WOC บทที่ 2 – แท่งหยก
ฝากติดตามเพจด้วยนะครับ แฟนเพจ แจ้งเตือนก่อนใคร กดเลย
https://www.facebook.com/WorldofCultivation/
บทที่ 2 – แท่งหยก
ภาพดวงไฟล่องลอยราวกับภาพในจินตนาการ
โคมไฟประดับประดาทั้งสองข้างของถนน แสงไฟสว่างสดใสและอ่อนโยนราวดวงไฟจากฟากฟ้า สัตว์จิตวิญญาณหลิงต่างร้องและส่งเสียง พร้อมทั้งแสงไฟที่ออกมาจากยุทธภัณฑ์เวทย์ที่ลอยอยู่ ยิ่งดูน่าสนใจราวกับเป็นฝนดาวตก ค่ำคืนที่หนาวเหน็บนั้นกลับไม่ทำให้ผู้คนลดลงเลยแม้แต่น้อย มันกลับดูวุ่นวายมากกว่าเดิม ร้านค้าทั้งหมดต่างทำการค้าขาย โดยมีพนังงานสวมชุดเครื่องแบบรอต้อนรับอยู่เบื้องหน้า คนหนึ่งถือระฆังทองแดง อีกคนนึงถือกระจกแปดเหลี่ยม
คนที่ถือกระฆังทองแดงร่ายคาถาพร้อมส่งเสียงที่ชัดเจนออกจากระฆังทองแดง “ร้านนี้ขายเครื่องรางทุกชนิดในราคาที่สมควร ไม่ว่าท่านจะไม่ใช้ผู้ฝึกตนขั้นเหลียนชี หรือมีเคล็ดวิชาขั้นจินตัง(ขั้นที่ 4) ร้านแห่งนี้สามารถตอบสนองทุกอย่างได้ตามที่ท่านต้องการ”
สิ่งที่จารึกอยู่บนระฆังทองแดงเป็นคาถาเสริมเสียง เสียงที่ออกมาไม่ถึงกับดังมากแต่มันก็ไม่ทำอันตรายกับหูผู้ที่ได้ยิน แม้ว่ามันจะส่งเสียงอยู่เป็นเวลานาน แต่กลับไม่มีผู้ใดสนใจ
ผู้ที่ถือกระจกแปดเหลี่ยม ร่ายมนสะกดในเวลาเดียวกัน กระจกแปดเหลี่ยมเริ่มส่องแสงขึ้นสูงเหนือศีรษะ ภาพสามมิติที่แตกต่างกันปรากฏขึ้น มันจะแปรเปลี่ยนตามเสียงระฆังที่เปลี่ยนไป นี้คือคาถาภาพลวงตา ที่สร้างภาพขึ้นมาให้คนคิดว่าเป็นของจริง
เมื่อเกิดการแข่งขันของร้านค้า พนักงานจะสั่นระฆังอย่างรวดเร็วยิ่งขึ้น เพื่อให้ภาพที่ออกมาหลากหลายยิ่งขึ้น ซึ่งการกระทำเหล่านี้เกิดขึ้นทั่วทุกมุมถนน
“50 ระดับของพื้นที่ลับแห่งสรวงสวรรค์จะมีเพียงฤดูใบไม้ผลิหลิง เพียงฤดูเดียว ในพื้นที่กว่า 500 ปิง(1 ปิง = 3.3 ตารางเมตร) จะเต็มไปด้วยแหล่งพลังงานหลิง ไม่ต้องกังวลไม่ว่าจะเป็นการทำปศุสัตว์หรือแม้กระทั่งการปลูกธัญพืชหลิงหรือหญ้าต่างๆ พวกเราขอรับประกันว่าผลที่ได้จะต้องดีเยี่ยม ห้ามพลาดเด็ดขาด”
“ร้านค้าเราขายสมุนไพรหลิงระดับสูงมากมาย ร้านค้าพันปีของข้าขอรับประกันคุณภาพ ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป โอสถทั้งหมดในร้านแห่งนี้รับรองโดยปรมาจารย์โอสถระดับสูงจากโรงเรียนแพทย์เทียนซิน”
“ถ้าท่านต้องการเข้าร่วมนิกายกระบี่อี้จีหุย ศูนย์ฝึกแห่งนี้จะฝึกฝนเหล่านักเรียนของเราตลอดจนจบปี เมื่อท่านผ่านการฝึกฝนคาถาเบื้องต้นในทุกประเภท ท่านจะรับประสบการณ์จากผู้ฝึกกระบี่ของนิกายกระบี่อี้จีหุยโดยตรง ข้ารับประกันให้แก่ทุกท่าน ท่านจะลังเลอะไรกันอีก? มาลองได้เลย ถ้าท่านใดสนใจในตอนนี้ รับส่วนลดไปเลยทันทีครึ่งนึง”
นี้คือเมืองที่ไร้ซึ่งกลางคืน เมืองหลักต้งฟู้!!!
