลายลงด้วยฝีมือของหลัวลี่ ซี่เซียง และเมื่อนึกถึงท่าทางที่แข็งแกร่ง และน่าประทับใจของหลัวลี่ซีเซียงตอนลงมาจากฟากฟ้าแล้ว จั้วโมก็รู้สึกใจเต้นรัวอย่างควบคุมไม่ได้
ทันใดนั้นเอง จั้วโมก็เหลือบไปเห็นอะไรบางอย่าง เขารีบก้มเก็บมันขึ้นมาจากพื้นทันที
มันเป็นกระเรียนกระดาษสีชมพูขนาดเล็ก ซึ่งมีขนาดเล็กกว่ากระเรียนกระดาษของจั้วโมซะอีก นี่คือกระเรียนพันลี้ที่เอาไว้ส่งข้อความและเสียงนั่นเอง แต่มันก็คล้ายกับเป็นของเล่นเสียมากกว่า เพราะความเร็วของมันนั้นไม่เทียบเท่าการส่งด้วยกระบี่บิน โดยเฉพาะในระยะทางไกลนั้นยิ่งไม่สะดวก ดังนั้นผู้ฝึกตนที่ใช้มันก็มักจะเป็นผู้ฝึกตนที่มีพลังต่ำกว่าขั้นจินตัง
แล้วนี่มันมาอยู่ในบ้านเขาได้อย่างไร ?
จั้วโมคลี่กระเรียนกระดาษนี้ด้วยความหยาบคาบ แล้วเข้าก็ใจได้ทันทีหลังจากที่เห็น มันเป็นกระเรียนพันนี้แห่งความหวังอย่างแน่นอน
นานมาแล้วเมื่อผู้ฝึกตนคนใดที่เจอเข้ากับอันตราย หรือติดกับดัก และไม่สามารถหาทางออกมาได้ ผู้ฝึกตนเหล่านั้นก็มักจะฝากข้อความไว้ในกระเรียนกระดาษและให้บินออกไปโดยอิสระ โดยหวังว่าจะมีคนมาพบมันและกลับมาช่วยเหลือพวกเขา และเนื่องจากมันไม่มีการลงตราประทับใดๆ และไม่รู้ว่ากระเรียนกระดาษนี้จะเดินทางไปที่ไหน แต่อายุของผู้ฝึกตนนั้นก็ยืนยาวอย่างยิ่ง ถ้าหากพวกเขาโชคดีก็จะมีคนมาช่วยเหลือได้ทัน
และหลังจากนั้น กระเรียนกระดาษแห่งความหวังก็กลายมาเป็นเกมของเหล่าหญิงสาว ที่ต้องการบอกความรู้สึก โดยพวกนางจะใช้กระเรียนกระดาษเขียนอารมณ์ความรู้สึกของพวกเธอลงไป และหากใครที่เห็บพวกมันได้ พวกเขาก็สามารถส่งข้อความกลับไปได้จากตราประทับที่มีอยู่
อะไรจะทำให้หัวใจของหญิงสาวเต้นรัวไปกว่าโชคชะตาได้อีก ?
จั้วโมไม่สามารถเข้าใจได้ ในหัวของเขามีเพียงแหล่งกำเนิดพลัง และการปลูกพืชหลิงเท่านั้น เรื่องโรแมนติกของหนุ่มสาวเช่นนี้ไม่มีอยู่ในความคิดของเขาเลยแม้แต่น้อย
ตัวอักษรที่เขียนมากับกระเรียนพันลี้แห่งความหวังนี้เป็นลายมือที่งดงามยิ่ง
"หวังเป็นอย่างมาก
แบกกระเป๋า
ออกเดินทาง
ไปยังสถานที่ที่ไม่มีใครอื่น
เพื่อร้องเพลง
และอาบแสงตะวัน"
ประโยคอันไร้สาระนี้ ทำให้จั้วโมแอบหัวเราะอยู่ในลำคอ ความคิดของจั้วโมแม่นยำอย่างที่สุด ช่างเสียของจริงๆ แม้จั้วโมจะไม่รู้ว่ากระดาษนี้ทำมาจากอะไร แต่ดูเหมือนคุณภาพของกระดาษจะไม่ต่ำกว่าระดับสาม
ใช้กระดาษระดับสาม เพื่อบันทึกข้อความเยี่ยมนี้ คนผู้นี้อยากทำให้คนคลั่งใจตายหรือไร
เมื่อคิดว่ากระดาษใบนี้ไม่มีวันนำกลับมาใช้งานได้อีก จั้วโมก็รู้สึกเสียดายเป็นอย่างมาก
ในขณะที่กำลังจะขยำกระดาษแผ่นนี้ทิ้ง เขาก็กึก คล้ายนึกอะไรบางอย่างออก จากนั้นก็รีบวิ่งกลับเข้าไปในห้องพร้อมมองหาอะไรบางอย่าง
สุดท้ายเขาก็พบเขาก็พบสิ่งที่ต้องการ
มันคือหมึกสีชาด และพู่กันขนพอง
จั้วโมนำพู่กันจุ่มลงในหมึก และเขียนขำบางอย่างลงไปในทันที
" งี่เง่า "
เมื่อมองไปที่ตัวอักษรสีแดงสดที่แทบจะเต็มพื้นที่ของกระดาษ จั้วโมก็หัวเราะออกมาด้วยเสียงอันดัง
