ตอนที่แล้วWOC บทที่ 3 - ทุ่งเล็กๆทั้งสาม
ทั้งหมดรายชื่อตอน
ตอนถัดไปWOC ตอนที่ 5 - หุบเขาหมอกสะท้าน

WOC บทที่ 4 - ไร้เหตุผล


ฝากติดตามเพจด้วยนะครับ แฟนเพจ แจ้งเตือนก่อนใคร กดเลย

https://www.facebook.com/WorldofCultivation/

บทที่ 4 ไร้เหตุผล

แสงสว่างของพระอาทิตย์ค่อยค่อยขึ้นสู่ขอบฟ้าสลายความมืดมิดผ่านแสงสีแดงอันเชิดฉาย เมื่อแสงอาทิตย์ไหลผ่านหน้าต่าง ทอแสงสีทอง

จั้วโมค่อยค่อยยืนนิ้วชี้ของเขาไปทางด้านหน้าผ่านสายตาสีแดงชาด

ตอนนี้ดูเหมือนว่าจะมีชั้นขึ้นบางบางสีทองเคลือบอยู่บริเวณนิ้วชี้ของเขา นัยน์ตาของ jumo นั้นแปลกประหลาดใจอย่างยิ่งแสงแดดค่อยค่อยเปลี่ยนทิศไปอย่างรวดเร็วและแล้วนิ้วของเขาก็ค่อยๆกลับสู่รูปร่างเดิม พร้อมเปล่งประกายไปด้วยชั้นพลังงานสีทองอร่ามโคจรรอบรอบนิ้ว

“นี่มันพลังงานสัประยุทธทองคำ”

“เหง่ง เหง่ง เหง่ง เหง่ง เหง่ง”เสียงระฆังดังจำนวน 5 ครั้งสั่นสะเทือนไปทั้งภูเขา

แสงสีทองจากนิ้วค่อยค่อยพลังหายไป

จั้วโมกระโดดขึ้นจากพื้น ให้ตายสิ นี่มันเช้าแล้ว เขาไม่สนใจความหิวใดใดทั้งสิ้นและวิ่งออกไปข้างหน้าเรากับสายลม

ในขณะนี้ บนฟากฟ้าเหนือภูเขาอู่ก้ง มีบางสิ่งบางอย่างนับร้อยบินเหนือเทือกเขาลอยไปทางทิศที่เดียวกัน

จั้วโมสาปแช่งกฏสำหรับเหล่าสาวกมีกายฉันนอกเนื่องจากพวกเขาถูกห้ามไม่ให้บินภายในหุบเขา มันทำให้เท้าของเขารู้สึกขุ่นเคืองอย่างยิ่ง

ห้องโถงแห่งการรับรู้นั้นตั้งอยู่บริเวณจุดสูงสุดในลักษณะเขาวัวของเทือกเขาอู้กง ภูเขาแห่งนี้จึงได้ตั้งชื่อตามรูปร่างของมัน

เมื่อจั้วโมเดินทางเข้าสู่ห้องโถงแห่งการรับรู้เขาก็พบว่ามีคนจำนวนมากหลายคนนั่งอยู่เขาจึงหาที่นั่งของเขา

ที่ด้านหน้ามีเราคนหนุ่มนั่งอยู่ประมาณ 20 คนหรือมากกว่านั้นใบหน้าของเขานั้นใสสะอาดเรียบเนียนราวกับหยก ดวงตาของพวกเขานั้นเปล่งประกายราวกับแสงดวงดาวทำให้มีความรู้สึกอันตราย มาพร้อมกับเสื้อคลุมเข้มสีน้ำเงินโดดเด่นท่ามกลางบรรดาสมาชิกนับหมื่นภายในห้อง พวกเขาเปรียบได้กับนกกระเรียนท่ามกลางฝูงไก่

ซวีเย่ผู้ที่ถือครองอันดับ 3 ในหมวดหมู่สาวกนิกายเป็นชั้นใน โดยปกติแล้วเขานั้นเป็นผู้รับผิดชอบในการสอนเหล่าสาวกฉันนอกเขาเป็นสิทธิ์ของหัวหน้าซินเยียน เขานั่นคือเป็นคนที่มีพรสวรรค์สูงมากในเราหมวดหมู่ของนิกายภายใน นอกเหนือจากนั้นเขายังมีความรู้มากมายในหัวข้อเคล็ดวิชาต่างๆ