จั่วโมไม่คุ้นเคยกับเมืองที่เจริญรุ่งเรือง เขาไม่ได้มาที่นี้บ่อยมากนัก หากเขาไม่อาจซื้อนกกระยางกระดาษได้ มันจะเป็นเรื่องยากยิ่งที่จะสามารถเดินทางมายังเมืองต้งฟู้
ถนนที่งดงามแห่งนี้มีแยกต่างๆมากมาย จั่วโมเริ่มมองอย่างมึนงง และที่สุดเขาหลงทาง
ให้ตายสิ ข้าหลงอีกแล้ว!!!
เขาตีหัวของเขาอย่างรุนแรง
ช่วยไม่ได้ จั่วโมเดินไปที่ต้นไทรและแหงนมองขึ้นไปช้างบน เขาเห็นนกสีแดงตัวเล็กมากมาย นกน้อยทั้งหมดมีสีแดงและมีหางที่ยาวสีแดงเข้ม เมือพวกมันโผบิน ราวกับเป็นคลื่นเพลิง พวกมันจึงถูกเรียกว่าวิหคอัคคี
พวกมันนั้นมีปัญญาและพลังจิต มันสามารถเข้าใจภาษามนุษย์ได้ หลายๆเมืองต่างใช้พวกมันในการบอกทิศทางหรือเป็นป้ายบนถนน อย่างไรก็ตาม มันก็ไม่ใช้ของฟรี
จั่วโมรู้สึกเจ็บปวด เขาเตรียมเงินคริสตัลขั้นที่ 1 จำนวน 1 ก้อน วิหคเพลิงกางปีกและบินโฉบลงมาจากต้นไม้ ตรงไปคาบเอาเงินและกลืนมันลงไปในท้อง
“ตลาดเสรี” จั่วโมตะโกน
วิหคอัคคีบินไปรอบๆศีรษะของเขาและมุ่งหน้าไปในทิศทางที่ถูกต้อง
จั่วโมรีบตามวิหคตัวนั้นไป วิหคอัคคีตัวนั้นบินอย่างช้าๆ ขนจากหางที่ยาวของมันเรืองแสงสีแดงสดใสตลอดยามค่ำคืน
แสงสีแดงกระจายออกไปทั่วเป็นทางในอากาศอย่างรวดเร็ว ผ่านถนนที่เต็มไปด้วยโคมไฟ เขาฟังการเร่ขายของอย่างเงียบๆ ดูภาพเสมือนจริงอย่างเงียบๆ เขารู้สึกว่าเวลา 2 ปีจากที่เขาลืมตาดูครั้งแรกนั้นผ่านไปเร็วมาก จั่วโมสงบลงอีกครั้ง
เมื่อเขาเห็นตลาดเสรีห่างไม่ไกลออกไป วิหคเพลิงบินวนบนหัวของจั่วโมอีกครั้ง เมื่อจั่วโมโบกมือไล่วิหคตัวนี้ มันหันหลังกลับและบินตามรอยเรืองแสงสีแดงที่อยู่ด้านหลังของมันในทิศทางที่มา
ตลาดเสรีเป็นตลาดที่ขึ้นชื่อสำหรับนักฝึกตนขั้นต่ำ ที่มันถูกเรียกว่าตลาดเสรี เป็นเพราะว่าความจริงคือไม่ว่าใครผู้ใดก็สามารถตั้งแผงการค้าและกำหนดราคาเองได้ แค่พวกเขาจะต้องซื้อห้องเล็กๆและจ่ายค่าส่วนต่างก่อนที่จะเริ่มวางขาย ราคาห้องเล็กนี้ถูกกว่าพื้นที่หน้าร้านค้า โดยปกติเมื่อห้องขนาดเล็กหดตัวลง มันจะมีขนาดเท่าฝามือและง่ายต่อการเคลื่อนย้าย ผู้ฝึกตนจำนวนมากมักจะซื้อมันและพาไปที่ต่างๆ พวกเขาจะได้ไม่ต้องกังวลว่าจะไม่มีที่นอน