ชีวิตของเขานั้น เบื่อหน่ายและยากลำบากอย่างมาก เขาไม่มีเวลาแม้แค่จะหดหู่ เขารู้ดีว่าปัญหาทุกคนล้วนมีปัญหาในชีวิต พวกเขาต่างทำเพื่อคนรัก เพื่อครอบครัว เพื่อลูกหลาน แม้ว่าจะยากและเหนื่อยล้ามากเพียงไร แต่เขาก็ไม่ได้รังเกียจชีวิตเช่นนี้ ตรงกันข้าม เขากลับคิดว่านี่แหละคือชีวิต
โดยเฉพาะผู้ที่ไร้ความความทะเยอทะยานและไร้ชีวิตไปวันๆ โดนไร้จุดหมายเท่านั้นที่จะเขียนเรื่องไร้สาระเช่นนี้ออกมาได้ แน่นอนว่าจั้วโมล้วนดูถูกดูแคลนคนเหล่านั้น
จั้วโมพับกระดาษกลับคืนด้วยอารมณ์ที่ร่าเริงยิ่ง
"งี่เง่า งี่เง่า งี่เง่า เจ้าคนงี่เง่า เจ๊าคือคนงี่ง๊าาวววว..... "
มีตราประทับอยู่บนกระเรียนพันลี้นี้อยู่แล้ว ดังนั้นจั้วโมเพียงใส่พลังหลิงเข้าไป จากนั้นก็โยนมันขึ้นไปในอากาศ
นกกระเรียนสีชมพูกระพือปีก ปีกเล็ก ๆ และหายตัวไปในท้องฟ้าทันที
อารมณ์ของจั้วโมดีขึ้นอย่างมาก เมื่อติดตั้งแหล่งกำเนิดหลังเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็หาอะไรกินก่อนที่จะกลับไปที่ห้องเพื่อบ่มเพาะพลัง
สมาชิกนิยายชั้นนอกมักไม่ค่อยใช้เวลาในการบ่มเพาะพลังนานนัก เมื่อเทียบกับการเรียนรู้วิชาศิลปะต่างๆ แล้วการบ่มเพาะพลังนั้นไม่ได้ช่วยมากเท่าใดนัก
อย่างไรก็ตามจั้วโมยังคงใช้เวลาสี่ชั่วโมงต่อวันเพื่อฝึนฝน หลังจากที่เขาเส้นลมปราณภายในห้องแยกตัวแล้ว เขาก็ใช้เวลามากขึ้นในในการฝึนฝน การบ่มเพาะพลังเป็นพื้นฐานที่สำคัญ แม้ว่าคัมภีร์ที่เขาฝึกอยู่นั้นจะธรรมดาอย่างมาก แต่ผลลัพท์ของมันนั้นก็นับว่าดียิ่ง
จั้วโมรู้สึกว่าหากเขาบรรลุถึงขั้นจูจิ แล้วแม้ว่าเขาจะเป็นเพียงสมาชิกชั้นนอกของพรรค แต่หาวหมินและหลัวลี่ก็จะไม่กล้าที่จะปฏิบัติกับเขาเช่นเดิมอย่างแน่นอน ระดับจจูจิ เป็นจะเป็นตัวตัดสินชีวิตของเขา
เพื่อให้สามารถมีชีวิตได้อย่างสงบ วิธีเดียวคือการเพิ่มพลังให้มากที่สุด
จั้วโมฝึนฝนบ่มเพาะพลังถึงหกชั่วโมง และเมื่อเขาลืมตาขึ้นดวงตาของเขาเต็มไปด้วยความสุข
เหลียงซีขั้นที่แปด !
หลังจากความพยายามอย่างหนัก ในที่สุดจั้วโมก็เข้าสู่เหลียงซีขั้นที่แปดได้สำเร็จ!
ภายในนิกายกระบี่อู๋คงนั้น แน่นอนว่าเขาสามารถอยู่ในสามลำดับแรกได้แล้ว
จั้วโมกางนิ้มออกพร้อมร่ายคาถา ชั้นของพลังงานยุคทอง ปรากฏอยู่รอบ ๆ นิ้วมือของเขา หลังจากการเลื่อนขั้น ทำให้เจาสามารถควบคุมวิชานี้ได้คล่องแคล่วมากขึ้น นั้นทำให้จั้วโมรู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก แน่นอนว่าเขาเริ่มใช้เคล็ดเมฆาฝนโปรบในทันที
จั้วโมรู้สึกได้ถึงความแตกต่าง ความเร็วในการรวบรวมความชื้นนั้นรวดเร็วขึ้นมาก หยาดฝนเทลงสู่พื้นโดยไม่หยุดหย่อน สำหรับเขานี่เป็นประสบการณ์อันแปลกใหม่อย่างยิ่ง
และเมื่อนึกถึงทุ่งยา เขาก็รีบวิ่งออกไปยังที่นั่นทันที
การวิ่งไปยังหุบเขาหมอกสะท้านโดยไม่หยุดพัก เขาเริ่มต้นใช้เคล็ดเมฆาฝนปรอยในทันที และเมื่อสายฝนเริ่มร่วงลงสู่พื้น พร้อมๆ กับหัวใจของเขาก็หล่นตุบลงตาตุ่มเช่นเดียวกัน