“เหง่ง”เสียงระฆังบนโต๊ะทำจากหยกดังขึ้นแพร่กระจายไป จิตใจของจั้วโมรู้สึกตื่นเต้นจนผ่อนคลายความเหนื่อยล้าจากเมื่อคืนนี้

เบื้องหน้าปรากฏเป็นชุดหยกสีเขียวเข้มของวีรบุรุษซวียี่ซึ่งชุดนี้เป็นหนึ่งในอุปกรณ์ที่จั้วโมต้องการมากที่สุดมันถูกวางอยู่บนชั้นวางทองแดงมีระฆังสีเขียวเข้ม 7 ใบเรียงตั้งแต่ขนาดใหญ่ไปเล็กแสงสีเขียวที่เปล่งประกายออกมานั้นทำให้มันน่าดึงดูดและสนใจอย่างยิ่ง

ระฆังแต่ละตัวนั้นแสดงเสียงออกมีผลต่างกัน ระฆังแต่ละตัวที่ถูกโจมตีด้วยกระบวนท่า [คลื่นเสียงสดใสก้องกังวาล]

โดยทุกการกระบวนท่านั้น จั้วโมทำได้แค่เพียงอิจฉาเท่านั้น ระฆังส่งเสียงดังและส่งคลื่นพลังมหาศาลออกมาโดยศิษย์พี่ซวีเย่ นี่เป็นสิ่งที่สิ่งที่คนอื่นไม่สามารถทำได้

ศิษย์นิกายชั้นนอกต่างหลงใหลในตัวของศิษย์พี่ซวีเย่ มากกว่าศิษย์คนอื่นใดใดทั้งสิ้น ใครกันล่ะสามารถจะใช้ท่า [คลื่นเสียงสดใสก้องกังวาล] เพื่อปลดปล่อยความคิดของพวกเขาได้

เพียงแค่แขนของซวีเย่สะบัดออกไปทางทิศของประตูห้องโถงแห่งการรับรู้ประตูเหล่านั้นจะถูกปิดในทันที

แต่ความสนใจของจั้วโมงั้นอยู่บริเวณหน้าโต๊ะของเหล่าศิษย์ทั้งหลายนอกเหนือจากชุดระฆังหยกมันยังมีของศักดิ์สิทธิ์อีกมากมาย

การทุบตี? จั้วโมรู้สึกปลื้มปิติเป็นอย่างมาก ตั้งแต่ที่เขาเข้ามาในนิกายกระบี่อู้กงเป็นเวลาถึง 2 ปีเขากลับไม่เคยได้ยินเรื่องวีรบุรุษซาน[ผู้ที่บรรลุพลังระดับที่ 3]

ในช่วงเวลาที่ผ่านผ่านมานั้นวีรบุรุษสารนั้นได้อีกสอนการบ่มเพาะพลังในบางอย่างเพื่อสร้างประโยชน์ให้กับเหล่านี้ใจสาวกชั้นนอก หลายคนเข้าศูนย์วิจัยนี้เพียงเพื่อนเรียนรู้การบ่มเพาะพลังเหล่านี้เพราะหลังจากที่เขาออกจากนิกายพวกเขาจะสามารถหางานที่ดีกว่าเดิมได้

เช็คเช่นเดียวกับจั้วโม เขานั้นบรรลุการบ่มเพาะพลังระดับเหลียงฉี ขั้นที่ 7 เท่านั้น  แต่ถ้าเทียบกับระดับที่ 3 ของเคล็ดวิชาเมฆาฝนโปรย เขาก็จะสามารถหางานดีๆได้ในฟาร์มหรือว่าในส่วนของแพทย์เทียนหยูเจียน เพราะในช่วงนี้บรรดาสิ่งแวดล้อมสภาพอากาศปากเป็นใจให้การปลูกพืชสวนยาง