ตลาดเสรีแห่งนี้ลักษณะเหมือนตารางหมากล้อมขนาดมหึมา แบ่งออกไปสีเหลี่ยม แต่ละตารางสามารถบรรลุห้องเล็กได้นับ 10 เรียงเป็นหน้า 5 หลัง 5
แต่จั่วโมก็พบเป้าหมายที่เขาต้องการพบอย่างรวดเร็ว
“โฮ พี่ชายโม ท่านมาอีกแล้ว”เจ้าของร้านผู้ชายอายุราว 27-28 ปี เขามีหัวที่แหลม ดวงตาของเขากรอกไปมาอย่างรวดเร็ว เขามีนามว่า ฝูจิ่น เขาไม่ได้สนใจการบ่มเพาะพลังมากนัก แต่อย่างน้อยเขาก็อยู่ในระดับเหลียนชีขั้นที่ 3 เขาเป็นคนที่มีความสามารถในการจัดการได้หลายๆอย่าง ถ้ามันเป็นยุทธภัณฑ์เวทย์ขั้นต่ำหรือคาถาบางคาถา เขาก็สามารถหามันได้ทั้งหมด
จั่วโมไม่พูดพรำทำเพลงและกล่าว“สิ่งที่ข้าต้องการ ท่านได้มันมาแล้วหรือเปล่า?”
“แน่นอนสิ แน่นอน”ฝูจิ่นตบหน้าอกตัวเองและหัวเราะเบาๆ “อะไรที่พี่ชายโมต้องการ ข้ายอมต้องหาสิ่งที่ดีที่สุดมาให้”
สุดท้าย เขาเริ่มที่จะหาของจากกระเป๋าข้างที่เอวของเขา จั่วโมมองกระเป๋าผ้าที่เอวของฝูจิ่น กระเป๋าผ้าแปลกๆนั้นคือ กระเป๋าสหัสทรัพย์ระดับ 3 (กระเป๋าพันช่อง)
และแล้วสายตาของจั่วโมก็ถูกดึงดูดโดยของที่อยู่ในมือของฝูจิ่น มันเป็นหยกสีอัมพร-มรกต กว้างประมาณ 1 นิ้วติดกัน 2 ข้อ มันคือแท่งหยก
“เออ พี่ชายโม อย่าหาว่าข้าเตือนท่านเลยนะ นี้คือแทงหยกเพาะปลูกหลิงมันมีคาถาอยู่ 5 แบบ 5 ชนิด แต่มีคนเพียงน้อยที่จะเรียนรู้มันทั้งหมดได้”ฝูจิ่นพูดอย่างเคร่งเครียด
“พี่ชายโมท่านมีทักษะ [ เคล็ดเมฆาฝนโปรย ] ถึงขั้นที่ 3 ทำไมท่านไม่ซื้อแท่งหยกคาถาวารีล่ะ? อย่าได้เคืองโกรธนิสัยช่างเจรจาของข้าเลย”
จั่วโมตอบอย่างเคร่งครึม “ขอบคุณมาก ท่านฝูจิ่น”
เมื่อเห็นจั่วโมตัดสินใจเด็ดขาด ฝูจิ่นยืนแท่งหยกให้กับเขา “ราคาของมันอยู่ที่ 20 ชิ้นคริสตัลหยกขั้นสอง”
จั่วโมยื่นคริสตัลหยกไปให้กับเขา
หยกคริสตัล 20 ชิ้นถือได้ว่าเป็นเงินจำนวนมากในการดำเนินธุรกิจ ฝูจิ่นอารมณ์ดีในทันที เขายิ้มและพูดล้อเล่น “ถ้าพี่ชายโม ถ้าท่านเรียนรู้มันได้ทั้งหมดแล้วกลายเป็นผู้สรรสร้างหลิง ท่านอย่าลืมนึกถึงน้องชายคนนี้ล่ะ!!!”