เหล่าตำราเพิ่มพลังปราณลิงและทั้งเพิ่มพลังการบ่มเพาะ ทั้งหมดเหล่านั้นมีสิ่งจำเป็นก็คือทรัพยากรเช่กเช่น เส้นหล่อเลี้ยงพลังหลิง โอสถหลิง แหล่งกำเนิดปราณ หากผู้ใดไม่อาจสะสมเราพลังเหล่านี้ได้พวกเขาจะต้องสูญเสียเวลาเป็นจำนวนมากในการฝึกฝน

มนต์คาถาคือการใช้พลังงานหลิงสิ่งจำเป็นที่สุดก็คือคำสอนและความเข้าใจ เหล่าอัจฉริยะจะสามารถเข้าใจได้โดยง่ายแต่สำหรับคนทั่วไปจำเป็นต้องได้รับคำสั่งสอนอย่างจริงจัง

นิกายขนาดใหญ่บางนิกาย ก่อนที่ศิษย์ของพวกเขาจะบรรลุระดับพลังขั้นจูจิ พวกเขานั้นจะถูกจำกัดการเรียนรู้เคล็ดวิชา นั่นเป็นเพราะว่าพวกเขาถูกคัดเลือกวิชาพื้นฐานที่ง่ายที่สุดให้ศึกษา

แต่สำหรับผู้ฝึกตนทั่วไป การบ่มเพาะนั้นเป็นเพียงแค่ภาพลวงตาเท่านั้นไม่ว่าจะเป็นเส้นหล่อเลี้ยงพลังหลิง โอสถหลิงหรือแม้กระทั่งแหล่งกำเนิดปราณ

ไม่มีสิ่งใดเลยที่พวกเขาต้องการนอกเหนือจากมนต์คาถา หากได้รับคาถาการเรียนรู้ที่ดีก็จะสามารถหางานที่ดีเพื่อให้ได้ค่าตอบแทนที่ดียิ่งขึ้นเพื่อเป็นหลักค้ำประกันการดำรงชีวิตและทำให้เหล่าลูกหลานไม่ต้องลำบากยากเย็นแสนเข็นในการบ่มเพาะพลัง

“พวกเจ้าจะต้องอยู่กับนิกายแห่งนี้เป็นเวลาช่วงเวลาหนึ่ง เพื่อเรียนรู้ความพยายามและความลำบากมันจะสอนให้พวกเจ้ารู้จักความอดทน การบ่มเพราะของพวกเจ้าจะต้องทำอย่างสม่ําเสมอและห้ามละเลยมัน มันจะทำให้พวกเจ้ามีอนาคตที่ง่ายยิ่งขึ้นและความพยายามของพวกเจ้าจะไม่สูญเปล่า การบ่มเพาะปราณผ่านเหล่าคัมภีร์คาถา ข้าจะไม่พูดไร้สาระอีกต่อไป ถ้าหากพวกเจ้าสามารถทำคะแนนในปีนี้ได้ยอดเยี่ยม ข้าแต่ยกคำภีร์คาถาระดับสูงให้แก่เจ้า”

“ในวันนี้ถ้าจะมาพูดถึง 2 วิธีในการสรรสร้างเหล่าเครื่องรางเสริมพลัง เส้นทางที่ 1 พลั่วกระตุ้นหลิง เส้นทางที่ 2 เข็มและด้ายแห่งถุงเท้า”

“พลั่วกระตุ้นหลิงเป็นเครื่องรางสำคัญในการดูแลเราทุ่งหญ่าหลิงมันสามารถกระตุ้นพลังงานหลิงทำให้เหล่าธัญพืชหลิงเหล่านั้นสามารถดูดซับพลังงานได้ง่าย ส่วนเข็มและด้ายแห่งถุงเท้าจะถูกนำมาเพื่อให้เราขึ้นลิงนั้นบริโภคแต่พวกเจ้าจงจำไว้ว่า พวกเจ้าป้องป้อนพลังงานหลิงอย่างรวดเร็ว มิเช่นนั้นพลังงานหลิงจะถูกท่อลำเลียงต่างๆกระจายไปสู่ภายนอก ทำให้พวกเจ้าไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับมันได้”

“พวกเจ้าจงตั้งใจฟังให้ดี ข้าจะพูดพวกมันทั้งหมดในวันนี้……….”

ศิษย์พี่ซวีเย่ชัดถ้อยชัดคำ คำพูดเหล่านั้นราวกับตรึงจิตวิญญาณของคนฟังให้เชื่อในทุกสิ่งที่เขาได้กล่าวออกมา

จั้วโมฟังอย่างตั้งใจนี่เป็นครั้งแรกในการที่เขาได้รับฟังเกี่ยวกับการสรรสร้าง เขาไม่อาจสูญเสียพลาดโอกาสรับฟังคำพูดเหล่านั้นได้แม้แต่คำเดียว

เมื่อศิษย์พี่ซวีเย่เสร็จสิ้นการบรรยาย 6 ชั่วโมงต่อมา จั้วโมมันไม่ได้กินอาหารเลยตลอดทั้งคืนเขาตั้งใจฝึกฝนอย่างมุ่งมั่นตลอด 6 ชั่วโมง เขาก็รีบวิ่งไปที่ลานกว้างของเขาเพื่อหาสิ่งเติมเต็มให้กับท้องที่กำลังคำราม

ก่อนที่เขาจะเริ่มเช็ดริมฝีปาก แสงกระบี่ทอวาบลงมาจากฟากฟ้าพุ่งตรงสู่ลานกว้าง แหล่งกำเนิดพลังงานที่ถูกติดตั้งไว้ไร้ซึ่งปฏิกิริยาใดใดทั้งสิ้นก่อนที่จะระเบิดออก

พลันปรากฏชายนิรนามที่ปล่อยคลื่นความเย็นยะเยือกสู่จั้วโม

จั้วโมกลืนคำสบถกลับเข้าไปในท้องของเขา หัวใจของเขาเต้นระรัว ทำไมสวรรค์ถึงส่งความตายมาให้ข้าตอนนี้?

เพียงชั่วอึดใจเดียวเขาก็ได้ยินเสียงหัวเราะพร้อมคำพูดว่า “เจ้าคือจั้วโมสินะ?”

“จั้วโมยินดีที่ได้พบท่าน ศิษย์พี่หลัวลี่” เสียงของจั้วโมแสดงเห็นถึงความเคารพอย่างสูง  ศิษย์พี่หลัวลี่ นั้นถูกจัดลำดับอยู่ในลำดับที่ 4 ของเหล่าสาวกนิกายชั้นในแต่เขานั้นมีความเชี่ยวชาญในการบ่มเพาะขั้นสูงมากที่สุดในเหล่าบรรดาสาวกวิจัยชั้นไหนรุ่นนี้ บุคลิกตามธรรมชาติของเขานั้นให้ความรู้สึกหนาวเหน็บและเขานั้นบ้าคลั่งในการบ่มเพาะพลังอย่างมาก พรสวรรค์นกเขาโดยธรรมชาตินั้นโดดเด่นอย่างมากในเหล่าบรรดาสมาชิกรุ่นที่ 2  เขาเป็นผู้เดียวในบรรดาเหล่าสาวกที่สามารถบรรลุเคล็ดวิชา[กระบี่อนัตตา] คนผู้นี้นั้นได้รับการยอมรับอย่างกว้างขวางว่าเป็นบุคคลในรอบ 200 ปีที่ได้บรรลุเคล็ดวิชาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของนิกายจากเขตวิชา[กระบี่จินตภาพ]

เช่กเช่นเดียวกับชื่อเสียงที่มีทั้งพรสวรรค์และพลังอำนาจลาวกับอารมณ์ต่างๆของเขา เขานั้นรับผิดชอบการดูแลเหมืองสำหรับนิกาย ตามข่าวลือ ถ้าคนที่ใช้งานผู้ฝึกคนมีจิตใจที่อ่อนแอกว่าผู้ที่ถูกใช้งาน เขาผู้นั้นจะถูกฆ่าทันที

หลัวลี่นั้นขี้เกียจจะพูดมากกับจั้วโม เขาปรากฏตัวขึ้นที่ด้านหลังของจั้วโม และบีบคอจั้วโมแล้วยกบินขึ้น

จั้วโมอาจเรียกตัวเองได้ว่าเป็นคนแรกในบรรดาเหล่าสาวกนิกายชั้นนอกที่มีม้าบินแต่นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้รับประสบการณ์บินโดยตัวเอง เขารู้สึกเพียงว่าท้องฟ้าและโลกกำลังหมุนไปเบื้องหน้าของใบหน้าของเขานั้นเจ็บทรมานอย่างมากเขาไม่อาจไม่ได้จะเปิดตามเขาได้