จั่วโมยิ้ม โบกมือลาและพูด “ขอบคุณมาก สำหรับคำพูดเหล่านั้น น้องชายฝู แต่สำหรับการจะเป็นผู้สรรสร้างหลิงนั้นจะต้องเรียนรู้คาถาทั้ง 3 ให้ได้ถึงระดับ 3 ซึ่งมันหาใช่เรื่องง่ายเลย”
เมื่อทั้งสองทำการค้ากันเสร็จสิ้น พวกเขาก็ต่างมีความสุข
หลังจากซื้อแท่งหยก จั่วโมเตรียมที่จะกลับไปยังภูเขาเดิม แม้ว่าการเดินยามค่ำคืนจะลำบาก แต่ถ้าเขาเลือกที่จะพักค้างคืนอยู่ที่เมืองต้งฟู้ เขาจะต้องสูญเสียเงินอีก
หากปราศจากน้ำหนักจากเมล็ดหลิง เสี่ยวหวางจะเบาและว่องไวมากขึ้น แม้ว่าจะต้องแบกจั่วโมและบินกลับไปที่เทือกเขาอู้กง
เมื่อเขากลับมาถึงที่พักของเขาที่เทือกเขาอู้กง มันก็เป็นเวลากลางดึก
ภายใต้แสงดาว จั่วโมทิ้งตัวนอนบนผืนหลังคา ร่างกายของเขาเหนื่อยล้ามามาก นิ้วมือของเขากำแท่งหยกและมองดูมันผ่านสายตา เขาไม่อาจอธิบายถึงความรู้สึกนี้ได้
ที่แห่งนี้คือเมืองสายธารกระบี่ ผู้คนมากมายต่างทำนา เช่กเช่นเดียวกับนิกายกระบี่อู้กง เจ็ดในสิบส่วนของศิษย์นอกนิกายมักเลือกการทำฟาร์มเมื่อพวกเขาถึงเวลาต้องเลือกงาน ทางนิกายจะสอนขั้นตอนในการทำฟาร์ม และ[ เคล็ดเมฆาฝนโปรย ] ก็เป็นหนึ่งในนั้นด้วย แต่ทางนิกายจะสอนเพียงแค่พื้นฐานเท่านั้น นิกายกระบี่อู้กง เป็นนิกายสำหรับเหล่าผู้ฝึกกระบี่ พวกเขานั้นมีเคล็ดวิชากระบี่มากมาย แต่มีเคล็ดวิชาจำนวนไม่น้อยเป็นเคล็ดวิชาไร้ค่า
การทำการเกษตรนั้นต้องใช้ความรู้ที่ค่อนข้างลึกซึ้ง จั่วโมซึ่งอยู่ในนิกายสายนอกมาเพียงสอง กลับมีความรู้ที่ลึกซึ้ง
แท่งหยกนั้นประกอบขึ้นมาโดยมีคาถา 5 แบบ 5 ชนิค คาถาทั้งหมดนั้นมีผลต่อการทำการเกษตร ซึ่งหนึ่งในนั้นก็มี [ เคล็ดเมฆาฝนโปรย ] แต่คาถา[ เคล็ดเมฆาฝนโปรย ] ที่อยู่ในแท่งหยกนี้เป็นคาถาที่ครอบคลุมและลึกซึ้งกว่าที่เขารู้ทั้งหมด
ฝูจิ่นกล่าวไม่ผิดแท้แต่น้อย การเป็นผู้เชี่ยวชาญของเขานั้นใกล้เข้ามาแล้ว จั่วโมมีความคิด จากที่ฝูจิ่นกล่าวเกี่ยวกับผู้สรรสร้างหลิง ตอนนี้ [ เคล็ดเมฆาฝนโปรย ] ของเขาก็มาถึงขั้นที่ 3 แล้ว เขาก็ควรที่จะเรียนรู้คาถาให้ครบทั้ง 5
ถ้าหากว่าเขาสามารถหาเมล็ดหลิงได้เพิ่มและหากนำมันเป็นแลกกับคะแนนของนิกาย บางทีเขาอาจจะได้รับคู่มือการเป็นมือกระบี่ที่ดี มาก็ได้
แต่เขาก็ไม่ทำมันอย่างแน่นอน มันจำเป็นหรือไม่ที่เขาควรมีคู่มือการเป็นมือกระบี่?เพื่อตัดไม้ฝืนอย่างนั้นหรือ?