เมื่อเช้าของเขาแตะลงที่พื้น จั้วโมนั้นเกือบจะทรุดตัวลงไป

“จริงด้วยเจ้านี่มันมีใบหน้าที่เหมือนผีดิบจริงๆ”

จั้วโมผู้ซึ่งกำลังฟื้นตัวจากอาการวิงเวียนศีรษะพอรับรู้ได้ถึงเรื่องนี้แต่เสียงที่เขาได้ยินนั้นแทบจะเบามาก

หญิงสาวชุดเขียวมรกตผู้หนึ่งกำลังตรวจสอบเขาอย่างสนอกสนใจ ข้างของเธอนั้นค่อนข้างจะแหลมเล็กน้อยใบหน้าของเธอนั้นเต็มไปด้วยรอยยิ้มแต่ไร้ซึ่งความอบอุ่นผ่านสายตา

สายตาของเธอนั้นทำให้จั้วโมรู้สึกอึดอัดอย่างมากแต่เขาก็ไม่กล้าที่จะแสดงความไม่พอใจออกมาพร้อมทั้งกล่าวคำนับเทิดทูล “คาราวะศิษย์พี่หญิงห่าว”

ศิษย์พี่หญิงห่าวหมินและศิษย์พี่หลัวลี่ ทั้งสองคนนั้นเป็นลูกศิษย์ของปรมาจารย์ หยานเล่อ หลักการคาดเดาศิษย์พี่หลัวลี่ฉันหลงใหลเธออย่างประหลาด

“ถ้าได้ยินว่าเจ้าสำเร็จเคล็ดวิชาเมฆาฝนโปรยในขั้นที่ 3 แล้วอย่างนั้นหรือ?” ห่าวหมินถามจั้วโม

“ใช่แล้วครับ!ศิษย์พี่”

“ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยม”ห่าวหมินกล่าวอย่างพึงพอใจ

“ข้าจะไม่อยู่ที่ทุ่งแห่งนี้สักพักหนึ่ง ในเวลานี้ทุ่งโอสถของข้านั้นคงต้องขอให้เจ้าดูแล”

เมื่อไม่ได้รับคำตอบที่ได้จากจั่วโม  เธอก็โยนที่ยกให้กับจั้วโมผมพูดจาอย่างเยือกเย็นว่า “นี่คือตัวรับรองที่จะให้เจ้าเข้าไปในทุ่งโอสถของข้าได้ ฝนจะต้องตกวันละ 1 ครั้งตั้งแต่วันนี้จนกระทั่งข้ากลับมา ในเวลานี้ข้าคงต้องขอให้เจ้าช่วยดูแลทุ่งโอสถให้ข้าด้วย”

เสียงของเธอนั้นเริ่มจะรุนแรงขึ้นนี้เรื่อย “อารมณ์ของข้านั้นไม่ค่อยดี หักค่ากลับมาและพบบางสิ่งบางอย่างที่ผิดปกติในช่วงโอสถของข้า ข้าจะไม่มีวันให้อภัยเจ้าเด็ดขาด”

เมื่อจบคำพูด เธอนั้นก็ไม่ได้หันกลับไปมองจั้วโมอีก “ศิษย์พี่ไปกันเถอะ”

ใบหน้าของหลัวลี่พลันปรากฏความอบอุ่นเล็กๆขณะที่เขามองลวกๆไปยังจั้วโม พร้อมทั้งเหาะขึ้นไปผ่านอากาศ

จั้วโมถืออีหยกและยืนราวกับถูกแช่แข็งขณะมองดูพวกเขาทั้งสองหายไปบนท้องฟ้า

เมื่อถึงคราวโชคร้ายแม้น้ำลายก็ไม่อาจคืนลงคอได้ เขาไม่คาดคิดเลยว่าเขาจะโชคร้ายขนาดนี้