หากจะเปรียบเทียบ คาถาการเกษตรนั้นเป็นเวทย์ที่มีประโยชน์อย่างมาก แม้ว่าเขาจะเรียนรู้มันได้ไม่ทั้งหมด ถึงนิกายจะไม่ได้สอนเขามาก แต่อย่างน้อยทักษะที่เขามี ทำให้ทุกพื้นที่เพาะปลูกหลิงต่างเต็มไปด้วยธัญพืชหลิงที่เขาปลูก และทำให้เขาได้รับเงินทองจำนวนมาก
เมื่อคิดซ้ำไปซ้ำมา จั่วโมก็เริ่มเข้าใจมากขึ้น อาการง่วงนอนของเขาก็พลันหายไป
จั่วโมลุกขึ้นนั่งและเอื้อมมือจับไปที่หน้าของเขาเอง กล้ามเนื้อบนใบหน้าของเขานั้นแข็งราวกับท่อนไม้ นี้จึงเป็นเหตุผลที่เขาไม่ค่อยจะแสดงอารมณ์หรืออาการใดๆ
อีกทั้งเขายังไม่สนใจเรื่องความงามใดๆทั้งสิ้น
แสงจากดวงดาวส่องลงกลางสนาม แสงสีเงินส่องระยิบระยืบพร้อมกับหมอกจางๆ ความโศกเศร้าของจั่วโมเพิ่มมากขึ้น
2 ปีมาแล้วเมื่อผู้นำนิกายกระบี่อู้กงพาเขามายังนิกายแห่งนี้ เขาพบว่าเขานั้นหมดสติจึงมาถึงนิกายแห่งนี้ เมื่อเขาตื่นขึ้นมา เขาก็พบว่าความทรงจำของเขานั้นว่างเปล่า ใน 2 ปีมานี้ เขาเองก็พยายามทุกหนทาง แต่ก็ไม่อาตฟื้นคืนความทรงจำมาได้เลยแม้แต่น้อย
เขาพบว่าตัวเองนั้นกลายเป็นสิ่งแปลกไป ทั้งใบหน้าที่แข็งทื่อราวกับหิน เขาไม่อาจแสดงอารมณ์ใดๆออกมาได้มาก ผู้นำนิกายกล่าวไว้ว่า ใบหน้าใบนี้ช่างทุกข์ทรมานอย่างยากยิ่ง เป็นเพราะใบหน้าที่น่ากลัวนี้ เขาจึงไม่สามารถจะยู่ร่วมกับเหล่าคนอื่นๆในนิกายได้ จนกระทั่งทุกคนเข้าใจความรู้สึกของเขา
แต่เขาเองก็ไม่ได้รังเกียจใบหน้าแบบนี้ มันเป็นสิ่งที่เขาจะต้องตามหาที่มา บางที่วันใดวันนึง ใบหน้านี้อาจกลายเป็นเครื่องเตือนใจในสองสิ่งที่เกี่ยวข้องกับเขา
เขานั้นเป็นใคร? ........... ที่ที่เขามานั้นมาจากไหน?
แต่มันยังถูกเชื่อมโยงกับความฝันที่ปรากฏขึ้นอีกด้วย เสียงที่พูดนั้นคือเสียงใคร?และเขาจะต้องไม่ลืมสิ่งใด?
แต่เขากลับลืมมันไปทุกอย่าง!!!!
เขาถอนหายใจพร้อมทั้งส่ายหัวราวกับกำลังกลั่นกรองความคิด จากนั้นเขาก็หยิบแผ่นจารึกเสียงขึ้นมาและใส่พลังงานหลิงเข้าไปข้างใน
แผ่นจารึกเสียงเป็นยุทธภัณฑ์เวทย์ที่นิยมมากที่สุดในโลกแห่งการฝึกตน มันถูกสร้างโดยมีฐานล้อมรอบด้วยแผ่นหยก โดยมีตราผนึกเสียงเพื่อรองรับเสียงเพื่อขยายเสียงเพิ่มขึ้น แผ่นเสียงของจั่วโมนั้นเป็นแบบที่ใช้ง่ายที่สุด ตัวฐานของมันทำจากไม้ซีดาร์และมีแผ่นหยกขนานเท่าฝ่ามือ หลังจากใส่พลังหลิงลงไป ผิวของหยกสั่นไหวสีจากหลายสีของแผ่นหยกส่งเสียงที่ไพเราะออกมา
“นภาจะชโลมด้วยโลหิต ทั่วอาณาจักรจะแตกสะบัดภายใต้ชนวนสงคราม ผู้กล้าทั้ง 12 จะต้องเข้าห้ำหั่นกับศัตรูผู้ยิ่งใหญ่ สถานการณ์ตรึงเครียดจะนำมาซึ่งความสูญเสีย”
“นิกายกระบี่โจวติ้งได้ค้นพบผืนอาณาจักรใหม่ การสำรวจก่อให้เกิดมหาอำนาจขนาดใหญ่จำนวนมากราวกับแขวงเส้นเลือดดำ หากผู้ใดคุ้นเคยกับเรื่องราวนี้ นิกายกว่า 50 นิกาย ส่งผู้ฝึกตนขั้นสูงออกไปในเวลาเดียวกัน นอกจากนี้อาณาจักรใหม่เต็มไปด้วยชาวพื้นเมืองจำนวนมากแห่งนี้ อุตสาหกรรมการค้าทาสที่เคยมี เกิดผลกระทบอย่างรุนแรงทำให้ราคาตลาดลดลงมาก”
“หลังจากการเฆ่นฆ่าของราชันย์สีโมต้า นิกายกระบี่สีซ่างจากอาณาจักรสีซ่างได้หลอมรวมขนนกแห่งชีวิตลงไปในกระบี่บิน และวันนี้ กระบี่บินก็ได้แสดงตัวให้เป็นที่ประจักษ์ ข่าวลือเรื่องวิญญาณในกระบี่ดังไกลเป็นวงกว้าง ผู้เชี่ยวชาญระดับสูงจากนิกายหลอมศาสตราได้คาดการณ์ว่ากระบี่สีทองชิ้นนี้ จะต้องเป็นศาตราวุธระดับที่ 7 เป็นอย่างน้อย นิกายกระบี่สีซ่างได้ค้นพบศาตราวุธชนิดใหม่!!!”
ภายใต้ดวงดาว จั่วโมนั่งฟังมันอย่างช้าๆ เมื่อเขาตื่นขึ้นมา แผ่นจารึกขรุขระแผ่นนี้ได้ช่วยให้เขาเริ่มเข้าใจในโลกใบนี้
และเขาก็เริ่มที่จะฟังมันในทุกๆวัน
เมื่อเขาอารมณ์ไม่ดีหรือกระวนกระวายใน เขาจะเปิดเสียงจากจารึกอันนี้และฟังมันอย่างช้าๆ จากนั้นอารมณ์ของเขาก็จะสงบลง
ท่ามกลางทะเลมืดยามราตรี ดวงดาวยังคงส่องแสง ชายผีดิบยังลงนั่งอยู่บนหลังคาและฟังเสียงจากจารึกอย่างเคลิบเคลิ้ม
*******เนื้อเรื่องยาวหน่อยนะครับบบ *******