ในบรรดาสาวกนิยายฉันนอกนั้นไม่มีผู้ใดเลยที่ชื่นชอบศิษย์พี่หญิงห่าวหมิน เธอนั้นเป็นคนเหี้ยมโหดและเห็นแก่ตัว ทุกคำสั่งของเธอนั้นไม่เคยให้ประโยชน์ตอบแทนอะไรเลย อารมณ์ของเธอนั้นน่ารังเกียจแต่ไม่แปรปรวนเท่าศิษย์พี่หลัวลี่

ตั้งแต่เริ่มต้นสนทนาจนจบทั้งสองคนนั้นไม่เคยถามหาความคิดเห็นของจั้วโมเลย

จั้วโมกรีดร้องอย่างบ้าคลั่งอยู่ภายใน

ตั้งแต่เขาเกิดจนถึงปัจจุบันเขานั้นคลุกคลีอยู่กับทุ่งธัญพืชลิง แต่เขานั้นไม่เคยดูแลทางด้านทุ่งโอสถมาก่อนเลย นั่นจึงเป็นเหตุเลวร้ายอย่างยิ่งที่เขานั้นเดินก้าวเข้าสู่ขั้นที่ 3 ของเคล็ดวิชาเมฆาฝนโปรยในตอนนี้

เมื่อคิดถึงข้อตกลงระหว่างเขากับศิษย์พี่ทั้งสอง เขาก็ตกเข้าสู่อารมณ์หวานอมขมกลืน มีพื้นที่ 3 แห่งในนิกายอู้กงที่ใช้สำหรับการทำทุ่งโอสถ หนึ่งในนั้นเป็นของศิษย์พี่หญิงห่าวหมิน เธอนั้นคือครองดินแดนหุบเขาหมอกสะท้าน จั้วโม ถือจี้หยกพร้อมทั้งเดินไปในทิศของหุบเขาหมอกสะท้านในขณะที่หัวใจของเขานั้นบีบอย่างรุนแรง

หุบเขาหมอกสะท้านตั้งอยู่ระหว่าง 2 ยอดเขา ภูเขาแห่งนี้เต็มไปด้วยหมอกตลอดทั้งปี อุณหภูมินั้นต่ำกว่าที่ใดในภูเขาอู้ก้ง และนั่นคือที่มาของชื่อสถานที่นี้

พื้นที่แห่งนี้เป็นพื้นที่สำคัญของนิกาย สาวกพื้นฐานทั่วไปนั้นจะไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไป หากไม่ใช่ว่าเคล็ดเมฆาฝนโปรยของจั้วโมนั้นบรรลุถึงขั้นที่ 3 แล้ว ห่าวหมินคงไม่เลือกเขาแน่นอน

บนถนนเส้นทางเดินนั้น เต็มไปด้วยต้นไม้กบเจาหญ้าเขียวขจีเต็มทั่วพื้นที่ส่งกลิ่นหอมและทำให้ดูมีชีวิตชีวาบางครั้ง บางครั้งก็อาจพบเห็นสัตว์ขนาดเล็กๆเช่นกระต่ายกระรอกวิ่งผ่านกระโดดโลดเต้นอย่างสนุกสนาน แต่จั้วโมหาได้มีความสนใจในทัศนียภาพอันงดงาม หัวใจของเขานั้นมุ่งไปที่เทือกเขา ในขณะที่เขาถือจี้หยก ขาประเทศของเขาก็เริ่มสั่น

ทุกที่บนถนนนี้เต็มไปด้วยแหล่งกําเนิดพลังป้องกัน บางครั้งแหล่งกำเนิดพลังป้องกันนั้นก็แข็งแกร่งจนปล่อยกลิ่นไอที่น่ากลัวมากจนทำให้เขาเกือบหายใจไม่ออก แต่ด้วยระดับพลังเหลียนชีขั้นที่ 7 เขาจึงเดินผ่านมาได้อย่างไม่ยากลำบากเท่าไหร่

ถ้าหากไม่ใช่ว่าเขามีใบหน้าราวกับผีดิบ ใบหน้าเขาตอนนี้นั้นคงจะขาวซีดปราศจากเลือดอยู่ภายในอย่างแน่แท้

***** คำศัพท์ยากจุงงงงง 555555 ******

0 0 โหวต
Article Rating
8 Comments
Inline Feedbacks
ดูความคิดเห็นทั้งหมด